1. การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 อนุมัติในหลักการให้ใช้มาตรการภาษีสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในอัตราเท่ากับ 3.3165 บาทต่อลิตร
การปรับปรุงภาษีสรรพสามิตดังกล่าวจะส่งผลกระทบที่สำคัญ ดังนี้
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์จะมีภาระภาษีรวม (ภาษีสรรพสามิต ภาษีท้องถิ่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม) น้อยกว่าภาระภาษีของน้ำมันเบนซินประมาณ 43 สตางค์ต่อลิตร
- ในระยะแรกของการจำหน่าย คาดว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะสามารถทดแทนปริมาณจำหน่ายน้ำมันเบนซินได้ประมาณร้อยละ 10 จึงทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีสรรพสามิต ภาษีท้องถิ่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมกันประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี
- ช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าสารเพิ่มค่าออกเทน MTBE ได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี
2. มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เสนอ ดังนี้
2.1 กำหนดการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเป็นรายสาขาแก่สาขาการเกษตร การประมง และการขนส่ง ดังนี้
- สาขาเกษตร ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแก่เกษตรกรจำนวน 5.64 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวงเงินประมาณ 754 ล้านบาท
- สาขาประมง ให้กรมประมงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแก่เรือประมงขนาดเล็กที่มีความยาวไม่เกิน 14 เมตร ในอัตราชดเชยไม่เกินลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (วันที่ 1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวงเงินประมาณ 321 ล้านบาท
- สาขาขนส่ง
- ให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ประกอบการ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ จำนวนประมาณ 32,000 คัน ในอัตราเฉลี่ย 40 ลิตร/วัน/คัน อัตราลิตรละ 1.20 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบกลาง ในวงเงินประมาณ 140 ล้านบาท
- ให้กระทรวงคมนาคมตรึงราคาสำหรับรถโดยสาร ขสมก. รถไฟ และรถรับส่งสินค้าขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)
2.2 กำหนดให้มีการทบทวนผลประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ซึ่งมีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและมีระยะเวลาสิ้นสุดในปี 2544 หากเห็นว่ามีประโยชน์คุ้มค่าจึงจะพิจารณาขยายเวลาให้ดำเนินการต่อไป
3. การขอขยายเวลามาตรการ Local Content สินค้านมต่อองค์การการค้าโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอให้ปรับปรุงการขอขยายเวลาใช้มาตรการ Local Content สินค้านมของไทยต่อองค์การการค้าโลก จากเดิมซึ่งไทยจะขอขยายเวลาใช้มาตรการนี้ต่อไปอีก 5 ปี ปรับเป็นขอขยายระยะเวลาใช้มาตรการนี้ต่อไปอีก 2 ครั้งๆ ละ 2 ปีแทน โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบการเจรจากับองค์การการค้าโลก
อนึ่ง มาตรการ Local Content สินค้านมของไทย คือ การกำหนดให้ผู้ที่นำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำนมดื่มหรือนมพร้อมดื่ม ต้องซื้อน้ำนมดิบภายในประเทศในอัตราส่วน 20:1 ของน้ำหนักหางนมผงที่นำเข้า มาตรการนี้ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมน้ำนมดิบและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด ในช่วงที่ขอขยายระยะเวลาใช้มาตรการนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งพัฒนาศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานด้านการผลิต และสามารถแข่งขันได้ในอนาคต
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 อนุมัติในหลักการให้ใช้มาตรการภาษีสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในอัตราเท่ากับ 3.3165 บาทต่อลิตร
การปรับปรุงภาษีสรรพสามิตดังกล่าวจะส่งผลกระทบที่สำคัญ ดังนี้
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์จะมีภาระภาษีรวม (ภาษีสรรพสามิต ภาษีท้องถิ่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม) น้อยกว่าภาระภาษีของน้ำมันเบนซินประมาณ 43 สตางค์ต่อลิตร
- ในระยะแรกของการจำหน่าย คาดว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะสามารถทดแทนปริมาณจำหน่ายน้ำมันเบนซินได้ประมาณร้อยละ 10 จึงทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีสรรพสามิต ภาษีท้องถิ่น และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมกันประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี
- ช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าสารเพิ่มค่าออกเทน MTBE ได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี
2. มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เสนอ ดังนี้
2.1 กำหนดการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเป็นรายสาขาแก่สาขาการเกษตร การประมง และการขนส่ง ดังนี้
- สาขาเกษตร ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแก่เกษตรกรจำนวน 5.64 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวงเงินประมาณ 754 ล้านบาท
- สาขาประมง ให้กรมประมงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแก่เรือประมงขนาดเล็กที่มีความยาวไม่เกิน 14 เมตร ในอัตราชดเชยไม่เกินลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (วันที่ 1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวงเงินประมาณ 321 ล้านบาท
- สาขาขนส่ง
- ให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ประกอบการ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ จำนวนประมาณ 32,000 คัน ในอัตราเฉลี่ย 40 ลิตร/วัน/คัน อัตราลิตรละ 1.20 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2544 — 31 สิงหาคม 2544) โดยใช้งบกลาง ในวงเงินประมาณ 140 ล้านบาท
- ให้กระทรวงคมนาคมตรึงราคาสำหรับรถโดยสาร ขสมก. รถไฟ และรถรับส่งสินค้าขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)
2.2 กำหนดให้มีการทบทวนผลประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ซึ่งมีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและมีระยะเวลาสิ้นสุดในปี 2544 หากเห็นว่ามีประโยชน์คุ้มค่าจึงจะพิจารณาขยายเวลาให้ดำเนินการต่อไป
3. การขอขยายเวลามาตรการ Local Content สินค้านมต่อองค์การการค้าโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอให้ปรับปรุงการขอขยายเวลาใช้มาตรการ Local Content สินค้านมของไทยต่อองค์การการค้าโลก จากเดิมซึ่งไทยจะขอขยายเวลาใช้มาตรการนี้ต่อไปอีก 5 ปี ปรับเป็นขอขยายระยะเวลาใช้มาตรการนี้ต่อไปอีก 2 ครั้งๆ ละ 2 ปีแทน โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบการเจรจากับองค์การการค้าโลก
อนึ่ง มาตรการ Local Content สินค้านมของไทย คือ การกำหนดให้ผู้ที่นำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำนมดื่มหรือนมพร้อมดื่ม ต้องซื้อน้ำนมดิบภายในประเทศในอัตราส่วน 20:1 ของน้ำหนักหางนมผงที่นำเข้า มาตรการนี้ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมน้ำนมดิบและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด ในช่วงที่ขอขยายระยะเวลาใช้มาตรการนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งพัฒนาศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานด้านการผลิต และสามารถแข่งขันได้ในอนาคต
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-