การส่งออกขยายตัวสูง และการนำเข้าเร่งตัวมาก การเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดชะลอตัวลง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ขาดดุลต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนเพราะการเร่งชำระคืนหนี้ของ ภาคเอกชน ดุลการชำระเงินขาดดุล แต่มีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาสที่ 3
การส่งออก มูลค่าการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 21.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทางด้านปริมาณ ในขณะที่ราคาส่งออกยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ปีก่อนตามภาวะราคาในตลาดโลก สินค้าที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาห-กรรมในกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสูง ได้แก่ แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และรถยนต์ เนื่องจากความต้องการจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อาเซียน และญี่ปุ่น ขยายตัวดี นอกจากนี้ การส่งออกไปยังจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญรองลงมา ก็ขยายตัวดีเช่นกัน ทางด้านการส่งออกสินค้าประมงขยายตัวสูงเช่นกัน ตามการเพิ่มขึ้นทั้งทางด้านปริมาณและราคาของการส่งออกกุ้งสดแช่แข็ง เนื่องจากอุปทานใน ตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำจากปัญหาโรคระบาด ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวมเพิ่มขึ้น เล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกข้าวลดลงทั้งราคาและปริมาณเพราะอุปทานในตลาดโลกสูง ประกอบกับราคาธัญพืชในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ ต้นปีทำให้ปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังลดลง ในขณะที่การส่งออกยางพาราเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและราคา ตามความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพื่อ ทดแทนยางสังเคราะห์ที่ราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
การนำเข้า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา การนำเข้าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 34.4 จากช่วง เดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบและสินค้าทุนนำเข้าจากต่างประเทศ ในขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ นำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 26.4 ดอลลาร์ สรอ. ต่อ บาร์เรลในเดือนสิงหาคมปีนี้เทียบกับ 19.5 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนเดียวกันปีก่อน
การนำเข้าสินค้าทุนที่สำคัญ นอกเหนือจากเครื่องจักรที่ใช้เพื่อการอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีการนำเข้าเครื่องบินเพื่อการพาณิชย์ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 ลำ มูลค่าประมาณ 791 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกุมภาพันธ์ และการนำเข้าเครื่องบิน Alpha Jet ของกองทัพอากาศ ชุดแรกจำนวน 5 ลำ (จาก ทั้งหมด 25 ลำ) ในเดือนกันยายน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. การนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากปริมาณเป็นสำคัญ
ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด แม้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น แต่การนำเข้าที่เร่งตัวมาก ทำให้เกินดุลการค้า 4.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่เกินดุล 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ดุลบริการและบริจาคเกินดุลเพราะรายจ่ายด้านดอกเบี้ยของภาคเอกชนลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนมาก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับ 9.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกัน ปีก่อน
เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ขาดดุล 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ปีก่อนที่ขาดดุล 7.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากเป็นการชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ
สูงถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (ช่วงเดียวกัน ปีก่อนชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ 11.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ในจำนวนนี้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ก่อนกำหนด 2.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก สภาพคล่องเงินบาทในประเทศเอื้ออำนวยให้ธุรกิจเอกชนที่มีศักยภาพระดมเงินบาทจากตลาดในประเทศนำไปชำระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับค่าเงินบาทในช่วงไตรมาสที่ 2 ค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงจูงใจให้ภาคธุรกิจเร่งชำระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ส่วนการชำระคืนหนี้ภาคธนาคารพาณิชย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะยอดหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจลดลงไปมากแล้วจากการชำระในปีก่อน
เงินทุนภาคทางการ (รวมธปท.) เกินดุลเพียงเล็กน้อย มีการนำเข้าเงินกู้โครงการเพื่อปรับโครงสร้างภาคราชการจำนวน 212 ล้านดอลลาร์
สรอ. และการชำระคืนพันธบัตรที่ครบอายุไถ่ถอน ต่างจากปีก่อนที่มีการนำเข้าเงินกู้สุทธิเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ มีการชำระคืนภาระ Swap ที่ธปท. ใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มสภาพคล่องเงินบาท ในช่วงก่อน Y2K อนึ่ง ทางการได้ออกตราสารหนี้ระยะสั้นในตลาดทุนยุโรป (Euro commercial paper) เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกู้ต่อเพื่อชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 474 ล้านดอลลาร์ สรอ. ด้วย
ดุลการชำระเงิน เปลี่ยนจากเกินดุล 2.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นขาดดุลสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองทางการ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อยู่ที่ระดับ 32.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่ากับการนำเข้า 6.6 เดือน โดยมียอดคงค้างการขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 2.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
