แท็ก
ธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในปีนี้มีผลการดำเนินงานดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมียอดขาดทุนสุทธิหลังหักการกันสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ
ลดลงจาก 339.2 พันล้านบาทในปี 2542 เป็นขาดทุนสุทธิ 2.1 พันล้านบาทในปี 2543 โดยเป็นผลขาดทุนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย 11.4
พันล้านบาท และกิจการวิเทศธนกิจของของธนาคารต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในไทยขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านบาท ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ต่าง
ประเทศ มีผลกำไรสุทธิ 11.1 พันล้านบาท ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่สามารถบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงมาก
ประกอบกับมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์ มีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมลดลงจากร้อยละ 38.56 เมื่อ
สิ้นปี 2542 เหลือร้อยละ 17.71 ณ สิ้นปี 2543
สำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยบางแห่งเริ่มมีผลกำไรตั้งแต่ไตรมาสที่สามเป็นต้นมา โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เอกชน เนื่องจากสามารถ
บริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารพาณิชย์ไทยลดลงจากปีก่อนร้อยละ 27.7 รวมทั้งยังสามารถควบคุม
ค่าใช้จ่าย ดำเนินงานให้ลดลงได้ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนจำนวน
63.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งธนาคารพาณิชย์เอกชนและธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
ทำให้ยอดสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม มีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 18.02 และ 21.62 ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2543 เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคาร
พาณิชย์ของรัฐจำนวน 4 แห่ง มี 3 แห่งที่มีต้นทุน ดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่ารายได้จากการปล่อยสินเชื่อและลงทุน ในหลักทรัพย์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
มีการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ฝากเงินในอัตราที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชนประมาณร้อยละ 0.25-0.75 ต่อปี ประกอบกับการแสวงหารายได้ที่มิใช่
ดอกเบี้ยลดลง
อนึ่ง ทางการมีมติให้ยกเลิกการขายธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารศรีนครให้กับผู้ลงทุน เอกชน เนื่องจากไม่สามารถตกลงกันใน
รายละเอียดของสัญญาซื้อขายได้
ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีผลประกอบการดีขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะธนาคาร ในกลุ่มญี่ปุ่นและกลุ่มยุโรปมีกำไรเพิ่มขึ้นจาก
ปีก่อนจำนวน 10.9 พันล้านบาทและ 3.0 พันล้านบาทตามลำดับ เนื่องจาก ส่วนใหญ่ได้กันสำรองไว้ครบจำนวนแล้วจึงไม่ต้องมีการกันสำรองเพิ่มเติม
และการปรับโครงสร้างหนี้สามารถปรับได้เพิ่มขึ้นทำให้ NPL ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.62 ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศยังมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.0 พันล้านบาทหรือร้อยละ 58.5 ส่วนหนึ่งเป็นการได้กำไรจากอัตรา
แลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
1. การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ให้กับระบบเศรษฐกิจ
สินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับภาคธุรกิจเอกชน
และประชาชน มียอดคงค้างลดลงจาก 5,096.1 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2542 เป็น 4,567.4 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2543 หรือลดลง 528.7
พันล้านบาท คิดเป็นการลดลง ร้อยละ 10.4 ต่อปี เทียบกับสิ้นปี 2542 ที่สินเชื่อรวมลดลงร้อยละ 2.8 ต่อปี โดยการลดลงของสินเชื่อในปี 2543
ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตัดหนี้สูญจำนวนประมาณ 272 พันล้านบาท และการโอนสินเชื่อไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์จำนวนประมาณ 550 พันล้านบาท
โดยที่ธนาคารพาณิชย์มีการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหาร สินทรัพย์สุทธิจำนวนประมาณ 314 พันล้านบาท นอกจากนี้ ภาคเอกชนสามารถระดมทุนโดยตรง
จากตลาดการเงินได้จำนวนมาก เพราะ สภาพคล่องในประเทศที่มีอยู่สูงจึงชำระคืนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งที่เป็น สินเชื่อไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ
(NON-BIBF) และสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม
เติมให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2543 สินเชื่อ NON-BIBF มียอดคงค้าง 4,337.2 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.9 ต่อปี และสินเชื่อ BIBF
มียอดคงค้าง 230.4 พันล้านบาทลดลงร้อยละ 31.2 ต่อปี
สำหรับสินเชื่อรวม (คำนวณสินเชื่อ BIBF ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์แต่
ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นในปี 2543 เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ณ
สิ้นเดือนธันวาคม 2543 มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อปี
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในการบริโภคและการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2543
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การให้บริการบัตรเครดิตทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันในการหาลูกค้าบัตรเครดิตกันมากขึ้นโดย
ใช้วิธีการให้สิ่งของเป็นกำนัล รวมทั้งมีการลดค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมในการสมัครแรกเข้าด้วย
สำหรับการให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2543 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความอนุเคราะห์ผ่านทาง
สถาบันการเงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น 126.6 พันล้านบาท เมื่อรวมกับของส่วนสถาบันการเงินที่ปล่อยสมทบอีก 112.3 พันล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อที่
ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น 238.9 พันล้านบาท สำหรับธุรกิจที่มาขอรับความอนุเคราะห์สูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก และภาคอุตสาหกรรม
(ไม่รวม SMEs) มีจำนวน 79.6 พันล้านบาทและ 1.2 พันล้านบาทตามลำดับ
ในปี 2543 นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เน้นให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs เป็นกรณีพิเศษ โดยได้ขยายขอบเขตการให้
ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการ การค้าส่ง ค้าปลีก และการรับจ้างทำของ นอกจากนี้ ยังให้เงินทุนหมุนเวียนแก่ SMEs ที่ปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้และได้ลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็น SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดจนเงินให้
สินเชื่อเป็นเงินลงทุนระยะยาวแก่ SMEs ที่เป็น NPL และเป็นกิจการผลิตที่มีอายุการชำระเงินไม่เกิน 5 ปี โดยวงเงินสินเชื่อใหม่จะให้ไม่เกิน
50 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม ขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันในอัตราร้อยละ 75 ซึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สินเชื่อผ่านทางสถาบันการเงินในสัดส่วนร้อยละ 60 และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี ทั้งนี้ ณ สิ้นปี
2543 ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้อนุมัติสินเชื่อแก่ SMEs ไปแล้ว 5,361 ราย วงเงิน 21.5 พันล้านบาท เมื่อรวมเงินสมทบกับสถาบันการ
เงินอีกร้อยละ 40 รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 35.9 พันล้านบาท
2. การระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2543 มีจำนวน 4,816.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก สิ้น ปีก่อน 241.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 5.3 ต่อปี โดยในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 เงินฝาก เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคเอกชนและประชาชนที่เบิกถอนเงินสดสำรองไว้ใน
ช่วง Y2K และเพื่อการใช้จ่ายในช่วง เทศกาลต่างๆ และวันหยุดติดต่อกันได้ทยอยนำเงินกลับเข้ามาฝากในระบบอีกครั้ง หลังจากนั้นในช่วง
ไตรมาสที่ 3 และ 4 เป็นช่วงที่ครบกำหนดไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากในโครงการแลกเปลี่ยนตั๋วของกองทุน เพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งส่วน
หนึ่งมีการนำมาฝากที่ธนาคารพาณิชย์ จึงทำให้ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้น
3. การกันสำรองหนี้และสินเชื่อ non-performing (NPL)
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีภาระที่ต้องกันสำรองลดลงจากปีก่อนมาก โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย มีภาระการกันสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัย
จะสูญลดลงมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เอกชนส่วนใหญ่กันสำรองได้ครบตามที่ทางการกำหนดเหลือเพียงธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 2 แห่งที่ยังมีภาระ
ต้องกันสำรอง อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศก็ยังมีภาระที่ต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
จะปิดงวดบัญชี ณ สิ้นมีนาคม 2544 ทำให้เหลือจำนวนธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเพียง 4 แห่งที่ยังกันสำรองไม่ครบจำนวน
ณ สิ้นธันวาคม 2543 ธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่งได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 394.5 พันล้านบาท จากจำนวนที่ต้องกัน
สำรอง 361.6 พันล้านบาท ส่วนธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 21.8 พันล้านบาท จากจำนวนที่ต้องกัน
สำรองทั้งสิ้น 16.3 พันล้านบาท สำหรับ รายจ่ายในบัญชีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารพาณิชย์นั้น นอกจากประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่เกิดจาก
การกันสำรองหนี้สูญแล้ว ยังมีรายการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ การตัดหนี้สูญและหนี้สูญรับคืนรวมอยู่ด้วย แม้ว่าธนาคารพาณิชย์หลายรายจะ
กันสำรองเกินกว่าร้อยละ 80 ตามที่ทางการกำหนดในงวดครึ่งแรกของปี 2543 แต่ยังมีบัญชีค่าใช้จ่ายในบัญชีดังกล่าวเกิดขึ้นซึ่งจะมีผลกระทบต่อ
กำไรของธนาคารพาณิชย์
ยอดหนี้คงค้าง NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบลดลงร้อยละ 58.9 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2542 จากยอดคงค้าง 2,004.8 พัน
ล้านบาท เหลือ 823.3 พันล้านบาท เนื่องจากได้มีการโอนหนี้ NPL ไปยัง AMC ในปีนี้ถึง 443.5 พันล้านบาท เมื่อจำแนกตามกลุ่มของธนาคาร
แล้วเป็นยอดหนี้คงค้าง NPL ของธนาคารพาณิชย์เอกชนไทย 477.0 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อยอดสินเชื่อรวมแล้วลดลงจาก ร้อยละ 30.59
ต่อสินเชื่อรวม เมื่อสิ้นปี 2542 เป็นร้อยละ 18.02 ณ สิ้นปี 2543 สำหรับธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 4 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี สัดส่วนหนี้คงค้าง NPL ต่อ
สินเชื่อรวมสูงสุด เป็นยอดหนี้คงค้าง NPL เท่ากับ 308.0 พันล้านบาท และเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อยอดสินเชื่อรวมลดลงจากร้อยละ 62.87 เมื่อสิ้นปี
2542 เป็นร้อยละ 21.62 ณ สิ้นปี 2543 ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ มียอดคงค้าง NPL ต่ำสุดเพียง 38.3 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ต่อยอดสินเชื่อรวมลดลง จากร้อยละ 9.91 เมื่อสิ้นปี 2542 เป็นร้อยละ 6.62 ณ สิ้นปี 2543
ยอดคงค้าง NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์* (หน่วย : พันล้านบาท)
ยอดคงค้าง (พันล้านบาท) อัตราส่วนร้อยละต่อสินเชื่อรวม
Q4-42 Q1-43 Q2-43 Q3-43 Q4-43 Q4-42 Q1-43 Q2-43 Q3-43 Q4-43
ธ.พ. เอกชนไทย 885.4 841.7 570.7 528.3 477 30.59 29.33 21.67 20.19 18.02
ธ.พ. ของรัฐ (4 แห่ง) 1,057.80 1,012.70 943 494.5 308 62.87 60.72 56.54 33.21 21.62
