1. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 19 เมษายน 2544
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 60/2544 ลงวันที่ 19 เมษายน 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน ซึ่งประเมินภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอีก 8 ไตรมาสข้างหน้าว่ายังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยประมาณไว้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังคงมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ดังนั้น แรงกระตุ้นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงต้องอาศัยอุปสงค์ภายในประเทศและการกระตุ้นจากภาคการคลัง ซึ่งคงจะไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่มาก และอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มาก
สำหรับปี 2545 คณะกรรมการฯ คาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แม้จะมีความไม่ แน่นอนจากเศรษฐกิจภายนอกอยู่มาก แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2544 น่าจะทำให้ประเทศเหล่านั้นเริ่มฟื้นตัวในระยะต่อไป ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทางการของสหรัฐฯ อีก ร้อยละ 0.5 ต่อปี เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2544 รวมทั้ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทางการของสหรัฐฯ ลงอีกร้อยละ 0.5
แม้การดำเนินนโยบายการเงินของไทย ยังอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย โดยดำรงอัตราดอกเบี้ยทางการในระดับต่ำ แต่ระบบเศรษฐกิจยังไม่อาจขยายตัวได้ในระดับสูง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกไม่เอื้อต่อการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนระบบสถาบันการเงินยังทำงานไม่ได้เป็นปกติ ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึง มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วัน ไว้ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี
2. รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศ ข่าว ธปท. ฉบับที่ 62/2544 ลงวันที่ 26 เมษายน 2544 เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนเมษายน 2544 ของคณะกรรมการนโยบายการเงินเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชน เกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย การเงินของประเทศ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีสัญญาณการชะลอตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและมีความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจากที่เคย คาดการณ์ไว้เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า กล่าวคือ ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2544 จากร้อยละ 3 — 4.5 เป็นร้อยละ 2.5 — 4 ส่วนปี 2545 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4 — 6 ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2544 มีแนวโน้มต่ำกว่าที่เคยคาดไว้โดยมีโอกาสที่จะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.5 — 2 ต่อปี และจะเร่งขึ้นในปี 2545 สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
3. การให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาสแรก ปี 2544
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ในไตรมาสแรกของปี 2544 ผ่านสถาบันการเงิน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นรวม 29.0 พันล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้สมทบอีก 40% - 60% จำนวน 23.5 พันล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อ ที่ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจมียอดสะสมทั้งสิ้น 52.5 พันล้านบาท
ภาคธุรกิจสำคัญที่มาขอรับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท. เป็นจำนวนสูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก ยอดเงินกู้ 13.5 พันล้านบาท ภาค อุตสาหกรรม (ไม่รวม SMEs) ยอดเงินกู้ จำนวน 226 ล้านบาท
สำหรับ SMEs ผลจากมาตรการลดดอกเบี้ยของ ธปท. แก่ SMEs เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2544 จากร้อยละ 3 ต่อปี เหลือร้อยละ 2 ต่อปี ทำให้ยอดเงินให้กู้เพิ่ม โดย ธปท. ได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปตั้งแต่ เริ่มโครงการจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2544 จำนวน 5,635 ราย วงเงิน 22.6 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากจำนวน 274 ราย วงเงิน 1.7 พันล้านบาท ณ สิ้น ไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 คณะกรรมการ ธปท. ได้อนุมัติวงเงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เพื่อ ช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จำนวน 5 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 18 เดือน และได้อนุมัติต่ออายุวงเงินช่วยเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 3 พันล้านบาท ออกไปอีก 3 ปี โดยคิดดอกเบี้ยจาก ธกส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
4. รายงานปริมาณธุรกรรมในตลาด ซื้อคืนและภาวะอัตราดอกเบี้ย
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานปริมาณธุรกรรม ในตลาดซื้อคืนในช่วงเดือนมีนาคม 2544 ที่ผ่านมา มียอดเฉลี่ยประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มียอดเฉลี่ยประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท โดยธุรกรรมส่วนใหญ่เป็นประเภท 1 วัน และ 14 วัน โดยเฉพาะครึ่งหลังของเดือนที่สถาบันการเงินต้องเตรียมสภาพคล่องสำหรับช่วงปลายเดือนซึ่งเป็นช่วงชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และต้นเดือนเมษายน ซึ่งจะมีวันหยุดวันจักรีและช่วงสงกรานต์
ความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยระยะ 1 วัน และ 7 วัน ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.875 —1.5 และ 1.0 — 1.5625 ร้อยละ 1.4375 และ 1.4375 ตามลำดับ เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดซื้อคืนมีค่อนข้างมาก ซึ่งสาเหตุใหญ่มาจากการที่กองทุนฟื้นฟูฯ และกระทรวงการคลังออกประมูลพันธบัตรน้อยกว่าที่ประกาศไว้ประมาณ 18.6 พันล้านบาทในแต่ละสัปดาห์ ทำให้สถาบันการเงินที่เตรียมเงินไว้สำหรับการเข้าประมูลพันธบัตรในแต่ละสัปดาห์มีสภาพคล่องเหลือค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ช่วงใกล้สิ้นเดือนตลาดตึงตัวขึ้นบ้าง เนื่องจากมีความต้องการสำรองเงินสดเพื่อ รองรับการเบิกจ่ายเงินในวันสิ้นเดือน การชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการปิดบัญชีครึ่งปีแรกของ ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่น ทำให้อัตราดอกเบี้ยประเภท 1 วัน และ 7 วัน ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
ส่วนอัตราดอกเบี้ยประเภท 14 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยส่งสัญญาณนโยบายการเงินยังคงเดิม ที่ร้อยละ 1.5 ตามมติของคณะกรรมการนโยบาย การเงินเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544
สำหรับอัตราดอกเบี้ยประเภท 1 เดือน ทรงตัวที่ร้อยละ 1.875 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 2 - 3 เดือน กลับปรับตัวต่ำลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามแนวโน้มอัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลัง
5. ผลการดำเนินการของกิจการวิเทศ ธนกิจ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการดำเนินการของกิจการวิเทศธนกิจ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ว่า ลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มียอดเงินให้กู้ยืมคงค้างจำนวน 411.9 พันล้านบาท ลดลง 118.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 22.3 จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้ ที่ครบกำหนดเป็นสำคัญ โดยกิจการวิเทศธนกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มียอดเงินให้กู้ยืมคงค้างลดลงมากที่สุดถึง 41.3 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ36.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินให้กู้ยืมแก่ ลูกค้าในประเทศ (Out-In) มีจำนวน 369.2 พันล้านบาท และเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในต่างประเทศ (Out-Out) มีจำนวน 42.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลง 101.4 และ 16.9 พันล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.5 และ 28.3 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 60/2544 ลงวันที่ 19 เมษายน 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน ซึ่งประเมินภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอีก 8 ไตรมาสข้างหน้าว่ายังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยประมาณไว้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังคงมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ดังนั้น แรงกระตุ้นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงต้องอาศัยอุปสงค์ภายในประเทศและการกระตุ้นจากภาคการคลัง ซึ่งคงจะไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่มาก และอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มาก
สำหรับปี 2545 คณะกรรมการฯ คาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แม้จะมีความไม่ แน่นอนจากเศรษฐกิจภายนอกอยู่มาก แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2544 น่าจะทำให้ประเทศเหล่านั้นเริ่มฟื้นตัวในระยะต่อไป ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทางการของสหรัฐฯ อีก ร้อยละ 0.5 ต่อปี เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2544 รวมทั้ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทางการของสหรัฐฯ ลงอีกร้อยละ 0.5
แม้การดำเนินนโยบายการเงินของไทย ยังอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย โดยดำรงอัตราดอกเบี้ยทางการในระดับต่ำ แต่ระบบเศรษฐกิจยังไม่อาจขยายตัวได้ในระดับสูง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกไม่เอื้อต่อการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนระบบสถาบันการเงินยังทำงานไม่ได้เป็นปกติ ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึง มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วัน ไว้ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี
2. รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศ ข่าว ธปท. ฉบับที่ 62/2544 ลงวันที่ 26 เมษายน 2544 เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนเมษายน 2544 ของคณะกรรมการนโยบายการเงินเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชน เกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย การเงินของประเทศ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีสัญญาณการชะลอตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและมีความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจากที่เคย คาดการณ์ไว้เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า กล่าวคือ ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2544 จากร้อยละ 3 — 4.5 เป็นร้อยละ 2.5 — 4 ส่วนปี 2545 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4 — 6 ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2544 มีแนวโน้มต่ำกว่าที่เคยคาดไว้โดยมีโอกาสที่จะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.5 — 2 ต่อปี และจะเร่งขึ้นในปี 2545 สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