การส่งออก มูลค่าการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 21.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทางด้านปริมาณ ในขณะที่ราคาส่งออกยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ปีก่อนตามภาวะราคาในตลาดโลก สินค้าที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาห-กรรมในกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสูง ได้แก่ แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และรถยนต์ เนื่องจากความต้องการจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อาเซียน และญี่ปุ่น ขยายตัวดี นอกจากนี้ การส่งออกไปยังจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญรองลงมา ก็ขยายตัวดีเช่นกัน ทางด้านการส่งออกสินค้าประมงขยายตัวสูงเช่นกัน ตามการเพิ่มขึ้นทั้งทางด้านปริมาณและราคาของการส่งออกกุ้งสดแช่แข็ง เนื่องจากอุปทานใน ตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำจากปัญหาโรคระบาด ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวมเพิ่มขึ้น เล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกข้าวลดลงทั้งราคาและปริมาณเพราะอุปทานในตลาดโลกสูง ประกอบกับราคาธัญพืชในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ ต้นปีทำให้ปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังลดลง ในขณะที่การส่งออกยางพาราเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและราคา ตามความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพื่อ ทดแทนยางสังเคราะห์ที่ราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
การนำเข้า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา การนำเข้าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 34.4 จากช่วง เดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบและสินค้าทุนนำเข้าจากต่างประเทศ ในขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ นำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 26.4 ดอลลาร์ สรอ. ต่อ บาร์เรลในเดือนสิงหาคมปีนี้เทียบกับ 19.5 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนเดียวกันปีก่อน
การนำเข้าสินค้าทุนที่สำคัญ นอกเหนือจากเครื่องจักรที่ใช้เพื่อการอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีการนำเข้าเครื่องบินเพื่อการพาณิชย์ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 ลำ มูลค่าประมาณ 791 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกุมภาพันธ์ และการนำเข้าเครื่องบิน Alpha Jet ของกองทัพอากาศ ชุดแรกจำนวน 5 ลำ (จาก ทั้งหมด 25 ลำ) ในเดือนกันยายน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. การนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากปริมาณเป็นสำคัญ
ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด แม้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น แต่การนำเข้าที่เร่งตัวมาก ทำให้เกินดุลการค้า 4.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่เกินดุล 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ดุลบริการและบริจาคเกินดุลเพราะรายจ่ายด้านดอกเบี้ยของภาคเอกชนลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนมาก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับ 9.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกัน ปีก่อน
เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ขาดดุล 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ปีก่อนที่ขาดดุล 7.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากเป็นการชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ
สูงถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (ช่วงเดียวกัน ปีก่อนชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ 11.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ในจำนวนนี้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ก่อนกำหนด 2.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก สภาพคล่องเงินบาทในประเทศเอื้ออำนวยให้ธุรกิจเอกชนที่มีศักยภาพระดมเงินบาทจากตลาดในประเทศนำไปชำระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับค่าเงินบาทในช่วงไตรมาสที่ 2 ค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงจูงใจให้ภาคธุรกิจเร่งชำระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ส่วนการชำระคืนหนี้ภาคธนาคารพาณิชย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะยอดหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจลดลงไปมากแล้วจากการชำระในปีก่อน
เงินทุนภาคทางการ (รวมธปท.) เกินดุลเพียงเล็กน้อย มีการนำเข้าเงินกู้โครงการเพื่อปรับโครงสร้างภาคราชการจำนวน 212 ล้านดอลลาร์
สรอ. และการชำระคืนพันธบัตรที่ครบอายุไถ่ถอน ต่างจากปีก่อนที่มีการนำเข้าเงินกู้สุทธิเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ มีการชำระคืนภาระ Swap ที่ธปท. ใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มสภาพคล่องเงินบาท ในช่วงก่อน Y2K อนึ่ง ทางการได้ออกตราสารหนี้ระยะสั้นในตลาดทุนยุโรป (Euro commercial paper) เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกู้ต่อเพื่อชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 474 ล้านดอลลาร์ สรอ. ด้วย
ดุลการชำระเงิน เปลี่ยนจากเกินดุล 2.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นขาดดุลสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองทางการ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อยู่ที่ระดับ 32.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่ากับการนำเข้า 6.6 เดือน โดยมียอดคงค้างการขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 2.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-