การเงินและการธนาคาร
ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2543 สาขาธนาคารพาณิชย์มียอดเงินฝากคงค้าง 271,835.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 464.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน จากรายได้ของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และจากการจำหน่ายสินค้าทางเกษตร เงินฝากเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดลำพูน กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำปาง และแม่ฮ่องสอน
ทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 175,030.1 ล้านบาท ลดลงสุทธิจากเดือนก่อน 2,125.8ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2 และลดลงร้อยละ 14.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยังมีการโอนสินเชื่อบางส่วนไปบริหารที่ส่วนกลาง และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) รวมทั้งการคืนหนี้ซึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ยังคงมีการให้สินเชื่อในกลุ่มอุตสาหกรรมถนอมอาหาร กลุ่มผลิตหัตถกรรมเพื่อการส่งออก และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ สินเชื่อลดลงมากที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก และแพร่
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 ธนาคาร ทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำ 3 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.50 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.00-4.25 ต่อปี สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าชั้นดี (MLR) อยู่ที่ระดับร้อยละ 7.50-8.25 ต่อปี
ปริมาณการใช้เช็คในเดือนพฤศจิกายน 2543 มีปริมาณ 357,438 ฉบับ มูลค่า 22,800.2 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.9 และร้อยละ 8.2 ตามลำดับ โดยลดลงมากในจังหวัดอุทัยธานี เชียงราย พิจิตร นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ ทางด้านปริมาณและมูลค่าเช็คคืนลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.7 และร้อยละ 6.1 เหลือ 6,665 ฉบับ มูลค่า 358.2 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเช็คคืนมีสัดส่วนร้อยละ 1.9 และร้อยละ 1.6 ของปริมาณและมูลค่าเช็คเรียกเก็บ ใกล้เคียงกับร้อยละ 1.8 และร้อยละ 1.5 เมื่อเดือนก่อน และระยะเดียวกันปีก่อน ฐานะการคลัง
ฐานะการคลังรัฐบาลในภาคเหนือเดือนพฤศจิกายน 2543 มีเงินในงบประมาณขาดดุล 7,194.8 ล้านบาท ลดลงเทียบกับที่ขาดดุล 7,823.9 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน จากการใช้จ่ายที่ลดลงเป็นสำคัญ
รายได้รัฐบาลที่นำส่งคลังจังหวัดทั้ง 20 แห่งในภาคเหนือ ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.2 เหลือ 740.2 ล้านบาท โดยการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงร้อยละ 2.3 เหลือ 235.6 ล้านบาท โดยลดลงมากในส่วนของการจัดเก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยร้อยละ 29.5 เหลือ 77.9 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการจัดเก็บรายได้อื่นลดลงร้อยละ 50.2 เหลือ 113.5 ล้านบาท ขณะที่การจัดเก็บเงินได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เป็น 139.0 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 เป็น 252.2 ล้านบาท จากการเร่งรัดจัดเก็บภาษี
รายจ่ายรัฐบาลที่จ่ายผ่านคลังจังหวัดในภาคเหนือลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.2 เหลือ 7,935.0 ล้านบาท ลดลงมากในส่วนของรายจ่ายลงทุนเป็นสำคัญโดยลดลงร้อยละ 24.8เหลือ 2,272.7 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เป็น 5,662.3 ล้านบาท จากรายจ่ายงบกลางที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 เป็น 1,193.2 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินขวัญถุงแก่ข้าราชการที่เกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นสำคัญการค้าต่างประเทศ
การส่งออก ของภาคเหนือเดือนพฤศจิกายน 2543 มีมูลค่า 125.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 36.7 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,469.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 54.4) จากการเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่และการส่งออกผ่านชายแดน
การส่งออกผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 104.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 4,561.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.0) เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือและการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป โดยการส่งออกจากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 93.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 27.8 จากความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะจากตลาดเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น กอปรกับในช่วงที่ผ่านมาโรงงานหลายแห่งในนิคมฯได้ขยายกำลังการผลิต ทำให้สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งออกนอกนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 11.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 33.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 505.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 50.6) จากการส่งออกลำไยแปรรูปเป็นสำคัญ
การส่งออกผ่านชายแดน มีมูลค่า 20.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่าเท่าตัว (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 907.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่าเท่าตัว) จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกไปพม่าเป็นสำคัญ