สาขา ธ.พ. ต่างประเทศ 61.6 56.5 43.2 39.3 38.3 9.91 8.85 7.26 6.23 6.62
รวมธนาคารพาณิชย์ 2,004.80 1,910.90 1,556.90 1,062.10 823.3 38.56 36.92 31.79 22.42 17.71
* ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ หมายเหตุ : ธ. รัตนสินซึ่งเดิมแสดงรวมในกลุ่ม ธ.พ. ของรัฐ ถูกเปลี่ยนการรายงาน
เข้าอยู่ในกลุ่ม ธ.พ. เอกชน เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 42 เนื่องจากภาคเอกชนได้เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) และเปลี่ยนชื่อเป็น ธ. ยูโอบีรัตนสิน
ทางด้านการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2543 เพิ่มทุนได้เป็นจำนวน 52.8 พันล้านบาท โดยแยกเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1
จำนวน 48.1 ล้านบาท เป็นกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 4.7 พันล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์เอกชนทั้งหมด
4. จำนวนสาขาธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจ
ในปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 13 แห่ง เป็นสาขาธนาคารพาณิชย์จำนวน 3,183 แห่ง ลดลงจากปีก่อนจำนวน 71
แห่ง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้ปิดสาขาลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงาน ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศยังคงมีจำนวน 21
แห่งเท่าเดิม
ทางด้านกิจการวิทศธนกิจ ทั้งสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีจำนวนไม่เปลี่ยนแปลง
จากปีก่อน ส่วนสำนักงานวิเทศธนกิจของสถาบันการเงินต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย (BIBF) มีจำนวนลดลงจากปีก่อน 3 แห่ง
ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ (หน่วย : พันล้านบาท)
2542 2543
ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี
ธนาคารพาณิชย์ไทย
(รวมกิจการวิเทศธนกิจ) -174.6 -160.4 -335 -80 68.6 -11.4
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
(รวมกิจการวิเทศธนกิจ) -5.1 3.1 -2 4.9 6.2 11.1
กิจการวิเทศธนกิจของสถาบันการเงิน
ต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย -1.7 -0.5 -2.2 -0.4 -1.4 -1.8
รวม -181.4 -157.8 -339.2 -75.5 73.4 -2.1
เงินกองทุนและสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ตามระบบ BIS 1/
เงินกองทุน เงินกองทุน สินทรัพย์เสี่ยง อัตราส่วน อัตราส่วน
ชั้นที่ 1 ทั้งหมด (พันล้านบาท) เงินกองทุนชั้นที่ 1 เงินกองทุน
(พันล้านบาท) (พันล้านบาท) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหมด
(ร้อยละ) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(ร้อยละ)
2542 2543 2542 2543 2542 2543 2542 2543 2542 2543
ธนาคารพาณิชย์ไทย1/ 342.9 265.6 484.2 401.5 4,024.80 3,515.70 8.52 7.55 12.03 11.42
-4.25 -4.25 -8.5 -8.5
สาขาธนาคารต่างประเทศ3/ 55.1 64.2 320.7 362.9 - - 17.18 17.69
0 0 -7.5 -7.5
หมายเหตุ : 1/ ตัวเลขในวงเล็บ คือ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นต่ำที่ทางการกำหนด
2/ รวมกิจการวิเทศธนกิจ
3/ ไม่รวมกิจการวิเทศธนกิจ
จำนวนธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจที่เปิดดำเนินการแล้ว
2541 2542 2543
ธนาคารพาณิชย์ไทย 13 13 13
- สาขาธนาคารพาณิชย์ไทย
(ไม่รวมสำนักงานใหญ่) 3,234 3,254 3,183
สาขาธนาคารต่างประเทศ 21 21 21
สำนักงานวิเทศธนกิจ
- สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทย
BIBF 11 11 11
- สำนักงานวิเทศธนกิจของสาขาธนาคารต่างประเทศ
BIBF 18 18 18
PIBF 17 8 8
- สำนักงานวิเทศธนกิจของสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย
BIBF 17 15 12
PIBF 6 0 0
หมายเหตุ : BIBF = Bangkok International Banking Facilities คือ กิจการวิเทศธนกิจในเขตกรุงเทพมหานคร
PIBF = Provincial International Banking Facilities คือ กิจการวิเทศธนกิจในต่างจังหวัด
การดำเนินงานของบริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุน (รวมบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์) ที่เปิดดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2543 นี้ มีจำนวน 21 แห่งลดลงจากปีก่อน 1 แห่ง เนื่องจาก
กระทรวงการคลังได้ประกาศปิดกิจการบริษัทเงินทุนไทยแคปิตอล โดยผลประกอบการของบริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินกิจการทั้งหมดในปีนี้ มีผลขาดทุน
สุทธิรวม 2.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 24.4 พันล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทเงินทุนส่วนใหญ่เริ่มมีผลกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกใน
ช่วงไตรมาสที่สามและในไตรมาสที่สี่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงส่งผลให้บริษัทเงินทุนมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ
27.4 นอกจากนี้ บริษัทเงินทุนยังสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และการปริวรรตได้เพิ่มขึ้น 3.1 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี
ก่อนที่ขาดทุน 1.4 พันล้านบาท
อนึ่ง สำหรับบริษัทเงินทุนบางแห่งที่สามารถทำกำไรได้ดี เนื่องมาจากมีรายได้จากธุรกิจเช่าซื้อและจากการปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ
ตลอดจนมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งมีการ reverse สำรองกลับ เนื่องจากได้ตั้งสำรองครบจำนวนแล้ว
ในปี 2543 นี้ บริษัทเงินทุนมีการกันสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 17.3 พันล้านบาท ส่วนเงินสำรองที่ต้องกันเท่ากับ 12.4
พันล้านบาท ณ สิ้นธันวาคม 2543 บริษัทเงินทุนทั้งหมดได้กันสำรองครบตามเกณฑ์ที่ทางการกำหนดแล้วทุกแห่ง
สินทรัพย์รวมของบริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการ ณ สิ้นปี 2543 มีจำนวน 272.2 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 20.9 พันล้านบาท หรือ
ร้อยละ 7.1 โดยมียอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 147.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 39.8 พันล้านบาทหรือร้อยละ 21.3