3. การให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาสแรก ปี 2544
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ในไตรมาสแรกของปี 2544 ผ่านสถาบันการเงิน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นรวม 29.0 พันล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้สมทบอีก 40% - 60% จำนวน 23.5 พันล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อ ที่ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจมียอดสะสมทั้งสิ้น 52.5 พันล้านบาท
ภาคธุรกิจสำคัญที่มาขอรับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท. เป็นจำนวนสูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก ยอดเงินกู้ 13.5 พันล้านบาท ภาค อุตสาหกรรม (ไม่รวม SMEs) ยอดเงินกู้ จำนวน 226 ล้านบาท
สำหรับ SMEs ผลจากมาตรการลดดอกเบี้ยของ ธปท. แก่ SMEs เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2544 จากร้อยละ 3 ต่อปี เหลือร้อยละ 2 ต่อปี ทำให้ยอดเงินให้กู้เพิ่ม โดย ธปท. ได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปตั้งแต่ เริ่มโครงการจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2544 จำนวน 5,635 ราย วงเงิน 22.6 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากจำนวน 274 ราย วงเงิน 1.7 พันล้านบาท ณ สิ้น ไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 คณะกรรมการ ธปท. ได้อนุมัติวงเงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เพื่อ ช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จำนวน 5 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 18 เดือน และได้อนุมัติต่ออายุวงเงินช่วยเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 3 พันล้านบาท ออกไปอีก 3 ปี โดยคิดดอกเบี้ยจาก ธกส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
4. รายงานปริมาณธุรกรรมในตลาด ซื้อคืนและภาวะอัตราดอกเบี้ย
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานปริมาณธุรกรรม ในตลาดซื้อคืนในช่วงเดือนมีนาคม 2544 ที่ผ่านมา มียอดเฉลี่ยประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มียอดเฉลี่ยประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท โดยธุรกรรมส่วนใหญ่เป็นประเภท 1 วัน และ 14 วัน โดยเฉพาะครึ่งหลังของเดือนที่สถาบันการเงินต้องเตรียมสภาพคล่องสำหรับช่วงปลายเดือนซึ่งเป็นช่วงชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และต้นเดือนเมษายน ซึ่งจะมีวันหยุดวันจักรีและช่วงสงกรานต์
ความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยระยะ 1 วัน และ 7 วัน ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.875 —1.5 และ 1.0 — 1.5625 ร้อยละ 1.4375 และ 1.4375 ตามลำดับ เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดซื้อคืนมีค่อนข้างมาก ซึ่งสาเหตุใหญ่มาจากการที่กองทุนฟื้นฟูฯ และกระทรวงการคลังออกประมูลพันธบัตรน้อยกว่าที่ประกาศไว้ประมาณ 18.6 พันล้านบาทในแต่ละสัปดาห์ ทำให้สถาบันการเงินที่เตรียมเงินไว้สำหรับการเข้าประมูลพันธบัตรในแต่ละสัปดาห์มีสภาพคล่องเหลือค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ช่วงใกล้สิ้นเดือนตลาดตึงตัวขึ้นบ้าง เนื่องจากมีความต้องการสำรองเงินสดเพื่อ รองรับการเบิกจ่ายเงินในวันสิ้นเดือน การชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการปิดบัญชีครึ่งปีแรกของ ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่น ทำให้อัตราดอกเบี้ยประเภท 1 วัน และ 7 วัน ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
ส่วนอัตราดอกเบี้ยประเภท 14 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยส่งสัญญาณนโยบายการเงินยังคงเดิม ที่ร้อยละ 1.5 ตามมติของคณะกรรมการนโยบาย การเงินเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544
สำหรับอัตราดอกเบี้ยประเภท 1 เดือน ทรงตัวที่ร้อยละ 1.875 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 2 - 3 เดือน กลับปรับตัวต่ำลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามแนวโน้มอัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลัง
5. ผลการดำเนินการของกิจการวิเทศ ธนกิจ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการดำเนินการของกิจการวิเทศธนกิจ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ว่า ลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มียอดเงินให้กู้ยืมคงค้างจำนวน 411.9 พันล้านบาท ลดลง 118.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 22.3 จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้ ที่ครบกำหนดเป็นสำคัญ โดยกิจการวิเทศธนกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มียอดเงินให้กู้ยืมคงค้างลดลงมากที่สุดถึง 41.3 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ36.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินให้กู้ยืมแก่ ลูกค้าในประเทศ (Out-In) มีจำนวน 369.2 พันล้านบาท และเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในต่างประเทศ (Out-Out) มีจำนวน 42.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลง 101.4 และ 16.9 พันล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.5 และ 28.3 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-