เศรษฐกิจการเงินภาคเหนือในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2543 ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน ในหลายภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการส่งออก ในช่วง 9 เดือนปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) โดยเพิ่มขึ้นทั้งการผ่านท่าอากาศยานและการค้าชายแดน ส่วน การนำเข้าก็เพิ่มในเกณฑ์สูงร้อยละ 43.1 จากการนำเข้าเครื่องจักรของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน เพื่อมาขยายกำลังการผลิต ทางด้าน ภาคเกษตร แม้ราคาพืชผลเกษตรจะไม่ดีนัก แต่ปริมาณผลผลิตพืชสำคัญเกือบทุกชนิดเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ดีเนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.7 ส่วน ภาคอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซรามิกที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารก็ขยายตัวในเกณฑ์ดีเช่นกัน แต่อุตสาหกรรมที่จำหน่ายในประเทศส่วนใหญ่ยังไม่กระเตื้องขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อในไตรมาส 3 เริ่มชะลอตัว ขณะที่ ภาคบริการ จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัว โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ดีส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยชะลอลงเนื่องจากระมัดระวังการใช้จ่ายและมีการจัดประชุมสัมมนาในภาคเหนือลดลง การลงทุนภาคเอกชน เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกมีการขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของต่างประเทศ และเป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนชาวไทยเริ่มสนใจขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเบาประเภทตัดเย็บเสื้อผ้า ตัดและเจียระไนอัญมณี ทางด้านอสังหาริมทรัพย์การลงทุนในโครงการใหม่ยังมีน้อย เนื่องจากปัญหาอุปทานส่วนเกินที่มีมาก ในส่วนโครงการที่ได้หยุดชะงักลงแล้วเริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเฉพาะหลังจากเจรจาปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ และสถาบันการเงินเริ่มให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นบ้าง สำหรับ การใช้จ่ายภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์ดี แต่เริ่มมีสัญญาณบางด้านที่บ่งชี้ว่าการอุปโภคบริโภคสินค้าบางประเภทเริ่มชะลอตัว จากการที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวยังไม่เต็มที่ รวมทั้งแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐจากโครงการมิยาซาวาอ่อนตัว
ทางด้าน ฐานะการคลังรัฐบาล การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในภาคเหนือลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 โดยรายได้ที่จัดเก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยลดลงเป็นสำคัญ ทางด้านรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือน สำหรับการใช้จ่ายตามโครงการมิยาซาวาเบิกจ่ายแล้ว 8,045.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.7 ของวงเงินอนุมัติ ในภาคการเงิน ยอดคงค้างของสินเชื่อสาขาธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือ โดยรวมยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เริ่มมีการให้สินเชื่อใหม่ในบางประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อการส่งออก สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อแรงงานต่างประเทศ สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อเพื่อการก่อสร้างภาครัฐ ทางด้านระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน โดยเพิ่มขึ้นจาก ระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.8
ภาคเกษตร
ผลผลิตพืชสำคัญของภาคเหนือช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกโดยเฉพาะข้าวนาปีในบางจังหวัดของภาคเหนือตอนล่างจะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่พื้นที่เสียหายมีไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกรวม แต่จากสภาพอากาศเอื้ออำนวยปริมาณน้ำฝนมากและกระจายตัวดี รวมทั้งปริมาณน้ำในเขื่อนพอเพียง ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมผลผลิตเพิ่มขึ้น โดย ข้าวนาปรัง ผลผลิตปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เป็น 1.5 ล้านเมตริกตัน อ้อยโรงงาน ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เป็น 12.6 ล้านเมตริกตัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เป็น 1.8 ล้านเมตริกตันมันสำปะหลัง ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 เป็น 2.3 ล้านเมตริกตัน หอมหัวใหญ่ และ หอมแดง ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากทำให้ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 และร้อยละ 8.8 ตามลำดับ กระเทียม เนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นจากราคาปีก่อนจูงใจ และมีการเพาะปลูกกระเทียมหัวใหญ่สายพันธุ์จากจีนเพื่อสนองความต้องการของตลาด ทำให้ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ลิ้นจี่ ผลผลิตปี 2543 จากแหล่งผลิตสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเพิ่มขึ้นร้อยละ 161.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับ ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 149.0 อย่างไรก็ตาม มีพืชบางชนิดที่ผลผลิตลดลง ได้แก่ ถั่วเขียว ลดลงร้อยละ 5.3 ใบยาเวอร์จิเนีย และ ใบยาเบอร์เลย์ ผลผลิตลดลงจากการลดโควตาการผลิต เพราะสต็อกยาสูบอยู่ในระดับสูง ทำให้ปริมาณการรับซื้อลดลงร้อยละ 33.1 และ 27.9 ตามลำดับ
ราคาพืชผลเกษตรสำคัญของภาคเหนือปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนปีนี้ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเพียงร้อยละ 3.8 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 12.6 ในครึ่งแรกของปีนี้ ราคาพืชผลสำคัญที่ออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 3 เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง และถั่วเขียวผิวมัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.0 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 1.4 ตามลำดับ ประกอบกับผลผลิตพืชสำคัญของภาคเหนือเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ดี ทำให้รายได้เกษตรกรในพืชสำคัญดังกล่าวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นอกภาคเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมของภาคเหนือในช่วง 9 เดือน ปี 2543 ยังคงขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน มีภาวะเร่งตัวมาก โดยผลผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.8 ตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ เช่น เอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โรงงานส่วนใหญ่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่เพื่อผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการ และโรงงานหลายแห่งเริ่มนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ผลผลิตน้ำตาลขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 เป็น 1,181,937.4 เมตริกตัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.8 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามปริมาณอ้อยที่แม้จะเพิ่มขึ้นแต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าปีก่อน สำหรับการผลิตเซรามิกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามความต้องการเพื่อการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง ทำให้ผู้ประกอบการ สามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น โรงงานเซรามิกที่ผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่ใช้กำลังการผลิตค่อนข้างเต็มที่ และบางโรงงานเริ่มมีแนวโน้มที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศยังคงชะลอตัวตามความต้องการภายในประเทศที่ยังไม่เร่งตัว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่น ลูกกรงแก้ว สำหรับการผลิตปูนซีเมนต์ยังคงหดตัวแต่อัตราการหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากเริ่มมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นบ้าง การผลิตสังกะสีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็น 72,977.0 เมตริกตัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามความต้องการในประเทศ