การส่งออกไปพม่า มีมูลค่า 17.1 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 745.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว) เนื่องจากพม่ามีความต้องการสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ส่วน การส่งออกไปจีน (ตอนใต้) และ ลาว มีมูลค่า 2.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 1.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.1 และร้อยละ 8.6 ตามลำดับ (ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 100.9 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.1 ส่วนการส่งออกไปลาวมีมูลค่า 61.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2)
การนำเข้า มูลค่าสินค้านำเข้ามีมูลค่า 119.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53.3 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,194.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 73.1) จากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นสำคัญ
การนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 115.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 57.1 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,027.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 77.4) จากการนำเข้าสินค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นสำคัญ โดยการนำเข้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 115.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 57.6 จากการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นตามการส่งออก และส่วนหนึ่งยังมีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนการนำเข้าสินค้านอกนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่) มีมูลค่า 0.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.2 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 23.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.8)
การนำเข้าสินค้าจากชายแดน มีมูลค่า 3.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.0 จากการนำเข้าสินค้าจากจีน (ตอนใต้) และลาวลดลง เป็นสำคัญ (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 167.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.5)
การนำเข้าสินค้าจากพม่า มีมูลค่า 2.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 44.3 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 88.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 62.9) ตามความต้องการที่มีเพิ่มขึ้น การนำเข้าจากลาว มีมูลค่า 0.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 40.8 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 27.0 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 33.2) เนื่องจากมีการนำเข้าโค-กระบือจากพม่าทดแทนมากขึ้น ส่วน การนำเข้าจากจีน (ตอนใต้) มีมูลค่า 1.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 36.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 51.2 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.2) จากการนำเข้าแอปเปิ้ลลดลงเป็นสำคัญระดับราคา
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2543 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.2 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.3 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.4
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงจากเดือนก่อน และเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 และร้อยละ 0.5 ตามลำดับ เนื่องจากสินค้ากลุ่มผักและผลไม้ราคาลดลงมากถึงร้อยละ 2.9 รองลงมาได้แก่ กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นมลดลงร้อยละ 0.8 กลุ่มเนื้อสัตว์เป็ดไก่และสัตว์น้ำลดลงร้อยละ 0.2 เนื่องจากผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่วนกลุ่มอาหารที่ซื้อจากตลาดราคาลดลงร้อยละ 0.3 ตามภาวะการแข่งขันของผู้ประกอบการ ขณะที่กลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เนื่องจากต่างประเทศมีความต้องการข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มอื่นๆ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
หมวดอื่นๆที่มิใช่อาหาร ราคาเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ ทั้งหมวดพาหนะและการสื่อสาร และหมวดเคหสถานราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 0.5 หมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 หมวดเครื่องนุ่งห่มราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ขณะที่หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษาราคาไม่เปลี่ยนแปลง
การใช้จ่ายภาคเอกชน
การใช้จ่ายภาคเอกชนของภาคเหนือขยายตัวขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ใช้ฐานภาษีร้อยละ 7) ที่จัดเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.0 เป็น 252.2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
สำหรับ การจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในเดือนตุลาคม 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณรถยนต์จดทะเบียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เป็น 1,655 คัน ส่วนปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียน มีจำนวน 12,697 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 90.0 โดยขยายตัวมากในจังหวัดลำปาง และลำพูน โดยเป็นผลต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกในจังหวัดดังกล่าวจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการมีเพิ่มขึ้น
ทางด้านการให้สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคยังคงหดตัว ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2543 สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคของสาขาธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้าง 37,673.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการที่ธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังการให้สินเชื่อและบางส่วนจากการโอนสินเชื่อไปบริหารที่สำนักงานใหญ่
--ส่วนวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ--
-ยก-
ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2543 สาขาธนาคารพาณิชย์มียอดเงินฝากคงค้าง 271,835.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 464.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน จากรายได้ของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และจากการจำหน่ายสินค้าทางเกษตร เงินฝากเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดลำพูน กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำปาง และแม่ฮ่องสอน
ทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 175,030.1 ล้านบาท ลดลงสุทธิจากเดือนก่อน 2,125.8ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2 และลดลงร้อยละ 14.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยังมีการโอนสินเชื่อบางส่วนไปบริหารที่ส่วนกลาง และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) รวมทั้งการคืนหนี้ซึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ยังคงมีการให้สินเชื่อในกลุ่มอุตสาหกรรมถนอมอาหาร กลุ่มผลิตหัตถกรรมเพื่อการส่งออก และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ สินเชื่อลดลงมากที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก และแพร่
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 ธนาคาร ทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำ 3 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.50 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือนอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.00-4.25 ต่อปี สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าชั้นดี (MLR) อยู่ที่ระดับร้อยละ 7.50-8.25 ต่อปี
ปริมาณการใช้เช็คในเดือนพฤศจิกายน 2543 มีปริมาณ 357,438 ฉบับ มูลค่า 22,800.2 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.9 และร้อยละ 8.2 ตามลำดับ โดยลดลงมากในจังหวัดอุทัยธานี เชียงราย พิจิตร นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ ทางด้านปริมาณและมูลค่าเช็คคืนลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.7 และร้อยละ 6.1 เหลือ 6,665 ฉบับ มูลค่า 358.2 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเช็คคืนมีสัดส่วนร้อยละ 1.9 และร้อยละ 1.6 ของปริมาณและมูลค่าเช็คเรียกเก็บ ใกล้เคียงกับร้อยละ 1.8 และร้อยละ 1.5 เมื่อเดือนก่อน และระยะเดียวกันปีก่อน ฐานะการคลัง
ฐานะการคลังรัฐบาลในภาคเหนือเดือนพฤศจิกายน 2543 มีเงินในงบประมาณขาดดุล 7,194.8 ล้านบาท ลดลงเทียบกับที่ขาดดุล 7,823.9 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน จากการใช้จ่ายที่ลดลงเป็นสำคัญ
รายได้รัฐบาลที่นำส่งคลังจังหวัดทั้ง 20 แห่งในภาคเหนือ ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.2 เหลือ 740.2 ล้านบาท โดยการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงร้อยละ 2.3 เหลือ 235.6 ล้านบาท โดยลดลงมากในส่วนของการจัดเก็บจากเงินได้ดอกเบี้ยร้อยละ 29.5 เหลือ 77.9 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการจัดเก็บรายได้อื่นลดลงร้อยละ 50.2 เหลือ 113.5 ล้านบาท ขณะที่การจัดเก็บเงินได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เป็น 139.0 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 เป็น 252.2 ล้านบาท จากการเร่งรัดจัดเก็บภาษี
รายจ่ายรัฐบาลที่จ่ายผ่านคลังจังหวัดในภาคเหนือลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.2 เหลือ 7,935.0 ล้านบาท ลดลงมากในส่วนของรายจ่ายลงทุนเป็นสำคัญโดยลดลงร้อยละ 24.8เหลือ 2,272.7 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เป็น 5,662.3 ล้านบาท จากรายจ่ายงบกลางที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 เป็น 1,193.2 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินขวัญถุงแก่ข้าราชการที่เกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นสำคัญการค้าต่างประเทศ
การส่งออก ของภาคเหนือเดือนพฤศจิกายน 2543 มีมูลค่า 125.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 36.7 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,469.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 54.4) จากการเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่และการส่งออกผ่านชายแดน
การส่งออกผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 104.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 4,561.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.0) เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือและการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป โดยการส่งออกจากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 93.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 27.8 จากความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะจากตลาดเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น กอปรกับในช่วงที่ผ่านมาโรงงานหลายแห่งในนิคมฯได้ขยายกำลังการผลิต ทำให้สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งออกนอกนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 11.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 33.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 505.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 50.6) จากการส่งออกลำไยแปรรูปเป็นสำคัญ
การส่งออกผ่านชายแดน มีมูลค่า 20.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่าเท่าตัว (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 907.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่าเท่าตัว) จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกไปพม่าเป็นสำคัญ