เงินกู้ยืมโดยบริษัทเงินทุน 21 แห่ง มีจำนวน 195.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.2 พันล้านบาทหรือร้อยละ 5.5 โดยเป็นผลมา
จากการออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ด้อยสิทธิเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 86.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่เงินกู้และเงินรับฝากจากประชาชน ณ สิ้นปี 2543
มียอดคงค้าง 164.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (เงินรับฝาก) ของบริษัทเงินทุนประจำ 3 เดือนอยู่ระหว่างร้อยละ
1.75-5.5 ต่อปี (อัตราต่ำสุด-อัตราสูงสุด) ในขณะที่ของธนาคารพาณิชย์อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน อยู่ระหว่างร้อยละ 3.0-3.5 ต่อปี
ในด้านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัทเงินทุน ณ สิ้นธันวาคม 2543 มีลูกหนี้ของบริษัท เงินทุนปรับโครงสร้างหนี้เสร็จแล้ว 3,221
ราย คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 93.5 พันล้านบาท โดยที่บริษัทเงินทุนมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 34.9 พันล้านบาท คิดเป็น NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ
24.61 ลดลงจากปีก่อนซึ่งมี NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 49.22
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการ 21 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นบริษัทเงินทุน 19 แห่ง และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 2 แห่ง และเมื่อวันที่ 25
กรกฎาคม 2543 ทางการได้อนุญาตให้บริษัทเงินทุนสินเอเซียประกอบธุรกิจเพิ่มเติมและมีสำนักงานสาขาได้ (Super Finance) ส่วนบริษัทเงิน
ทุนธนชาติได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังให้จัดตั้งเป็นธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ซึ่งขณะนี้
อยู่ระหว่างการดำเนินการ
ยอดคงค้างเงินกู้และเงินรับฝากจากประชาชนของบริษัทเงินทุน (หน่วย : พันล้านบาท)
จำแนกตามกลุ่ม 2542 2543
Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการอยู่1/ 222.9 212.4 195.3 158.7 154.5 156.9 164 164.6
บริษัทเงินทุนที่ปิดดำเนินการ (56 แห่ง) 201.7 201.2 201.1 201.1 201.7 201.5 161.4 143.7
บริษัทเงินทุนทั้งระบบ2/ 424.6 413.6 396.4 359.8 356.2 358.4 325.4 308.3
1/ ในปี 2542 มีจำนวน 22 แห่ง ในปี 2543 เหลือ 21 แห่ง 2/ ในปี 2542 มีจำนวน 78 แห่ง ปี 2543 เหลือจำนวน 77 แห่ง
ยอดคงค้างสินเชื่อบริษัทเงินทุน (หน่วย : พันล้านบาท)
จำแนกตามกลุ่ม 2542 2543
Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการอยู่1/ 263.6 254 244 187.1 182.9 161.5 165.2 147.3
บริษัทเงินทุนที่ปิดดำเนินการ (56 แห่ง) 661.9 513.3 305.3 311 300.3 301.3 312.1 302.6
บริษัทเงินทุนทั้งระบบ2/ 925.5 767.3 549.3 498.1 483.2 462.8 477.3 449.9
1/ ในปี 2542 มีจำนวน 22 แห่ง ในปี 2543 เหลือ 21 แห่ง 2/ ในปี 2542 มีจำนวน 78 แห่ง ปี 2543 เหลือจำนวน 77 แห่ง
ผลการดำเนินงานของบริษัทเงินทุน 21 แห่ง (หน่วย : พันล้านบาท)
2542 2543
ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี
กำไร (+)/ ขาดทุน (-)1/ -9.4 -15 -24.4 -3.2 0.9 -2.3
การดำเนินงานของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ผลการดำเนินงานของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ในปี 2543 ดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากมีผลขาดทุนสุทธิลดลงจาก 194.1 ล้านบาทในปี
2542 เป็นขาดทุนสุทธิ 19.6 ล้านบาทในปีนี้ เป็นเพราะในไตรมาสที่สามและ ที่สี่ของปีนี้บริษัทเครดิตฟองซิเอร์เริ่มมีผลกำไรจากที่ขาดทุนมาตลอด
อันเป็นผลมาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมลดลง โดยที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและส่วนลดจ่ายลดลงถึงร้อยละ 42.4 จากปีก่อนและ
สามารถทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ 11.6 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี
ณ สิ้นปี 2543 ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์มียอดสินทรัพย์รวม 5.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 11.8 โดยเฉพาะเงินลงทุนใน
หลักทรัพย์มียอดคงค้าง 0.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.7 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลและที่รัฐบาลค้ำประกัน แต่สำหรับเงิน
ให้กู้ยืมรวมมีจำนวน 3.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.1 โดยการให้กู้ยืมส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้
ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทางด้านเงินกู้ยืมโดยบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีจำนวนทั้งสิ้น 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 10.7
เป็นการกู้ยืมจากประชาชน 3.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7
ทางด้านมาตรการของทางการที่เอื้ออำนวยในการประกอบธุรกิจของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ในปีนี้ ทางการได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ
ที่อยู่อาศัยใหม่ โดยให้ครอบคลุมถึงสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เปลี่ยนทุก 3 ปี หรือ 5 ปี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนที่ใช้บริการ นอกจากนี้ยัง
ได้ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ให้ประกอบกิจการตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่บุคคลใดๆ โดยมีค่าตอบแทนได้ แต่บริษัทจะ
ต้องไม่เข้าไปรับความเสี่ยง ตลอดจนได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน การตรวจสอบและควบคุมภายในของบริษัทเงินทุนและ
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ซึ่งรวมถึงให้กำหนดเกี่ยวกับ นโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการให้กู้ยืมเงิน การก่อภาระผูกพัน และการขายทรัพย์สิน