ภาคเหมืองแร่
ผลผลิต น้ำมันดิบ ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 เป็น 6.4 ล้านบาร์เรล เนื่องจากการผลิตจากหลุมใหม่ดำเนินการได้เต็มที่ ขณะที่การผลิต ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.2 เป็น 15.6 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนน้ำมันเตาที่มีราคาสูงขึ้น ผลผลิต ลิกไนต์ ช่วง 8 เดือนปีนี้ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.4 เหลือ 11.8 ล้านเมตริกตัน เนื่องจากผู้ใช้สำคัญคือ โรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่อำเภอแม่เมาะมีการปรับปรุงเครื่องจักรช่วงต้นปี หินปูน ลดลงร้อยละ 15.5 เหลือ 3.2 ล้านเมตริกตัน
ภาคบริการ
ภาคบริการยังคงแสดงแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยด้านการใช้จ่ายทางภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในภาคเหนือตอนบน จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงมกราคม—กรกฎาคม 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 เป็น 1,693,169 คน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 ปีก่อน โดยทั้งหมดเป็นการเพิ่มขึ้นของ นักท่องเที่ยว ชาวต่างประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น การเปิดตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีผลดีต่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม เพราะมีระยะเวลาพำนักยาวและใช้บริการภายในโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนอกฤดูกาลนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากยุโรป ส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัว ส่วนการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซียในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2543 ก็มีผลต่อการท่องเที่ยวบ้างแต่ไม่มากนัก ในขณะที่ นักท่องเที่ยวไทย มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการประชุมที่ลดลง ส่วนจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานในเดือนมกราคม—สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 2,144,275 คน เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 1.4 ปีก่อน แม้ว่ามีการปรับค่าโดยสารสำหรับเส้นทางการบินในประเทศและต่างประเทศของการบินไทยขึ้นประมาณร้อยละ 13.5 และประมาณร้อยละ 3-7 ในเดือนเมษายน 2543 โดยผลกระทบต่อผู้ใช้บริการมีเพียงเล็กน้อย เพราะราคาค่าโดยสารที่ปรับขึ้นยังสามารถแข่งขันกับสายการบินต่างประเทศได้
การใช้จ่ายภาคเอกชน
การใช้จ่ายภาคเอกชนอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว แต่เริ่มมีสัญญาณบางด้านที่ชี้ว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 โดยเฉพาะเครื่องชี้ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้มีแนวโน้มลดลงในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้จากการที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมทั้งแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐจากโครงการมิยาซาวาอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ยอดจดทะเบียนรถยนต์เดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.0 เป็น 18,131 คัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.3 เป็น 84,010 คัน เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 25.1 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ การจูงใจผู้บริโภคด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินดาวน์ต่ำ และระยะเวลาผ่อนชำระนาน รวมทั้งการเสนอบริการพิเศษหลังการขาย ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 2.3 ระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 (คำนวณจากฐานภาษีร้อยละ 7) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.4 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ระยะเดียวกันปีก่อน สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 มียอดคงค้าง 39,401.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.6 เทียบกับที่ลดลงถึงร้อยละ 13.8 ระยะเดียวกันปีก่อน
การลงทุน/ก่อสร้าง
การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นบ้าง พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล ภาคเหนือในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 เป็น 325,618 ตารางเมตร เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 39.2 ระยะเดียวกันปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ด้านกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนส่งสัญญาณดี โดยในช่วง 9 เดือน มีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 39 ราย เงินลงทุนรวม 7,469.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 39.3 และร้อยละ 82.7 ตามลำดับ เทียบกับจำนวนผู้ได้รับอนุมัติฯที่ลดลงร้อยละ 44.0 และเงินลงทุนของกิจการที่ได้รับอนุมัติฯที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ในช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกิจการที่ได้รับอนุมัติฯมีนักลงทุนชาวไทยขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ประกอบด้วยหมวดอุตสาหกรรมเบา เช่น การผลิตเสื้อผ้า การผลิตเลนส์ อุตสาหกรรมการเกษตรและการแปรรูปผลิตผลเกษตร อุตสาหกรรมผลิตอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้า อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค เช่น การผลิต Software สำหรับ โรงงานที่จดทะเบียนตั้งใหม่ มี 359 โรงงาน เงินลงทุน 1,754.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14.5 และร้อยละ 53.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จำนวน โรงงานที่จดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 145 โรงงาน เงินลงทุน 603.8 ล้านบาท เทียบกับ 173 โรงงาน เงินลงทุน 302.3 ล้านบาท ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง เช่น การผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป ด้าน สินเชื่อเพื่อการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่อัตราการลดลงปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 15,163.9 ล้านบาท และ 12,422.8 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.2 และร้อยละ 5.4 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 8.5 และร้อยละ 11.9 ปีก่อน ในช่วง 9 เดือนปีนี้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีการขยายกำลังการผลิตและนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ยังมีน้อย เนื่องจากปัญหาอุปทานส่วนเกินที่มีมาก ในส่วนของโครงการที่ได้หยุดชะงักลงแล้วเริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สำหรับการลงทุนภาครัฐในเดือนมกราคม-กันยายน 2543 ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.6 เหลือ 29,579.7 ล้านบาท เทียบกับที่ทรงตัวในระยะเดียวกันปีก่อน
