แท็ก
มันสำปะหลัง
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--25 ม.ค.--รอยเตอร์
รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตร
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 มันสำปะหลัง : แนวโน้มในอนาคต
มันสำปะหลังที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ส่งออกในรูปมันอัดเม็ด คือส่งออกประมาณกว่าร้อยละ 75 ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังส่งออกทั้งหมด มีการใช้ในประเทศประมาณร้อยละ 22-25 ในรูปหัวมันสด ในจำนวนผลิตภัณฑ์มันเส้นและมันอัดเม็ดที่ผลิตได้ใช้เป็นอาหารสัตว์ภายในประเทศเพียงประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น ตลาดหลักของมันอัดเม็ดอยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน เป็นต้น โดยประเทศเหล่านั้นนำไปใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เสริมและทดแทนธัญพืชที่ประเทศในสหภาพยุโรปผลิตได้ ดังนั้น เมื่อประเทศในสหภาพยุโรปผลิตธัญพืชได้มาก ราคาธัญพืชลดลง ความต้องการใช้มันสำปะหลังจึงลดลง ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกและราคาภายในประเทศไทยให้ต่ำลง ในปี 2543 คาดว่าไทยสามารถผลิตมันสำปะหลังสดได้ประมาณ 18.51 ล้านตัน สูงขึ้นจากปี 2542 ประมาณร้อยละ 12 ประกอบกับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเปลี่ยนไปใช้นโยบายลดราคาประกันพืชผลลง (CAP Reform) ทำให้ราคาธัญพืชในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีแนวโน้มลดลง แนวโน้มการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อเลี้ยงสัตว์จึงน่าจะมีแนวโน้มลดลง (เนเธอร์แลนด์ เป็นผู้นำเข้าประมาณร้อยละ 70 ของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปทั้งหมด)
จากผลดังกล่าวจึงคาดว่าแนวโน้มราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้ ปี 2543 จะลดลงค่อนข้างมาก และจะมีปัญหาต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ถ้ายังไม่ควบคุมปริมาณการผลิตให้ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในและการส่งออก พร้อมสนับสนุนให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นที่ต้องการของภายในและต่างประเทศ
ข้อคิดเห็น
1) กำหนดเขตการเพาะปลูก ควรมีการกำหนดเขตการเพาะปลูกมันสำปะหลังที่เหมาะสม โดยมีมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือเฉพาะในพื้นที่กำหนดเพื่อลดพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับความต้องการ
2) ลดต้นทุนการผลิต ควรสนับสนุนให้มีการลดต้นทุนการผลิตลง โดยการสนับสนุนกระจายพันธุ์ดีสู่เกษตรกรในเขตการเพาะปลูกที่กำหนดอย่างทั่วถึง ประกอบกับการส่งเสริมให้มีการดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และวิธีการเขตกรรมที่เหมาะสม
3) สนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ควรให้ความสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนามันสำปะหลังเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ทั้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องและผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ
4) สนับสนุนการศึกษาวิจัย และขยายการใช้ประโยชน์จากมันสำปะหลังเพื่อเป็นอาหารสัตว์ภายในประเทศ ควรมีการเร่งสนับสนุนให้มีการวิจัยด้านการใช้ประโยชน์มันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ในประเทศได้ พร้อมขยายผลการศึกษาให้เกษตรกรได้ใช้ปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางขึ้นและเกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติเองได้
5) สนับสนุนให้มีการศึกษาความต้องการประเภทผลิตภัณฑ์จากมัน-สำปะหลังในประเทศต่าง ๆ ควรมีการสนับสนุนให้มีการศึกษาความต้องการในผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อส่งออกให้ถูกทิศทาง
2.2 มันสำปะหลัง : วัตถุดิบอาหารสัตว์
จากปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำ และมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป จากการเปลี่ยนนโยบายของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปนำเข้ามันสำปะหลังจากไทย วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจะเห็นว่าการเพิ่มความต้องการใช้มันสำปะหลังภายในประเทศให้สูงขึ้น โดยใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ น่าจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับมันสำปะหลังได้บางส่วน
ทั้งนี้ มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีอัตราคาร์โบไฮเดรทสูง และมีอัตราโปรตีนค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์จึงเป็นการทดแทนวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่น ๆ ในกลุ่มให้คาร์โบไฮเดรท ได้แก่ ปลายข้าว และข้าวโพด โดยต้องมีการปรับคุณค่าทางอาหารมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นด้วยการใช้กากถั่วเหลืองและวัตถุดิบและอื่นๆ ให้มีคุณค่าทางโภชนะใกล้เคียงกับปลายข้าวและข้าวโพด
ปัจจุบันมีเอกชนดำเนินการผลิตปลายข้าวเทียม โดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ และมีจำหน่ายบ้างแล้ว พร้อมนี้กรมปศุสัตว์ได้มีการศึกษาการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไว้บ้างแล้ว ได้แก่ สุกร โคเนื้อ โคนม ไก่ไข่ เป็ดไข่ และเป็ดเนื้อ แต่การใช้ประโยชน์มันสำปะหลังในวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอาหารสัตว์ยังไม่ขยายตัวมากนัก
ข้อคิดเห็น
1) การศึกษาทดลองการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในชนิดสัตว์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเร่งด่วนยังมีความจำเป็นอย่างมาก
2) เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ให้สามารถนำไปปฏิบัติได้เองในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
3) เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์แก่เอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์อย่างทั่วถึง
4) เร่งประชาสัมพันธ์และสาธิตการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผลผลิตทางปศุสัตว์ให้คุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือดีกว่า
2.3 ไก่เนื้อ : สาธารณรัฐเชกยังไม่นำเข้าเนื้อไก่ไทยหลังจากยกเลิกคำสั่งห้าม มา 3 เดือนแล้ว
จากการที่สาธารณรัฐเชกได้มีคำสั่งยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เนื่องจากตรวจพบสารหนู (Arsenic) ตกค้างในเนื้อไก่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด และเชกได้กำหนดที่จะทำการตรวจสอบเนื้อไก่ที่ส่งออกจากไทยอย่างเข้มงวดเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม — 31 ธันวาคม 2542 ซึ่งสำนักงานพาณิชย์ไทย ณ กรุงปราก ได้ติดตามการนำเข้าเนื้อไก่ของเชก ปรากฎว่าไม่มีคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าเนื้อไก่เชก สาเหตุสำคัญ ได้แก่
1) ผู้นำเข้าของเชกไม่ต้องการที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเนื้อไก่อย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่เชก
2) ภาวะตลาดสินค้าเนื้อไก่ในเชกปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ราคาเนื้อไก่หน้าอกเคยจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 190-210 เชกคราวน์ (34 เชกคราวน์ = 1 ดอลลาสหรัฐ) ขณะนี้ราคาลดลงเหลือกิโลกรัมละ 115-119 เชกคราวน์เท่านั้น เมื่อเชกห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทย ผู้นำเข้าเชกได้ปรับตัวหันไปสั่งซื้อเนื้อไก่จากประเทศอื่นทดแทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อไก่จากสาธารณรัฐสโลวักฮังการี ซึ่งจะเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่า เพราะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีจากกลุ่ม CEETA เมื่อทางการเชกประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทย ผู้นำเข้าอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวไม่สามารถสั่งซื้อเนื้อไก่จากไทยได้ทันทีทันใด
จากการสอบถามสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ตค.-ธค. 42) ไม่มีการส่งออกไปเชก เนื่องจากมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมาก ระยะเวลาในการขนส่ง การตรวจสอบและการรับทราบผลรวมเป็นระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ทำให้ไม่มีการส่งออก ขณะนี้ผู้ผลิตและส่งออกของไทยได้เข้มงวดในการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนทั้งในด้านการผลิตและการแปรรูป เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบ การส่งออกในปี 2543 สาธารณรัฐเชกจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและประกาศให้ทราบต่อไป
สำหรับการส่งออกไก่สดแช่แข็งของไทยไปสาธารณรัฐเชกในปี 2540 มีปริมาณ 561 ตัน คิดเป็นร้อยละ 0.37 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด และในปี 2541 การส่งออกเพิ่มเป็น 1,089 ตัน การส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 94.12 ทำให้มีการกีดกันทางการค้า โดยการตั้งมาตรฐานสุขอนามัยที่สูงกว่ามาตรฐาน เชกเป็นตลาดหนึ่งที่ผู้ส่งออกให้ความสนใจมากจึงมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้ผลิตของไทยต้องควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อขยายการส่งออกไก่เนื้อของไทย
2.4 ตะพาบน้ำ : ปัญหาราคาตกต่ำและแนวทางแก้ไข
ปัญหาราคาตะพาบน้ำตกต่ำมาก จากที่เกษตรกรเคยขายได้ราคากิโลกรัมละ 400 บาทในช่วงต้นปี 2541 ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 300 บาทในช่วงปลายปี และปัจจุบันพ่อค้ารับซื้อจากเกษตรกรในราคาประมาณกิโลกรัมละ 100 - 120 บาท เท่านั้น ส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงได้รับความเดือดร้อนมากและได้ทำการร้องเรียนให้รัฐบาลหาทางแก้ไขนั้น
สาเหตุที่ทำให้ราคาตกต่ำ พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
1) ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เนื่องจากช่วงที่ราคาสูงมากในระยะแรกๆ ของการเพาะเลี้ยงนั้น จูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะเลี้ยงกันมาก
2) ตลาดส่งออกตะพาบน้ำที่สำคัญของไทย คือ จีน ฮ่องกง ซึ่งนิยมบริโภคในช่วงหน้าหนาวของทุกปี ปัจจุบันจีนมีนโยบายไม่รับซื้อตะพาบน้ำจากไทย เนื่องจากสามารถผลิตได้เองภายในประเทศและราคาถูกกว่าตะพาบน้ำที่นำเข้าจากไทย
3) เรื่องกลไกของตลาดตะพาบน้ำ ผู้ส่งออกไม่สามารถกำหนดโควตาตลาดได้ ราคาตะพาบน้ำขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดแต่ละวัน สินค้าเข้าสู่ตลาดมากราคาก็ตกต่ำ แต่ถ้าสินค้าเข้าสู่ตลาดน้อย ราคาก็สูง ดังนั้นการนำสินค้าเข้าตลาดทั้งผู้ส่งออกและผู้เลี้ยงตะพาบน้ำจึงอาศัยการพยากรณ์และการคาดคะเน
4) ปัญหาการรับรองสุขอนามัยตะพาบน้ำ เนื่องจากปัจจุบันประเทศจีนยังรับซื้อตะพาบน้ำจากฮ่องกง ซึ่งจีนต้องการใบรับรองการตรวจสุขภาพตะพาบน้ำด้วย (ไทยส่งออกตะพาบน้ำไปจีนผ่านทางฮ่องกง)
แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นของกรมประมง
1) เชิญผู้ส่งออกมาร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจดทะเบียนผู้ส่งออกตะพาบน้ำ เพื่อให้กรมประมงสามารถออกใบรับรองสุขอนามัยตะพาบน้ำที่ต่างประเทศเชื่อถือได้
2) หารือเรื่องการกำหนดโควตาส่งออกตะพาบน้ำเพื่อป้องกันสินค้าล้นตลาด
3) เสนอแนะให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ผู้เลี้ยงตะพาบน้ำ
ข้อคิดเห็น
เนื่องจากตลาดตะพาบน้ำที่สำคัญ คือ ประเทศจีน ดังนั้นเมื่อความต้องการของจีนลดลง ควรแสวงหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีคนจีนเข้าไปอาศัยอยู่มากเป็นการทดแทน รวมทั้งให้มีการแปรรูปตะพาบน้ำในลักษณะของการแช่เย็น แช่แข็ง แทนการส่งออกตะพาบน้ำมีชีวิต ขณะเดียวกันรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงตะพาบน้ำหันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการเพาะเลี้ยงตะพาบน้ำ