เพื่อประโยชน์ ในการดำเนินกิจการของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ณ สิ้นปี 2543 จำนวนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ไม่เปลี่ยนแปลงโดยมีจำนวน 10 แห่งเท่ากับปีก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ลดลงจาก 339.2 พันล้านบาทในปี 2542 เป็นขาดทุนสุทธิ 2.1 พันล้านบาทในปี 2543 โดยเป็นผลขาดทุนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย 11.4
พันล้านบาท และกิจการวิเทศธนกิจของของธนาคารต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในไทยขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านบาท ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ต่าง
ประเทศ มีผลกำไรสุทธิ 11.1 พันล้านบาท ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่สามารถบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงมาก
ประกอบกับมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์ มีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมลดลงจากร้อยละ 38.56 เมื่อ
สิ้นปี 2542 เหลือร้อยละ 17.71 ณ สิ้นปี 2543
สำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยบางแห่งเริ่มมีผลกำไรตั้งแต่ไตรมาสที่สามเป็นต้นมา โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เอกชน เนื่องจากสามารถ
บริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารพาณิชย์ไทยลดลงจากปีก่อนร้อยละ 27.7 รวมทั้งยังสามารถควบคุม
ค่าใช้จ่าย ดำเนินงานให้ลดลงได้ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนจำนวน
63.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งธนาคารพาณิชย์เอกชนและธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
ทำให้ยอดสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม มีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 18.02 และ 21.62 ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2543 เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคาร
พาณิชย์ของรัฐจำนวน 4 แห่ง มี 3 แห่งที่มีต้นทุน ดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่ารายได้จากการปล่อยสินเชื่อและลงทุน ในหลักทรัพย์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
มีการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ฝากเงินในอัตราที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชนประมาณร้อยละ 0.25-0.75 ต่อปี ประกอบกับการแสวงหารายได้ที่มิใช่
ดอกเบี้ยลดลง
อนึ่ง ทางการมีมติให้ยกเลิกการขายธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารศรีนครให้กับผู้ลงทุน เอกชน เนื่องจากไม่สามารถตกลงกันใน
รายละเอียดของสัญญาซื้อขายได้
ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีผลประกอบการดีขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะธนาคาร ในกลุ่มญี่ปุ่นและกลุ่มยุโรปมีกำไรเพิ่มขึ้นจาก
ปีก่อนจำนวน 10.9 พันล้านบาทและ 3.0 พันล้านบาทตามลำดับ เนื่องจาก ส่วนใหญ่ได้กันสำรองไว้ครบจำนวนแล้วจึงไม่ต้องมีการกันสำรองเพิ่มเติม
และการปรับโครงสร้างหนี้สามารถปรับได้เพิ่มขึ้นทำให้ NPL ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.62 ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศยังมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.0 พันล้านบาทหรือร้อยละ 58.5 ส่วนหนึ่งเป็นการได้กำไรจากอัตรา
แลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
1. การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ให้กับระบบเศรษฐกิจ
สินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับภาคธุรกิจเอกชน
และประชาชน มียอดคงค้างลดลงจาก 5,096.1 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2542 เป็น 4,567.4 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2543 หรือลดลง 528.7
พันล้านบาท คิดเป็นการลดลง ร้อยละ 10.4 ต่อปี เทียบกับสิ้นปี 2542 ที่สินเชื่อรวมลดลงร้อยละ 2.8 ต่อปี โดยการลดลงของสินเชื่อในปี 2543
ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตัดหนี้สูญจำนวนประมาณ 272 พันล้านบาท และการโอนสินเชื่อไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์จำนวนประมาณ 550 พันล้านบาท
โดยที่ธนาคารพาณิชย์มีการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหาร สินทรัพย์สุทธิจำนวนประมาณ 314 พันล้านบาท นอกจากนี้ ภาคเอกชนสามารถระดมทุนโดยตรง
จากตลาดการเงินได้จำนวนมาก เพราะ สภาพคล่องในประเทศที่มีอยู่สูงจึงชำระคืนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งที่เป็น สินเชื่อไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ
(NON-BIBF) และสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม
เติมให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2543 สินเชื่อ NON-BIBF มียอดคงค้าง 4,337.2 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.9 ต่อปี และสินเชื่อ BIBF
มียอดคงค้าง 230.4 พันล้านบาทลดลงร้อยละ 31.2 ต่อปี
สำหรับสินเชื่อรวม (คำนวณสินเชื่อ BIBF ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์แต่
ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นในปี 2543 เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ณ
สิ้นเดือนธันวาคม 2543 มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อปี
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในการบริโภคและการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2543
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การให้บริการบัตรเครดิตทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันในการหาลูกค้าบัตรเครดิตกันมากขึ้นโดย
ใช้วิธีการให้สิ่งของเป็นกำนัล รวมทั้งมีการลดค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมในการสมัครแรกเข้าด้วย
สำหรับการให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2543 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความอนุเคราะห์ผ่านทาง
สถาบันการเงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น 126.6 พันล้านบาท เมื่อรวมกับของส่วนสถาบันการเงินที่ปล่อยสมทบอีก 112.3 พันล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อที่
ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น 238.9 พันล้านบาท สำหรับธุรกิจที่มาขอรับความอนุเคราะห์สูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก และภาคอุตสาหกรรม
(ไม่รวม SMEs) มีจำนวน 79.6 พันล้านบาทและ 1.2 พันล้านบาทตามลำดับ
ในปี 2543 นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เน้นให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs เป็นกรณีพิเศษ โดยได้ขยายขอบเขตการให้
ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการ การค้าส่ง ค้าปลีก และการรับจ้างทำของ นอกจากนี้ ยังให้เงินทุนหมุนเวียนแก่ SMEs ที่ปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้และได้ลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็น SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดจนเงินให้
สินเชื่อเป็นเงินลงทุนระยะยาวแก่ SMEs ที่เป็น NPL และเป็นกิจการผลิตที่มีอายุการชำระเงินไม่เกิน 5 ปี โดยวงเงินสินเชื่อใหม่จะให้ไม่เกิน
50 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม ขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันในอัตราร้อยละ 75 ซึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สินเชื่อผ่านทางสถาบันการเงินในสัดส่วนร้อยละ 60 และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี ทั้งนี้ ณ สิ้นปี
2543 ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้อนุมัติสินเชื่อแก่ SMEs ไปแล้ว 5,361 ราย วงเงิน 21.5 พันล้านบาท เมื่อรวมเงินสมทบกับสถาบันการ
เงินอีกร้อยละ 40 รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 35.9 พันล้านบาท
2. การระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2543 มีจำนวน 4,816.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก สิ้น ปีก่อน 241.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 5.3 ต่อปี โดยในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 เงินฝาก เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคเอกชนและประชาชนที่เบิกถอนเงินสดสำรองไว้ใน
ช่วง Y2K และเพื่อการใช้จ่ายในช่วง เทศกาลต่างๆ และวันหยุดติดต่อกันได้ทยอยนำเงินกลับเข้ามาฝากในระบบอีกครั้ง หลังจากนั้นในช่วง
ไตรมาสที่ 3 และ 4 เป็นช่วงที่ครบกำหนดไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากในโครงการแลกเปลี่ยนตั๋วของกองทุน เพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งส่วน
หนึ่งมีการนำมาฝากที่ธนาคารพาณิชย์ จึงทำให้ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้น
3. การกันสำรองหนี้และสินเชื่อ non-performing (NPL)
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีภาระที่ต้องกันสำรองลดลงจากปีก่อนมาก โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย มีภาระการกันสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัย
จะสูญลดลงมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เอกชนส่วนใหญ่กันสำรองได้ครบตามที่ทางการกำหนดเหลือเพียงธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 2 แห่งที่ยังมีภาระ
ต้องกันสำรอง อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศก็ยังมีภาระที่ต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
จะปิดงวดบัญชี ณ สิ้นมีนาคม 2544 ทำให้เหลือจำนวนธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเพียง 4 แห่งที่ยังกันสำรองไม่ครบจำนวน
ณ สิ้นธันวาคม 2543 ธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่งได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 394.5 พันล้านบาท จากจำนวนที่ต้องกัน
สำรอง 361.6 พันล้านบาท ส่วนธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 21.8 พันล้านบาท จากจำนวนที่ต้องกัน
สำรองทั้งสิ้น 16.3 พันล้านบาท สำหรับ รายจ่ายในบัญชีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารพาณิชย์นั้น นอกจากประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่เกิดจาก
การกันสำรองหนี้สูญแล้ว ยังมีรายการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ การตัดหนี้สูญและหนี้สูญรับคืนรวมอยู่ด้วย แม้ว่าธนาคารพาณิชย์หลายรายจะ
กันสำรองเกินกว่าร้อยละ 80 ตามที่ทางการกำหนดในงวดครึ่งแรกของปี 2543 แต่ยังมีบัญชีค่าใช้จ่ายในบัญชีดังกล่าวเกิดขึ้นซึ่งจะมีผลกระทบต่อ
กำไรของธนาคารพาณิชย์
ยอดหนี้คงค้าง NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบลดลงร้อยละ 58.9 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2542 จากยอดคงค้าง 2,004.8 พัน
ล้านบาท เหลือ 823.3 พันล้านบาท เนื่องจากได้มีการโอนหนี้ NPL ไปยัง AMC ในปีนี้ถึง 443.5 พันล้านบาท เมื่อจำแนกตามกลุ่มของธนาคาร
แล้วเป็นยอดหนี้คงค้าง NPL ของธนาคารพาณิชย์เอกชนไทย 477.0 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อยอดสินเชื่อรวมแล้วลดลงจาก ร้อยละ 30.59
ต่อสินเชื่อรวม เมื่อสิ้นปี 2542 เป็นร้อยละ 18.02 ณ สิ้นปี 2543 สำหรับธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 4 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี สัดส่วนหนี้คงค้าง NPL ต่อ
สินเชื่อรวมสูงสุด เป็นยอดหนี้คงค้าง NPL เท่ากับ 308.0 พันล้านบาท และเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อยอดสินเชื่อรวมลดลงจากร้อยละ 62.87 เมื่อสิ้นปี
2542 เป็นร้อยละ 21.62 ณ สิ้นปี 2543 ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ มียอดคงค้าง NPL ต่ำสุดเพียง 38.3 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ต่อยอดสินเชื่อรวมลดลง จากร้อยละ 9.91 เมื่อสิ้นปี 2542 เป็นร้อยละ 6.62 ณ สิ้นปี 2543
ยอดคงค้าง NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์* (หน่วย : พันล้านบาท)
ยอดคงค้าง (พันล้านบาท) อัตราส่วนร้อยละต่อสินเชื่อรวม
Q4-42 Q1-43 Q2-43 Q3-43 Q4-43 Q4-42 Q1-43 Q2-43 Q3-43 Q4-43
ธ.พ. เอกชนไทย 885.4 841.7 570.7 528.3 477 30.59 29.33 21.67 20.19 18.02
ธ.พ. ของรัฐ (4 แห่ง) 1,057.80 1,012.70 943 494.5 308 62.87 60.72 56.54 33.21 21.62
สาขา ธ.พ. ต่างประเทศ 61.6 56.5 43.2 39.3 38.3 9.91 8.85 7.26 6.23 6.62
รวมธนาคารพาณิชย์ 2,004.80 1,910.90 1,556.90 1,062.10 823.3 38.56 36.92 31.79 22.42 17.71
* ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ หมายเหตุ : ธ. รัตนสินซึ่งเดิมแสดงรวมในกลุ่ม ธ.พ. ของรัฐ ถูกเปลี่ยนการรายงาน
เข้าอยู่ในกลุ่ม ธ.พ. เอกชน เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 42 เนื่องจากภาคเอกชนได้เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) และเปลี่ยนชื่อเป็น ธ. ยูโอบีรัตนสิน
ทางด้านการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2543 เพิ่มทุนได้เป็นจำนวน 52.8 พันล้านบาท โดยแยกเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1
จำนวน 48.1 ล้านบาท เป็นกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 4.7 พันล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์เอกชนทั้งหมด
4. จำนวนสาขาธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจ
ในปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 13 แห่ง เป็นสาขาธนาคารพาณิชย์จำนวน 3,183 แห่ง ลดลงจากปีก่อนจำนวน 71
แห่ง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้ปิดสาขาลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงาน ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศยังคงมีจำนวน 21
แห่งเท่าเดิม
ทางด้านกิจการวิทศธนกิจ ทั้งสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีจำนวนไม่เปลี่ยนแปลง
จากปีก่อน ส่วนสำนักงานวิเทศธนกิจของสถาบันการเงินต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย (BIBF) มีจำนวนลดลงจากปีก่อน 3 แห่ง
ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ (หน่วย : พันล้านบาท)
2542 2543
ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี
ธนาคารพาณิชย์ไทย
(รวมกิจการวิเทศธนกิจ) -174.6 -160.4 -335 -80 68.6 -11.4
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
(รวมกิจการวิเทศธนกิจ) -5.1 3.1 -2 4.9 6.2 11.1
กิจการวิเทศธนกิจของสถาบันการเงิน
ต่างประเทศที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย -1.7 -0.5 -2.2 -0.4 -1.4 -1.8
รวม -181.4 -157.8 -339.2 -75.5 73.4 -2.1
เงินกองทุนและสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ตามระบบ BIS 1/
เงินกองทุน เงินกองทุน สินทรัพย์เสี่ยง อัตราส่วน อัตราส่วน
ชั้นที่ 1 ทั้งหมด (พันล้านบาท) เงินกองทุนชั้นที่ 1 เงินกองทุน
(พันล้านบาท) (พันล้านบาท) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหมด
(ร้อยละ) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(ร้อยละ)
2542 2543 2542 2543 2542 2543 2542 2543 2542 2543
ธนาคารพาณิชย์ไทย1/ 342.9 265.6 484.2 401.5 4,024.80 3,515.70 8.52 7.55 12.03 11.42
-4.25 -4.25 -8.5 -8.5
สาขาธนาคารต่างประเทศ3/ 55.1 64.2 320.7 362.9 - - 17.18 17.69
0 0 -7.5 -7.5
หมายเหตุ : 1/ ตัวเลขในวงเล็บ คือ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นต่ำที่ทางการกำหนด
2/ รวมกิจการวิเทศธนกิจ
3/ ไม่รวมกิจการวิเทศธนกิจ
จำนวนธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจที่เปิดดำเนินการแล้ว
2541 2542 2543
ธนาคารพาณิชย์ไทย 13 13 13
- สาขาธนาคารพาณิชย์ไทย
(ไม่รวมสำนักงานใหญ่) 3,234 3,254 3,183
สาขาธนาคารต่างประเทศ 21 21 21
สำนักงานวิเทศธนกิจ
- สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทย
BIBF 11 11 11
- สำนักงานวิเทศธนกิจของสาขาธนาคารต่างประเทศ
BIBF 18 18 18
PIBF 17 8 8
- สำนักงานวิเทศธนกิจของสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่ไม่มีสาขาในประเทศไทย
BIBF 17 15 12
PIBF 6 0 0
หมายเหตุ : BIBF = Bangkok International Banking Facilities คือ กิจการวิเทศธนกิจในเขตกรุงเทพมหานคร
PIBF = Provincial International Banking Facilities คือ กิจการวิเทศธนกิจในต่างจังหวัด
การดำเนินงานของบริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุน (รวมบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์) ที่เปิดดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2543 นี้ มีจำนวน 21 แห่งลดลงจากปีก่อน 1 แห่ง เนื่องจาก
กระทรวงการคลังได้ประกาศปิดกิจการบริษัทเงินทุนไทยแคปิตอล โดยผลประกอบการของบริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินกิจการทั้งหมดในปีนี้ มีผลขาดทุน
สุทธิรวม 2.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 24.4 พันล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทเงินทุนส่วนใหญ่เริ่มมีผลกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกใน
ช่วงไตรมาสที่สามและในไตรมาสที่สี่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงส่งผลให้บริษัทเงินทุนมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ
27.4 นอกจากนี้ บริษัทเงินทุนยังสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และการปริวรรตได้เพิ่มขึ้น 3.1 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี
ก่อนที่ขาดทุน 1.4 พันล้านบาท
อนึ่ง สำหรับบริษัทเงินทุนบางแห่งที่สามารถทำกำไรได้ดี เนื่องมาจากมีรายได้จากธุรกิจเช่าซื้อและจากการปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ
ตลอดจนมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งมีการ reverse สำรองกลับ เนื่องจากได้ตั้งสำรองครบจำนวนแล้ว
ในปี 2543 นี้ บริษัทเงินทุนมีการกันสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวม 17.3 พันล้านบาท ส่วนเงินสำรองที่ต้องกันเท่ากับ 12.4
พันล้านบาท ณ สิ้นธันวาคม 2543 บริษัทเงินทุนทั้งหมดได้กันสำรองครบตามเกณฑ์ที่ทางการกำหนดแล้วทุกแห่ง
สินทรัพย์รวมของบริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการ ณ สิ้นปี 2543 มีจำนวน 272.2 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 20.9 พันล้านบาท หรือ
ร้อยละ 7.1 โดยมียอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 147.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 39.8 พันล้านบาทหรือร้อยละ 21.3
เงินกู้ยืมโดยบริษัทเงินทุน 21 แห่ง มีจำนวน 195.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.2 พันล้านบาทหรือร้อยละ 5.5 โดยเป็นผลมา
จากการออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ด้อยสิทธิเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 86.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่เงินกู้และเงินรับฝากจากประชาชน ณ สิ้นปี 2543
มียอดคงค้าง 164.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (เงินรับฝาก) ของบริษัทเงินทุนประจำ 3 เดือนอยู่ระหว่างร้อยละ
1.75-5.5 ต่อปี (อัตราต่ำสุด-อัตราสูงสุด) ในขณะที่ของธนาคารพาณิชย์อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน อยู่ระหว่างร้อยละ 3.0-3.5 ต่อปี
ในด้านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัทเงินทุน ณ สิ้นธันวาคม 2543 มีลูกหนี้ของบริษัท เงินทุนปรับโครงสร้างหนี้เสร็จแล้ว 3,221
ราย คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 93.5 พันล้านบาท โดยที่บริษัทเงินทุนมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 34.9 พันล้านบาท คิดเป็น NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ
24.61 ลดลงจากปีก่อนซึ่งมี NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 49.22
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการ 21 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นบริษัทเงินทุน 19 แห่ง และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 2 แห่ง และเมื่อวันที่ 25
กรกฎาคม 2543 ทางการได้อนุญาตให้บริษัทเงินทุนสินเอเซียประกอบธุรกิจเพิ่มเติมและมีสำนักงานสาขาได้ (Super Finance) ส่วนบริษัทเงิน
ทุนธนชาติได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังให้จัดตั้งเป็นธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ซึ่งขณะนี้
อยู่ระหว่างการดำเนินการ
ยอดคงค้างเงินกู้และเงินรับฝากจากประชาชนของบริษัทเงินทุน (หน่วย : พันล้านบาท)
จำแนกตามกลุ่ม 2542 2543
Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการอยู่1/ 222.9 212.4 195.3 158.7 154.5 156.9 164 164.6
บริษัทเงินทุนที่ปิดดำเนินการ (56 แห่ง) 201.7 201.2 201.1 201.1 201.7 201.5 161.4 143.7
บริษัทเงินทุนทั้งระบบ2/ 424.6 413.6 396.4 359.8 356.2 358.4 325.4 308.3
1/ ในปี 2542 มีจำนวน 22 แห่ง ในปี 2543 เหลือ 21 แห่ง 2/ ในปี 2542 มีจำนวน 78 แห่ง ปี 2543 เหลือจำนวน 77 แห่ง
ยอดคงค้างสินเชื่อบริษัทเงินทุน (หน่วย : พันล้านบาท)
จำแนกตามกลุ่ม 2542 2543
Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
บริษัทเงินทุนที่เปิดดำเนินการอยู่1/ 263.6 254 244 187.1 182.9 161.5 165.2 147.3
บริษัทเงินทุนที่ปิดดำเนินการ (56 แห่ง) 661.9 513.3 305.3 311 300.3 301.3 312.1 302.6
บริษัทเงินทุนทั้งระบบ2/ 925.5 767.3 549.3 498.1 483.2 462.8 477.3 449.9
1/ ในปี 2542 มีจำนวน 22 แห่ง ในปี 2543 เหลือ 21 แห่ง 2/ ในปี 2542 มีจำนวน 78 แห่ง ปี 2543 เหลือจำนวน 77 แห่ง
ผลการดำเนินงานของบริษัทเงินทุน 21 แห่ง (หน่วย : พันล้านบาท)
2542 2543
ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี ม.ค.-มิ.ย. ก.ค.-ธ.ค. ทั้งปี
กำไร (+)/ ขาดทุน (-)1/ -9.4 -15 -24.4 -3.2 0.9 -2.3
การดำเนินงานของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ผลการดำเนินงานของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ในปี 2543 ดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากมีผลขาดทุนสุทธิลดลงจาก 194.1 ล้านบาทในปี
2542 เป็นขาดทุนสุทธิ 19.6 ล้านบาทในปีนี้ เป็นเพราะในไตรมาสที่สามและ ที่สี่ของปีนี้บริษัทเครดิตฟองซิเอร์เริ่มมีผลกำไรจากที่ขาดทุนมาตลอด
อันเป็นผลมาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมลดลง โดยที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและส่วนลดจ่ายลดลงถึงร้อยละ 42.4 จากปีก่อนและ
สามารถทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ 11.6 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี
ณ สิ้นปี 2543 ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์มียอดสินทรัพย์รวม 5.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 11.8 โดยเฉพาะเงินลงทุนใน
หลักทรัพย์มียอดคงค้าง 0.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.7 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลและที่รัฐบาลค้ำประกัน แต่สำหรับเงิน
ให้กู้ยืมรวมมีจำนวน 3.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.1 โดยการให้กู้ยืมส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้
ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทางด้านเงินกู้ยืมโดยบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีจำนวนทั้งสิ้น 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 10.7
เป็นการกู้ยืมจากประชาชน 3.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7
ทางด้านมาตรการของทางการที่เอื้ออำนวยในการประกอบธุรกิจของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ในปีนี้ ทางการได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ
ที่อยู่อาศัยใหม่ โดยให้ครอบคลุมถึงสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เปลี่ยนทุก 3 ปี หรือ 5 ปี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนที่ใช้บริการ นอกจากนี้ยัง
ได้ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ให้ประกอบกิจการตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่บุคคลใดๆ โดยมีค่าตอบแทนได้ แต่บริษัทจะ
ต้องไม่เข้าไปรับความเสี่ยง ตลอดจนได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน การตรวจสอบและควบคุมภายในของบริษัทเงินทุนและ
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ซึ่งรวมถึงให้กำหนดเกี่ยวกับ นโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการให้กู้ยืมเงิน การก่อภาระผูกพัน และการขายทรัพย์สิน
เพื่อประโยชน์ ในการดำเนินกิจการของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ณ สิ้นปี 2543 จำนวนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ไม่เปลี่ยนแปลงโดยมีจำนวน 10 แห่งเท่ากับปีก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-