ฐานะการคลัง
ฐานะการคลังรัฐบาลภาคเหนือในช่วง 9 เดือน ปี 2543 (มกราคม—กันยายน 2543) ในส่วนของเงินในงบประมาณขาดดุล 75,814.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับที่ขาดดุล 74,014.1 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน
รายได้ที่รัฐบาลนำส่งคลังจังหวัดทั้ง 20 แห่งในภาคเหนือลดลงร้อยละ 8.0 เหลือ 7,778.5 ล้านบาท เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 18.0 ระยะเดียวกันปีก่อน จากรายได้ที่จัดเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงเป็นสำคัญ โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงร้อยละ 18.5 เหลือ 2,891.2 ล้านบาท ลดลงมากในส่วนที่เก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยถึงร้อยละ 39.9 จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงร้อยละ 12.4 เหลือ 2,208.2 ล้านบาท ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 เป็น 1,353.4 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดจัดเก็บภาษี ประกอบกับบริษัทเอกชนส่วนใหญ่เริ่มมีผลการประกอบการที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนทำให้มีการยื่นชำระภาษีเพิ่มขึ้น
รายจ่ายรัฐบาลในภาคเหนือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เป็น 83,593.2 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำเป็นสำคัญ โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เป็น 54,013.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากในหมวดค่าจ้างชั่วคราว และหมวดค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 17.7 และร้อยละ 14.0 เป็น 1,626.0 ล้านบาท และ 818.7 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 0.6 เหลือ 29,579.7 ล้านบาท โดยรายจ่ายลงทุนจากงบประมาณปีก่อนๆลดลงร้อยละ 36.9 เหลือ 4,731.7 ล้านบาท เนื่องจากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีลดลง ขณะที่รายจ่ายลงทุนจากงบประมาณปีปัจจุบันเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 เป็น 24,848.0 ล้านบาท ตามการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ตาม รายจ่ายจากงบประมาณของรัฐเมื่อรวมกับรายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาวา) ที่เบิกจ่ายในช่วง 9 เดือน ปี 2543 จำนวน 1,252.5 ล้านบาทแล้ว ยอดรวมรายจ่ายลดลงร้อยละ 4.2 เหลือ 84,845.7 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ระยะเดียวกันปีก่อน
รายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาวา) ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มีวงเงินอนุมัติทั้งสิ้น 8,492.4 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 8,045.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.7 ของวงเงินอนุมัติ จังหวัดที่มีการเบิกจ่ายสูงที่สุดได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุทัยธานี และเชียงราย อัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 98.7 ร้อยละ 97.8 และร้อยละ 97.7 ของวงเงินอนุมัติ ตามลำดับ
การค้าต่างประเทศ
การส่งออก ช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีมูลค่า 993.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 20.5 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 38,584.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) เพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ และการส่งออกสินค้าผ่านชายแดน โดย การส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 842.1 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 32,740.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) เนื่องจากการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ดีขึ้น และความต้องการบริโภคสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น การส่งออกนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ มีมูลค่า 121.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 4,785.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) จากการส่งออกลำไยช่วงไตรมาส 3 เป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นผลจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น และผู้ประกอบการได้เริ่มใช้การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เพื่อติดต่อและโฆษณาสินค้า การส่งออกผ่านชายแดน มีมูลค่า 5,844.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.4 ในปีก่อน โดย การส่งออกไปพม่า มีมูลค่า 4,921.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าร้อยละ 52.7 ในช่วง 9 เดือน ปี 2542 เนื่องจากในเดือนมีนาคม-เมษายน 2543 เกิดปัญหาด้านการส่งออกผ่านด่านแม่สอดจังหวัดตาก อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกยังอยู่ในเกณฑ์สูง การส่งออกไปลาว มีมูลค่า 383.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการมีเพิ่มขึ้นประกอบกับค่าเงินกีบค่อนข้างมีเสถียรภาพ การส่งออกไปจีน (ตอนใต้) มีมูลค่า 539.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีก่อน เนื่องจากการส่งออกลำไยอบแห้งทั้งในฤดูกาลและนอกฤดูกาลเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถส่งออกเมล็ดข้าวโพดในน้ำเกลือ และยางรถยนต์ เพิ่มขึ้น
การนำเข้า ช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีมูลค่า 847.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 32,903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) โดย การนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 817.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 31,738.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) ตามความต้องการวัตถุดิบและเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ด้าน การนำเข้าผ่านด่านชายแดน มีมูลค่า 1,164.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวในปีก่อน โดยลดลงทั้ง การนำเข้าจากพม่า ซึ่งมีมูลค่า 669.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการนำเข้าโค-กระบือ ไม้ซุง และอัญมณีลดลงมาก และ การนำเข้าจากจีน (ตอนใต้) ซึ่งมีมูลค่า 147.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการนำเข้าแอ๊ปเปิลลดลงเพราะมีแอ๊ปเปิลคุณภาพดีจากสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์มาทดแทน ส่วน การนำเข้าจากลาว ยังเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่า 347.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากนำเข้าโค-กระบือ และไม้ซุงเพิ่มขึ้น
ระดับราคา
ดัชนีราคาผู้บริโภค
ดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.8 ทั้งนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มในอัตราร้อยละ 3.9 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงในอัตราร้อยละ 2.3
หมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.9 จากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารในอัตราร้อยละ 8.9 โดยเฉพาะราคาสินค้ากลุ่มยานพาหนะมีอัตราเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 10.3 ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นมาก ขณะที่หมวดอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น หมวดเครื่องนุ่งห่ม และหมวดเคหสถาน ราคาเพิ่มขึ้นเท่ากันร้อยละ 1.3 หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคลราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 หมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษา ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.3 ตามการลดลงของราคากลุ่มผักและผลไม้ลดลงร้อยละ 7.6 และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นมลดลงร้อยละ 7.5 ตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมาก สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ระดับราคาลดลงร้อยละ 5.2 กลุ่มข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งลดลงร้อยละ 4.6 กลุ่มอาหารที่ซื้อจากตลาดลดลงร้อยละ 8.6 และกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ลดลงร้อยละ 1.2 ตามภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการ ขณะที่กลุ่มอาหารที่ซื้อบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น
ดัชนีราคาขายส่ง
ดัชนีราคาขายส่งของภาคเหนือในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2543 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนลดลงร้อยละ 1.1 เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าในหมวดสินค้าเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารร้อยละ 5.2 ขณะที่ราคาหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
หมวดสินค้าเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.2 เป็นผลจากการลดลงของราคากลุ่มสินค้าเกษตรกรรมร้อยละ 13.3 กลุ่มเนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ 4.6 กลุ่มอาหารสัตว์ลดลงร้อยละ 2.2 จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อภาคเกษตรกรรม ทำให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ราคาเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.0 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมถึงร้อยละ 40.2 ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้ากลุ่มหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์หนังราคาเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.4 เนื่องจากตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้นทำให้วัตถุดิบประเภทหนังดิบมีราคาสูงขึ้น ขณะที่สินค้าเคมีและผลิตภัณฑ์เคมีมีราคาลดลงร้อยละ 7.0 เนื่องจากมีการแข่งขันกันลดราคาเพื่อระบายสินค้า โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี และสินค้ากลุ่มสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ราคาลดลงร้อยละ 1.3 จากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ส่วนราคาสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างทรงตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน
การเงินการธนาคาร
เงินฝาก ณ สิ้นกันยายน 2543 ที่สาขาธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้าง 270,414.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.8 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 1.7 ปีก่อน ส่วนหนึ่งจากผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากในโครงการแลกเปลี่ยนตั๋วฯของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่มีตั๋วเงินครบกำหนด และนำเงินที่ได้รับบางส่วนมาฝากไว้ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งผู้ฝากมีรายได้จากการจำหน่ายพืชผลที่สำคัญทางการเกษตร เช่น ข้าวนาปรัง อ้อย ลิ้นจี่ และลำไย เป็นต้น ประกอบกับเงินฝากที่ประชาชนได้ถอนออกไปในช่วงสิ้นปีก่อนเพื่อรองรับ Y2K ได้ทยอยไหลกลับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเบิกถอนเงินฝากบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า รวมทั้งเพื่อใช้ซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ นอกจากนั้นยังมีการนำเงินฝากที่เคยใช้ค้ำประกันเงินกู้มาชำระหนี้ ทั้งนี้เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง เชียงใหม่ ตาก และพิจิตร
สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือในภาพรวมยังคงลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มียอดคงค้าง 188,723.7 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.3 ชะลอลงเมื่อเทียบกับลดลงร้อยละ 11.7 ปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังการให้สินเชื่อในบางประเภทธุรกิจ เช่น สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการค้าภายในประเทศ เป็นต้น ประกอบกับมีการชำระคืนหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ อีกทั้งสินเชื่อบางส่วนโอนไปบริหารที่ส่วนกลาง รวมทั้งการตัดจำหน่ายลูกหนี้จากการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถกันสำรองได้ครบแล้ว อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสสอง โดยเริ่มมีการให้สินเชื่อในบางประเภท ผลจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการขยายตัวของบางธุรกิจ เช่น สินเชื่อส่งออก สินเชื่ออยู่อาศัย สินเชื่อแก่แรงงานที่ไปต่างประเทศ สินเชื่อแก่ธุรกิจก่อสร้างโดยเฉพาะที่รับงานของภาครัฐ และสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งนี้สินเชื่อลดลงมากที่จังหวัดอุตรดิตถ์ นครสวรรค์ พะเยา เชียงใหม่ และอุทัยธานี
ทางด้าน อัตราดอกเบี้ย เงินฝากของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 ธนาคาร ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 โน้มต่ำลง ตามสภาพคล่องของระบบการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำ 3 เดือน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 ต่อปี ลดลงจากร้อยละ 3.75-4.00 ต่อปีจากสิ้นปีก่อน และปรับตัวลดลงจากร้อยละ 4.25-4.75 ต่อปี ของระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าชั้นดี (MLR) อยู่ที่ระดับ 7.50-8.25 ต่อปี ลดลงเทียบกับร้อยละ 8.25-8.75 ต่อปีจากสิ้นปีก่อน และร้อยละ 8.50-8.75 ต่อปีของระยะเดียวกันปีก่อน
ปริมาณการใช้เช็คในช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีปริมาณเช็คเรียกเก็บทั้งสิ้น 3,203,821 ฉบับ มูลค่า 210,977.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.2 และร้อยละ 1.1 ตามลำดับ ตามปริมาณธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ทางด้านเช็คคืนมีปริมาณ 61,587 ฉบับ มูลค่า 3,361.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.2 และร้อยละ 18.4 ตามลำดับ สัดส่วนปริมาณและมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 และร้อยละ1.6 ตามลำดับ เทียบกับร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.0 ช่วงเดียวกันปีก่อน
แนวโน้มในไตรมาส 4 ปี 2543
