นายพิษณุ เหรียญมหาสาร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ประเทศไทยได้รับจากระบบ GSP CEPT และ GSTP ในช่วง 8 เดือนแรก(มกราคม — สิงหาคม)ของปี 2544 ซึ่งรวบรวมสถิติจากสำเนาหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า แบบ A แบบ D และแบบ GSTP ที่กรมการค้าต่างประเทศออกให้กับผู้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ยกเว้นประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,819.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2543 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 4,090.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.60
GSP (Generalized System Of Preferences) ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป ซึ่งใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ A (Form A) ประเทศไทยใช้กับสหภาพยุโรป (EU) มากที่สุด มูลค่า 1,663.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 53.80 รองลงมาได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น มูลค่า 1,053.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.40 สินค้าที่ใช้สิทธิ GSP ในอันดับต้นๆ ได้แก่ รถบรรทุกชนิดแวนและชนิดปิกอัพ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ รถบรรทุกคนไข้ที่ใช้กับโรงพยาบาล รถนั่งแบบจิ๊ปรวมถึงชนิดสเตชั่นเวกอน ส่วนสินค้าที่ส่งออกไปประเทศญึ่ปุ่นที่สำคัญและมีมูลค่าสูง ได้แก่ กุ้ง เดกซ์ตินและโมดิฟายด์สตาร์ช ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก ปลาโบนิโต (ชนิดซาร์ดา) เนื้อสัตว์ปีกและส่วนอื่นๆของสัตว์ปีก
CEPT (Common Effective Preferential Tariff) การใช้อัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ D (Form D) ประเทศไทยใช้กับประเทศมาเลเซียมากที่สุด มูลค่า 266.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 37.70 รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซีย มูลค่า 231.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 153.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ สินค้าที่ใช้สิทธิสูง ได้แก่ แชมพู ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ เครื่องยนต์ชนิดที่ใช้ขับเคลื่อนยานบก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารปรุงแต่ง
GSTP (Global System Of Trade Preferences) ระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา ใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ GSTP (Form GSTP) ประเทศไทยใช้กับประเทศเกาหลีใต้มากที่สุด มูลค่า 18.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 80 รองลงมาได้แก่ โรมาเนีย มูลค่า 4.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอินเดีย มูลค่า 0.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ สินค้าที่ใช้สิทธิสูงได้แก่ น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ปลาซาร์ดีนบรรจุภาชนะอัดลม เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างติดผนัง สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนีโต (ชนิดซาร์ดา)
นายพิษณุฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าปัจจุบันประเทศที่ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าปกติของตนลงตามข้อผูกพัน WTO แต่ก็ยังมีสินค้าหลายรายการที่มีอัตราภาษีสูงและยังได้รับสิทธิพิเศษฯ ผู้ส่งออกจึงควรใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษที่ได้รับโดยพยายามผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยให้มากยิ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษฯ ติดต่อได้ที่ กองสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ โทร. 0-2547-4872 , 0-2547-4819
--กรมการค้าต่างประเทศ พฤศจิกายน 2544--
-อน-
GSP (Generalized System Of Preferences) ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป ซึ่งใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ A (Form A) ประเทศไทยใช้กับสหภาพยุโรป (EU) มากที่สุด มูลค่า 1,663.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 53.80 รองลงมาได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น มูลค่า 1,053.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.40 สินค้าที่ใช้สิทธิ GSP ในอันดับต้นๆ ได้แก่ รถบรรทุกชนิดแวนและชนิดปิกอัพ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ รถบรรทุกคนไข้ที่ใช้กับโรงพยาบาล รถนั่งแบบจิ๊ปรวมถึงชนิดสเตชั่นเวกอน ส่วนสินค้าที่ส่งออกไปประเทศญึ่ปุ่นที่สำคัญและมีมูลค่าสูง ได้แก่ กุ้ง เดกซ์ตินและโมดิฟายด์สตาร์ช ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก ปลาโบนิโต (ชนิดซาร์ดา) เนื้อสัตว์ปีกและส่วนอื่นๆของสัตว์ปีก
CEPT (Common Effective Preferential Tariff) การใช้อัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ D (Form D) ประเทศไทยใช้กับประเทศมาเลเซียมากที่สุด มูลค่า 266.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 37.70 รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซีย มูลค่า 231.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 153.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ สินค้าที่ใช้สิทธิสูง ได้แก่ แชมพู ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ เครื่องยนต์ชนิดที่ใช้ขับเคลื่อนยานบก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารปรุงแต่ง
GSTP (Global System Of Trade Preferences) ระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา ใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ GSTP (Form GSTP) ประเทศไทยใช้กับประเทศเกาหลีใต้มากที่สุด มูลค่า 18.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 80 รองลงมาได้แก่ โรมาเนีย มูลค่า 4.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอินเดีย มูลค่า 0.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ สินค้าที่ใช้สิทธิสูงได้แก่ น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ปลาซาร์ดีนบรรจุภาชนะอัดลม เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างติดผนัง สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนีโต (ชนิดซาร์ดา)
นายพิษณุฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าปัจจุบันประเทศที่ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าปกติของตนลงตามข้อผูกพัน WTO แต่ก็ยังมีสินค้าหลายรายการที่มีอัตราภาษีสูงและยังได้รับสิทธิพิเศษฯ ผู้ส่งออกจึงควรใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษที่ได้รับโดยพยายามผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยให้มากยิ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษฯ ติดต่อได้ที่ กองสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ โทร. 0-2547-4872 , 0-2547-4819
--กรมการค้าต่างประเทศ พฤศจิกายน 2544--
-อน-