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 10 - 16 ม.ค. 2543--
รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตร
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 มันสำปะหลัง : แนวโน้มในอนาคต
มันสำปะหลังที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ส่งออกในรูปมันอัดเม็ด คือส่งออกประมาณกว่าร้อยละ 75 ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังส่งออกทั้งหมด มีการใช้ในประเทศประมาณร้อยละ 22-25 ในรูปหัวมันสด ในจำนวนผลิตภัณฑ์มันเส้นและมันอัดเม็ดที่ผลิตได้ใช้เป็นอาหารสัตว์ภายในประเทศเพียงประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น ตลาดหลักของมันอัดเม็ดอยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน เป็นต้น โดยประเทศเหล่านั้นนำไปใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เสริมและทดแทนธัญพืชที่ประเทศในสหภาพยุโรปผลิตได้ ดังนั้น เมื่อประเทศในสหภาพยุโรปผลิตธัญพืชได้มาก ราคาธัญพืชลดลง ความต้องการใช้มันสำปะหลังจึงลดลง ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกและราคาภายในประเทศไทยให้ต่ำลง ในปี 2543 คาดว่าไทยสามารถผลิตมันสำปะหลังสดได้ประมาณ 18.51 ล้านตัน สูงขึ้นจากปี 2542 ประมาณร้อยละ 12 ประกอบกับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเปลี่ยนไปใช้นโยบายลดราคาประกันพืชผลลง (CAP Reform) ทำให้ราคาธัญพืชในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีแนวโน้มลดลง แนวโน้มการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อเลี้ยงสัตว์จึงน่าจะมีแนวโน้มลดลง (เนเธอร์แลนด์ เป็นผู้นำเข้าประมาณร้อยละ 70 ของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปทั้งหมด)
จากผลดังกล่าวจึงคาดว่าแนวโน้มราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้ ปี 2543 จะลดลงค่อนข้างมาก และจะมีปัญหาต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ถ้ายังไม่ควบคุมปริมาณการผลิตให้ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในและการส่งออก พร้อมสนับสนุนให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นที่ต้องการของภายในและต่างประเทศ
ข้อคิดเห็น
1) กำหนดเขตการเพาะปลูก ควรมีการกำหนดเขตการเพาะปลูกมันสำปะหลังที่เหมาะสม โดยมีมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือเฉพาะในพื้นที่กำหนดเพื่อลดพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับความต้องการ
2) ลดต้นทุนการผลิต ควรสนับสนุนให้มีการลดต้นทุนการผลิตลง โดยการสนับสนุนกระจายพันธุ์ดีสู่เกษตรกรในเขตการเพาะปลูกที่กำหนดอย่างทั่วถึง ประกอบกับการส่งเสริมให้มีการดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และวิธีการเขตกรรมที่เหมาะสม
3) สนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ควรให้ความสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนามันสำปะหลังเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ทั้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องและผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ
4) สนับสนุนการศึกษาวิจัย และขยายการใช้ประโยชน์จากมันสำปะหลังเพื่อเป็นอาหารสัตว์ภายในประเทศ ควรมีการเร่งสนับสนุนให้มีการวิจัยด้านการใช้ประโยชน์มันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ในประเทศได้ พร้อมขยายผลการศึกษาให้เกษตรกรได้ใช้ปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางขึ้นและเกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติเองได้
5) สนับสนุนให้มีการศึกษาความต้องการประเภทผลิตภัณฑ์จากมัน-สำปะหลังในประเทศต่าง ๆ ควรมีการสนับสนุนให้มีการศึกษาความต้องการในผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อส่งออกให้ถูกทิศทาง
2.2 มันสำปะหลัง : วัตถุดิบอาหารสัตว์
จากปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำ และมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป จากการเปลี่ยนนโยบายของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปนำเข้ามันสำปะหลังจากไทย วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจะเห็นว่าการเพิ่มความต้องการใช้มันสำปะหลังภายในประเทศให้สูงขึ้น โดยใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ น่าจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับมันสำปะหลังได้บางส่วน
ทั้งนี้ มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีอัตราคาร์โบไฮเดรทสูง และมีอัตราโปรตีนค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์จึงเป็นการทดแทนวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่น ๆ ในกลุ่มให้คาร์โบไฮเดรท ได้แก่ ปลายข้าว และข้าวโพด โดยต้องมีการปรับคุณค่าทางอาหารมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นด้วยการใช้กากถั่วเหลืองและวัตถุดิบและอื่นๆ ให้มีคุณค่าทางโภชนะใกล้เคียงกับปลายข้าวและข้าวโพด
ปัจจุบันมีเอกชนดำเนินการผลิตปลายข้าวเทียม โดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ และมีจำหน่ายบ้างแล้ว พร้อมนี้กรมปศุสัตว์ได้มีการศึกษาการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไว้บ้างแล้ว ได้แก่ สุกร โคเนื้อ โคนม ไก่ไข่ เป็ดไข่ และเป็ดเนื้อ แต่การใช้ประโยชน์มันสำปะหลังในวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอาหารสัตว์ยังไม่ขยายตัวมากนัก
ข้อคิดเห็น
1) การศึกษาทดลองการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในชนิดสัตว์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเร่งด่วนยังมีความจำเป็นอย่างมาก
2) เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ให้สามารถนำไปปฏิบัติได้เองในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
3) เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์แก่เอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์อย่างทั่วถึง
4) เร่งประชาสัมพันธ์และสาธิตการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผลผลิตทางปศุสัตว์ให้คุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือดีกว่า
2.3 ไก่เนื้อ : สาธารณรัฐเชกยังไม่นำเข้าเนื้อไก่ไทยหลังจากยกเลิกคำสั่งห้าม มา 3 เดือนแล้ว
จากการที่สาธารณรัฐเชกได้มีคำสั่งยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เนื่องจากตรวจพบสารหนู (Arsenic) ตกค้างในเนื้อไก่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด และเชกได้กำหนดที่จะทำการตรวจสอบเนื้อไก่ที่ส่งออกจากไทยอย่างเข้มงวดเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม — 31 ธันวาคม 2542 ซึ่งสำนักงานพาณิชย์ไทย ณ กรุงปราก ได้ติดตามการนำเข้าเนื้อไก่ของเชก ปรากฎว่าไม่มีคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าเนื้อไก่เชก สาเหตุสำคัญ ได้แก่
1) ผู้นำเข้าของเชกไม่ต้องการที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเนื้อไก่อย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่เชก
2) ภาวะตลาดสินค้าเนื้อไก่ในเชกปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ราคาเนื้อไก่หน้าอกเคยจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 190-210 เชกคราวน์ (34 เชกคราวน์ = 1 ดอลลาสหรัฐ) ขณะนี้ราคาลดลงเหลือกิโลกรัมละ 115-119 เชกคราวน์เท่านั้น เมื่อเชกห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทย ผู้นำเข้าเชกได้ปรับตัวหันไปสั่งซื้อเนื้อไก่จากประเทศอื่นทดแทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อไก่จากสาธารณรัฐสโลวักฮังการี ซึ่งจะเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่า เพราะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีจากกลุ่ม CEETA เมื่อทางการเชกประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากไทย ผู้นำเข้าอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวไม่สามารถสั่งซื้อเนื้อไก่จากไทยได้ทันทีทันใด
จากการสอบถามสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ตค.-ธค. 42) ไม่มีการส่งออกไปเชก เนื่องจากมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมาก ระยะเวลาในการขนส่ง การตรวจสอบและการรับทราบผลรวมเป็นระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ทำให้ไม่มีการส่งออก ขณะนี้ผู้ผลิตและส่งออกของไทยได้เข้มงวดในการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนทั้งในด้านการผลิตและการแปรรูป เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบ การส่งออกในปี 2543 สาธารณรัฐเชกจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและประกาศให้ทราบต่อไป
สำหรับการส่งออกไก่สดแช่แข็งของไทยไปสาธารณรัฐเชกในปี 2540 มีปริมาณ 561 ตัน คิดเป็นร้อยละ 0.37 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด และในปี 2541 การส่งออกเพิ่มเป็น 1,089 ตัน การส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 94.12 ทำให้มีการกีดกันทางการค้า โดยการตั้งมาตรฐานสุขอนามัยที่สูงกว่ามาตรฐาน เชกเป็นตลาดหนึ่งที่ผู้ส่งออกให้ความสนใจมากจึงมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้ผลิตของไทยต้องควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อขยายการส่งออกไก่เนื้อของไทย
2.4 ตะพาบน้ำ : ปัญหาราคาตกต่ำและแนวทางแก้ไข
ปัญหาราคาตะพาบน้ำตกต่ำมาก จากที่เกษตรกรเคยขายได้ราคากิโลกรัมละ 400 บาทในช่วงต้นปี 2541 ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 300 บาทในช่วงปลายปี และปัจจุบันพ่อค้ารับซื้อจากเกษตรกรในราคาประมาณกิโลกรัมละ 100 - 120 บาท เท่านั้น ส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงได้รับความเดือดร้อนมากและได้ทำการร้องเรียนให้รัฐบาลหาทางแก้ไขนั้น
สาเหตุที่ทำให้ราคาตกต่ำ พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
1) ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เนื่องจากช่วงที่ราคาสูงมากในระยะแรกๆ ของการเพาะเลี้ยงนั้น จูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะเลี้ยงกันมาก
2) ตลาดส่งออกตะพาบน้ำที่สำคัญของไทย คือ จีน ฮ่องกง ซึ่งนิยมบริโภคในช่วงหน้าหนาวของทุกปี ปัจจุบันจีนมีนโยบายไม่รับซื้อตะพาบน้ำจากไทย เนื่องจากสามารถผลิตได้เองภายในประเทศและราคาถูกกว่าตะพาบน้ำที่นำเข้าจากไทย
3) เรื่องกลไกของตลาดตะพาบน้ำ ผู้ส่งออกไม่สามารถกำหนดโควตาตลาดได้ ราคาตะพาบน้ำขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดแต่ละวัน สินค้าเข้าสู่ตลาดมากราคาก็ตกต่ำ แต่ถ้าสินค้าเข้าสู่ตลาดน้อย ราคาก็สูง ดังนั้นการนำสินค้าเข้าตลาดทั้งผู้ส่งออกและผู้เลี้ยงตะพาบน้ำจึงอาศัยการพยากรณ์และการคาดคะเน
4) ปัญหาการรับรองสุขอนามัยตะพาบน้ำ เนื่องจากปัจจุบันประเทศจีนยังรับซื้อตะพาบน้ำจากฮ่องกง ซึ่งจีนต้องการใบรับรองการตรวจสุขภาพตะพาบน้ำด้วย (ไทยส่งออกตะพาบน้ำไปจีนผ่านทางฮ่องกง)
แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นของกรมประมง
1) เชิญผู้ส่งออกมาร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจดทะเบียนผู้ส่งออกตะพาบน้ำ เพื่อให้กรมประมงสามารถออกใบรับรองสุขอนามัยตะพาบน้ำที่ต่างประเทศเชื่อถือได้
2) หารือเรื่องการกำหนดโควตาส่งออกตะพาบน้ำเพื่อป้องกันสินค้าล้นตลาด
3) เสนอแนะให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ผู้เลี้ยงตะพาบน้ำ
ข้อคิดเห็น
เนื่องจากตลาดตะพาบน้ำที่สำคัญ คือ ประเทศจีน ดังนั้นเมื่อความต้องการของจีนลดลง ควรแสวงหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีคนจีนเข้าไปอาศัยอยู่มากเป็นการทดแทน รวมทั้งให้มีการแปรรูปตะพาบน้ำในลักษณะของการแช่เย็น แช่แข็ง แทนการส่งออกตะพาบน้ำมีชีวิต ขณะเดียวกันรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงตะพาบน้ำหันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการเพาะเลี้ยงตะพาบน้ำ
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 10 - 16 ม.ค. 2543--