คาดว่าเศรษฐกิจภาคเหนือยังมีแนวโน้มขยายตัวจากการผลิตทางการเกษตร การท่องเที่ยว และการส่งออกซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ โดย ภาคเกษตร แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีเสียหายบางส่วนจากน้ำท่วม แต่จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น คาดว่าการผลิตจะอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว ส่วนทางด้าน การส่งออก และ การท่องเที่ยว ก็อยู่ในเกณฑ์ขยายตัวได้ดีเช่นกัน เนื่องจากไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงของการขยายตัวตามฤดูกาล ประกอบกับได้รับประโยชน์จากความต้องการของตลาดต่างประเทศ และระดับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่เอื้ออำนวย แต่สำหรับอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศขึ้นอยู่กับภาวะการอุปโภคภายในประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งภาวะการใช้จ่ายจะฟื้นตัวต่อเนื่องได้มากน้อยเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสนับสนุนสำคัญหลายด้าน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น กลไกการทำงานทางด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งหากสามารถทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะจากความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน โดยการปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งจะทำให้ปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจผ่อนคลายลง ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือมีพื้นฐานที่สมบูรณ์ขึ้นและสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ปี 2543
--ส่วนวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ/26 ตุลาคม 2543--
-ยก-
ทางด้าน ฐานะการคลังรัฐบาล การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในภาคเหนือลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 โดยรายได้ที่จัดเก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยลดลงเป็นสำคัญ ทางด้านรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือน สำหรับการใช้จ่ายตามโครงการมิยาซาวาเบิกจ่ายแล้ว 8,045.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.7 ของวงเงินอนุมัติ ในภาคการเงิน ยอดคงค้างของสินเชื่อสาขาธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือ โดยรวมยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เริ่มมีการให้สินเชื่อใหม่ในบางประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อการส่งออก สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อแรงงานต่างประเทศ สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อเพื่อการก่อสร้างภาครัฐ ทางด้านระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน โดยเพิ่มขึ้นจาก ระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.8
ภาคเกษตร
ผลผลิตพืชสำคัญของภาคเหนือช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกโดยเฉพาะข้าวนาปีในบางจังหวัดของภาคเหนือตอนล่างจะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่พื้นที่เสียหายมีไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกรวม แต่จากสภาพอากาศเอื้ออำนวยปริมาณน้ำฝนมากและกระจายตัวดี รวมทั้งปริมาณน้ำในเขื่อนพอเพียง ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมผลผลิตเพิ่มขึ้น โดย ข้าวนาปรัง ผลผลิตปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เป็น 1.5 ล้านเมตริกตัน อ้อยโรงงาน ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เป็น 12.6 ล้านเมตริกตัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เป็น 1.8 ล้านเมตริกตันมันสำปะหลัง ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 เป็น 2.3 ล้านเมตริกตัน หอมหัวใหญ่ และ หอมแดง ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากทำให้ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 และร้อยละ 8.8 ตามลำดับ กระเทียม เนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นจากราคาปีก่อนจูงใจ และมีการเพาะปลูกกระเทียมหัวใหญ่สายพันธุ์จากจีนเพื่อสนองความต้องการของตลาด ทำให้ผลผลิตฤดูการผลิต 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ลิ้นจี่ ผลผลิตปี 2543 จากแหล่งผลิตสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเพิ่มขึ้นร้อยละ 161.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับ ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 149.0 อย่างไรก็ตาม มีพืชบางชนิดที่ผลผลิตลดลง ได้แก่ ถั่วเขียว ลดลงร้อยละ 5.3 ใบยาเวอร์จิเนีย และ ใบยาเบอร์เลย์ ผลผลิตลดลงจากการลดโควตาการผลิต เพราะสต็อกยาสูบอยู่ในระดับสูง ทำให้ปริมาณการรับซื้อลดลงร้อยละ 33.1 และ 27.9 ตามลำดับ
ราคาพืชผลเกษตรสำคัญของภาคเหนือปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนปีนี้ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเพียงร้อยละ 3.8 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 12.6 ในครึ่งแรกของปีนี้ ราคาพืชผลสำคัญที่ออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 3 เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง และถั่วเขียวผิวมัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.0 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 1.4 ตามลำดับ ประกอบกับผลผลิตพืชสำคัญของภาคเหนือเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ดี ทำให้รายได้เกษตรกรในพืชสำคัญดังกล่าวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นอกภาคเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมของภาคเหนือในช่วง 9 เดือน ปี 2543 ยังคงขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน มีภาวะเร่งตัวมาก โดยผลผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.8 ตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ เช่น เอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โรงงานส่วนใหญ่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่เพื่อผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการ และโรงงานหลายแห่งเริ่มนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ผลผลิตน้ำตาลขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 เป็น 1,181,937.4 เมตริกตัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.8 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามปริมาณอ้อยที่แม้จะเพิ่มขึ้นแต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าปีก่อน สำหรับการผลิตเซรามิกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามความต้องการเพื่อการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง ทำให้ผู้ประกอบการ สามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น โรงงานเซรามิกที่ผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่ใช้กำลังการผลิตค่อนข้างเต็มที่ และบางโรงงานเริ่มมีแนวโน้มที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศยังคงชะลอตัวตามความต้องการภายในประเทศที่ยังไม่เร่งตัว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่น ลูกกรงแก้ว สำหรับการผลิตปูนซีเมนต์ยังคงหดตัวแต่อัตราการหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากเริ่มมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นบ้าง การผลิตสังกะสีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็น 72,977.0 เมตริกตัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามความต้องการในประเทศ
ภาคเหมืองแร่
ผลผลิต น้ำมันดิบ ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 เป็น 6.4 ล้านบาร์เรล เนื่องจากการผลิตจากหลุมใหม่ดำเนินการได้เต็มที่ ขณะที่การผลิต ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.2 เป็น 15.6 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนน้ำมันเตาที่มีราคาสูงขึ้น ผลผลิต ลิกไนต์ ช่วง 8 เดือนปีนี้ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.4 เหลือ 11.8 ล้านเมตริกตัน เนื่องจากผู้ใช้สำคัญคือ โรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่อำเภอแม่เมาะมีการปรับปรุงเครื่องจักรช่วงต้นปี หินปูน ลดลงร้อยละ 15.5 เหลือ 3.2 ล้านเมตริกตัน
ภาคบริการ
ภาคบริการยังคงแสดงแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยด้านการใช้จ่ายทางภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในภาคเหนือตอนบน จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงมกราคม—กรกฎาคม 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 เป็น 1,693,169 คน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 ปีก่อน โดยทั้งหมดเป็นการเพิ่มขึ้นของ นักท่องเที่ยว ชาวต่างประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น การเปิดตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีผลดีต่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม เพราะมีระยะเวลาพำนักยาวและใช้บริการภายในโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนอกฤดูกาลนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากยุโรป ส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัว ส่วนการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซียในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2543 ก็มีผลต่อการท่องเที่ยวบ้างแต่ไม่มากนัก ในขณะที่ นักท่องเที่ยวไทย มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการประชุมที่ลดลง ส่วนจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานในเดือนมกราคม—สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 2,144,275 คน เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 1.4 ปีก่อน แม้ว่ามีการปรับค่าโดยสารสำหรับเส้นทางการบินในประเทศและต่างประเทศของการบินไทยขึ้นประมาณร้อยละ 13.5 และประมาณร้อยละ 3-7 ในเดือนเมษายน 2543 โดยผลกระทบต่อผู้ใช้บริการมีเพียงเล็กน้อย เพราะราคาค่าโดยสารที่ปรับขึ้นยังสามารถแข่งขันกับสายการบินต่างประเทศได้
การใช้จ่ายภาคเอกชน
การใช้จ่ายภาคเอกชนอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว แต่เริ่มมีสัญญาณบางด้านที่ชี้ว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 โดยเฉพาะเครื่องชี้ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้มีแนวโน้มลดลงในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้จากการที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมทั้งแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐจากโครงการมิยาซาวาอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ยอดจดทะเบียนรถยนต์เดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.0 เป็น 18,131 คัน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.3 เป็น 84,010 คัน เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 25.1 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ การจูงใจผู้บริโภคด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินดาวน์ต่ำ และระยะเวลาผ่อนชำระนาน รวมทั้งการเสนอบริการพิเศษหลังการขาย ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 2.3 ระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 (คำนวณจากฐานภาษีร้อยละ 7) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.4 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ระยะเดียวกันปีก่อน สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 มียอดคงค้าง 39,401.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.6 เทียบกับที่ลดลงถึงร้อยละ 13.8 ระยะเดียวกันปีก่อน
การลงทุน/ก่อสร้าง
การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นบ้าง พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล ภาคเหนือในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 เป็น 325,618 ตารางเมตร เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 39.2 ระยะเดียวกันปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ด้านกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนส่งสัญญาณดี โดยในช่วง 9 เดือน มีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 39 ราย เงินลงทุนรวม 7,469.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 39.3 และร้อยละ 82.7 ตามลำดับ เทียบกับจำนวนผู้ได้รับอนุมัติฯที่ลดลงร้อยละ 44.0 และเงินลงทุนของกิจการที่ได้รับอนุมัติฯที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ในช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกิจการที่ได้รับอนุมัติฯมีนักลงทุนชาวไทยขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ประกอบด้วยหมวดอุตสาหกรรมเบา เช่น การผลิตเสื้อผ้า การผลิตเลนส์ อุตสาหกรรมการเกษตรและการแปรรูปผลิตผลเกษตร อุตสาหกรรมผลิตอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้า อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค เช่น การผลิต Software สำหรับ โรงงานที่จดทะเบียนตั้งใหม่ มี 359 โรงงาน เงินลงทุน 1,754.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14.5 และร้อยละ 53.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จำนวน โรงงานที่จดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 145 โรงงาน เงินลงทุน 603.8 ล้านบาท เทียบกับ 173 โรงงาน เงินลงทุน 302.3 ล้านบาท ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง เช่น การผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป ด้าน สินเชื่อเพื่อการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่อัตราการลดลงปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 15,163.9 ล้านบาท และ 12,422.8 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.2 และร้อยละ 5.4 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 8.5 และร้อยละ 11.9 ปีก่อน ในช่วง 9 เดือนปีนี้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีการขยายกำลังการผลิตและนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ยังมีน้อย เนื่องจากปัญหาอุปทานส่วนเกินที่มีมาก ในส่วนของโครงการที่ได้หยุดชะงักลงแล้วเริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สำหรับการลงทุนภาครัฐในเดือนมกราคม-กันยายน 2543 ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.6 เหลือ 29,579.7 ล้านบาท เทียบกับที่ทรงตัวในระยะเดียวกันปีก่อน
ฐานะการคลัง
ฐานะการคลังรัฐบาลภาคเหนือในช่วง 9 เดือน ปี 2543 (มกราคม—กันยายน 2543) ในส่วนของเงินในงบประมาณขาดดุล 75,814.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับที่ขาดดุล 74,014.1 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน
รายได้ที่รัฐบาลนำส่งคลังจังหวัดทั้ง 20 แห่งในภาคเหนือลดลงร้อยละ 8.0 เหลือ 7,778.5 ล้านบาท เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 18.0 ระยะเดียวกันปีก่อน จากรายได้ที่จัดเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงเป็นสำคัญ โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงร้อยละ 18.5 เหลือ 2,891.2 ล้านบาท ลดลงมากในส่วนที่เก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยถึงร้อยละ 39.9 จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงร้อยละ 12.4 เหลือ 2,208.2 ล้านบาท ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 เป็น 1,353.4 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดจัดเก็บภาษี ประกอบกับบริษัทเอกชนส่วนใหญ่เริ่มมีผลการประกอบการที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนทำให้มีการยื่นชำระภาษีเพิ่มขึ้น
รายจ่ายรัฐบาลในภาคเหนือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เป็น 83,593.2 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำเป็นสำคัญ โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เป็น 54,013.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากในหมวดค่าจ้างชั่วคราว และหมวดค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 17.7 และร้อยละ 14.0 เป็น 1,626.0 ล้านบาท และ 818.7 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 0.6 เหลือ 29,579.7 ล้านบาท โดยรายจ่ายลงทุนจากงบประมาณปีก่อนๆลดลงร้อยละ 36.9 เหลือ 4,731.7 ล้านบาท เนื่องจากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีลดลง ขณะที่รายจ่ายลงทุนจากงบประมาณปีปัจจุบันเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 เป็น 24,848.0 ล้านบาท ตามการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ตาม รายจ่ายจากงบประมาณของรัฐเมื่อรวมกับรายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาวา) ที่เบิกจ่ายในช่วง 9 เดือน ปี 2543 จำนวน 1,252.5 ล้านบาทแล้ว ยอดรวมรายจ่ายลดลงร้อยละ 4.2 เหลือ 84,845.7 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ระยะเดียวกันปีก่อน
รายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาวา) ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มีวงเงินอนุมัติทั้งสิ้น 8,492.4 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 8,045.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.7 ของวงเงินอนุมัติ จังหวัดที่มีการเบิกจ่ายสูงที่สุดได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุทัยธานี และเชียงราย อัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 98.7 ร้อยละ 97.8 และร้อยละ 97.7 ของวงเงินอนุมัติ ตามลำดับ
การค้าต่างประเทศ
การส่งออก ช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีมูลค่า 993.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 20.5 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 38,584.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) เพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ และการส่งออกสินค้าผ่านชายแดน โดย การส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 842.1 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 32,740.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) เนื่องจากการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ดีขึ้น และความต้องการบริโภคสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น การส่งออกนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ มีมูลค่า 121.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 4,785.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) จากการส่งออกลำไยช่วงไตรมาส 3 เป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นผลจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น และผู้ประกอบการได้เริ่มใช้การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เพื่อติดต่อและโฆษณาสินค้า การส่งออกผ่านชายแดน มีมูลค่า 5,844.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.4 ในปีก่อน โดย การส่งออกไปพม่า มีมูลค่า 4,921.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าร้อยละ 52.7 ในช่วง 9 เดือน ปี 2542 เนื่องจากในเดือนมีนาคม-เมษายน 2543 เกิดปัญหาด้านการส่งออกผ่านด่านแม่สอดจังหวัดตาก อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกยังอยู่ในเกณฑ์สูง การส่งออกไปลาว มีมูลค่า 383.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการมีเพิ่มขึ้นประกอบกับค่าเงินกีบค่อนข้างมีเสถียรภาพ การส่งออกไปจีน (ตอนใต้) มีมูลค่า 539.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีก่อน เนื่องจากการส่งออกลำไยอบแห้งทั้งในฤดูกาลและนอกฤดูกาลเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถส่งออกเมล็ดข้าวโพดในน้ำเกลือ และยางรถยนต์ เพิ่มขึ้น
การนำเข้า ช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีมูลค่า 847.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 32,903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) โดย การนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 817.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 ในปีก่อน (ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 31,738.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน) ตามความต้องการวัตถุดิบและเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ด้าน การนำเข้าผ่านด่านชายแดน มีมูลค่า 1,164.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวในปีก่อน โดยลดลงทั้ง การนำเข้าจากพม่า ซึ่งมีมูลค่า 669.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการนำเข้าโค-กระบือ ไม้ซุง และอัญมณีลดลงมาก และ การนำเข้าจากจีน (ตอนใต้) ซึ่งมีมูลค่า 147.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการนำเข้าแอ๊ปเปิลลดลงเพราะมีแอ๊ปเปิลคุณภาพดีจากสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์มาทดแทน ส่วน การนำเข้าจากลาว ยังเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่า 347.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากนำเข้าโค-กระบือ และไม้ซุงเพิ่มขึ้น
ระดับราคา
ดัชนีราคาผู้บริโภค
ดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วง 9 เดือน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.8 ทั้งนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มในอัตราร้อยละ 3.9 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงในอัตราร้อยละ 2.3
หมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.9 จากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารในอัตราร้อยละ 8.9 โดยเฉพาะราคาสินค้ากลุ่มยานพาหนะมีอัตราเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 10.3 ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นมาก ขณะที่หมวดอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น หมวดเครื่องนุ่งห่ม และหมวดเคหสถาน ราคาเพิ่มขึ้นเท่ากันร้อยละ 1.3 หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคลราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 หมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษา ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.3 ตามการลดลงของราคากลุ่มผักและผลไม้ลดลงร้อยละ 7.6 และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นมลดลงร้อยละ 7.5 ตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมาก สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ระดับราคาลดลงร้อยละ 5.2 กลุ่มข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งลดลงร้อยละ 4.6 กลุ่มอาหารที่ซื้อจากตลาดลดลงร้อยละ 8.6 และกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ลดลงร้อยละ 1.2 ตามภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการ ขณะที่กลุ่มอาหารที่ซื้อบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น
ดัชนีราคาขายส่ง
ดัชนีราคาขายส่งของภาคเหนือในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2543 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนลดลงร้อยละ 1.1 เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าในหมวดสินค้าเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารร้อยละ 5.2 ขณะที่ราคาหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
หมวดสินค้าเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.2 เป็นผลจากการลดลงของราคากลุ่มสินค้าเกษตรกรรมร้อยละ 13.3 กลุ่มเนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ 4.6 กลุ่มอาหารสัตว์ลดลงร้อยละ 2.2 จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อภาคเกษตรกรรม ทำให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ราคาเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.0 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมถึงร้อยละ 40.2 ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้ากลุ่มหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์หนังราคาเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.4 เนื่องจากตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้นทำให้วัตถุดิบประเภทหนังดิบมีราคาสูงขึ้น ขณะที่สินค้าเคมีและผลิตภัณฑ์เคมีมีราคาลดลงร้อยละ 7.0 เนื่องจากมีการแข่งขันกันลดราคาเพื่อระบายสินค้า โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี และสินค้ากลุ่มสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ราคาลดลงร้อยละ 1.3 จากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ส่วนราคาสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างทรงตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน
การเงินการธนาคาร
เงินฝาก ณ สิ้นกันยายน 2543 ที่สาขาธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้าง 270,414.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.8 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 1.7 ปีก่อน ส่วนหนึ่งจากผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากในโครงการแลกเปลี่ยนตั๋วฯของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่มีตั๋วเงินครบกำหนด และนำเงินที่ได้รับบางส่วนมาฝากไว้ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งผู้ฝากมีรายได้จากการจำหน่ายพืชผลที่สำคัญทางการเกษตร เช่น ข้าวนาปรัง อ้อย ลิ้นจี่ และลำไย เป็นต้น ประกอบกับเงินฝากที่ประชาชนได้ถอนออกไปในช่วงสิ้นปีก่อนเพื่อรองรับ Y2K ได้ทยอยไหลกลับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเบิกถอนเงินฝากบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า รวมทั้งเพื่อใช้ซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ นอกจากนั้นยังมีการนำเงินฝากที่เคยใช้ค้ำประกันเงินกู้มาชำระหนี้ ทั้งนี้เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง เชียงใหม่ ตาก และพิจิตร
สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือในภาพรวมยังคงลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มียอดคงค้าง 188,723.7 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.3 ชะลอลงเมื่อเทียบกับลดลงร้อยละ 11.7 ปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังการให้สินเชื่อในบางประเภทธุรกิจ เช่น สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการค้าภายในประเทศ เป็นต้น ประกอบกับมีการชำระคืนหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ อีกทั้งสินเชื่อบางส่วนโอนไปบริหารที่ส่วนกลาง รวมทั้งการตัดจำหน่ายลูกหนี้จากการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถกันสำรองได้ครบแล้ว อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสสอง โดยเริ่มมีการให้สินเชื่อในบางประเภท ผลจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการขยายตัวของบางธุรกิจ เช่น สินเชื่อส่งออก สินเชื่ออยู่อาศัย สินเชื่อแก่แรงงานที่ไปต่างประเทศ สินเชื่อแก่ธุรกิจก่อสร้างโดยเฉพาะที่รับงานของภาครัฐ และสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งนี้สินเชื่อลดลงมากที่จังหวัดอุตรดิตถ์ นครสวรรค์ พะเยา เชียงใหม่ และอุทัยธานี
ทางด้าน อัตราดอกเบี้ย เงินฝากของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 ธนาคาร ในช่วง 9 เดือน ปี 2543 โน้มต่ำลง ตามสภาพคล่องของระบบการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำ 3 เดือน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 ต่อปี ลดลงจากร้อยละ 3.75-4.00 ต่อปีจากสิ้นปีก่อน และปรับตัวลดลงจากร้อยละ 4.25-4.75 ต่อปี ของระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าชั้นดี (MLR) อยู่ที่ระดับ 7.50-8.25 ต่อปี ลดลงเทียบกับร้อยละ 8.25-8.75 ต่อปีจากสิ้นปีก่อน และร้อยละ 8.50-8.75 ต่อปีของระยะเดียวกันปีก่อน
ปริมาณการใช้เช็คในช่วง 9 เดือน ปี 2543 มีปริมาณเช็คเรียกเก็บทั้งสิ้น 3,203,821 ฉบับ มูลค่า 210,977.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.2 และร้อยละ 1.1 ตามลำดับ ตามปริมาณธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ทางด้านเช็คคืนมีปริมาณ 61,587 ฉบับ มูลค่า 3,361.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.2 และร้อยละ 18.4 ตามลำดับ สัดส่วนปริมาณและมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 และร้อยละ1.6 ตามลำดับ เทียบกับร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.0 ช่วงเดียวกันปีก่อน
แนวโน้มในไตรมาส 4 ปี 2543
คาดว่าเศรษฐกิจภาคเหนือยังมีแนวโน้มขยายตัวจากการผลิตทางการเกษตร การท่องเที่ยว และการส่งออกซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ โดย ภาคเกษตร แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีเสียหายบางส่วนจากน้ำท่วม แต่จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น คาดว่าการผลิตจะอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว ส่วนทางด้าน การส่งออก และ การท่องเที่ยว ก็อยู่ในเกณฑ์ขยายตัวได้ดีเช่นกัน เนื่องจากไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงของการขยายตัวตามฤดูกาล ประกอบกับได้รับประโยชน์จากความต้องการของตลาดต่างประเทศ และระดับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่เอื้ออำนวย แต่สำหรับอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศขึ้นอยู่กับภาวะการอุปโภคภายในประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งภาวะการใช้จ่ายจะฟื้นตัวต่อเนื่องได้มากน้อยเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสนับสนุนสำคัญหลายด้าน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น กลไกการทำงานทางด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งหากสามารถทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะจากความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน โดยการปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งจะทำให้ปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจผ่อนคลายลง ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือมีพื้นฐานที่สมบูรณ์ขึ้นและสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ปี 2543
--ส่วนวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ/26 ตุลาคม 2543--
-ยก-