การส่งออกไปพม่า มีมูลค่า 17.1 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 745.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว) เนื่องจากพม่ามีความต้องการสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ส่วน การส่งออกไปจีน (ตอนใต้) และ ลาว มีมูลค่า 2.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 1.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.1 และร้อยละ 8.6 ตามลำดับ (ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 100.9 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.1 ส่วนการส่งออกไปลาวมีมูลค่า 61.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2)
การนำเข้า มูลค่าสินค้านำเข้ามีมูลค่า 119.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53.3 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,194.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 73.1) จากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นสำคัญ
การนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีมูลค่า 115.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 57.1 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 5,027.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 77.4) จากการนำเข้าสินค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นสำคัญ โดยการนำเข้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 115.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 57.6 จากการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นตามการส่งออก และส่วนหนึ่งยังมีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนการนำเข้าสินค้านอกนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่) มีมูลค่า 0.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.2 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 23.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.8)
การนำเข้าสินค้าจากชายแดน มีมูลค่า 3.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.0 จากการนำเข้าสินค้าจากจีน (ตอนใต้) และลาวลดลง เป็นสำคัญ (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 167.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.5)
การนำเข้าสินค้าจากพม่า มีมูลค่า 2.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 44.3 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 88.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 62.9) ตามความต้องการที่มีเพิ่มขึ้น การนำเข้าจากลาว มีมูลค่า 0.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 40.8 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 27.0 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 33.2) เนื่องจากมีการนำเข้าโค-กระบือจากพม่าทดแทนมากขึ้น ส่วน การนำเข้าจากจีน (ตอนใต้) มีมูลค่า 1.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 36.4 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 51.2 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.2) จากการนำเข้าแอปเปิ้ลลดลงเป็นสำคัญระดับราคา
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2543 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.2 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.3 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.4
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงจากเดือนก่อน และเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 และร้อยละ 0.5 ตามลำดับ เนื่องจากสินค้ากลุ่มผักและผลไม้ราคาลดลงมากถึงร้อยละ 2.9 รองลงมาได้แก่ กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นมลดลงร้อยละ 0.8 กลุ่มเนื้อสัตว์เป็ดไก่และสัตว์น้ำลดลงร้อยละ 0.2 เนื่องจากผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่วนกลุ่มอาหารที่ซื้อจากตลาดราคาลดลงร้อยละ 0.3 ตามภาวะการแข่งขันของผู้ประกอบการ ขณะที่กลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เนื่องจากต่างประเทศมีความต้องการข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มอื่นๆ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
หมวดอื่นๆที่มิใช่อาหาร ราคาเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ ทั้งหมวดพาหนะและการสื่อสาร และหมวดเคหสถานราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 0.5 หมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 หมวดเครื่องนุ่งห่มราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ขณะที่หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษาราคาไม่เปลี่ยนแปลง
การใช้จ่ายภาคเอกชน
การใช้จ่ายภาคเอกชนของภาคเหนือขยายตัวขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ใช้ฐานภาษีร้อยละ 7) ที่จัดเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.0 เป็น 252.2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
สำหรับ การจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในเดือนตุลาคม 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณรถยนต์จดทะเบียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เป็น 1,655 คัน ส่วนปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียน มีจำนวน 12,697 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 90.0 โดยขยายตัวมากในจังหวัดลำปาง และลำพูน โดยเป็นผลต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกในจังหวัดดังกล่าวจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการมีเพิ่มขึ้น
ทางด้านการให้สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคยังคงหดตัว ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2543 สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคของสาขาธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้าง 37,673.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการที่ธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังการให้สินเชื่อและบางส่วนจากการโอนสินเชื่อไปบริหารที่สำนักงานใหญ่
--ส่วนวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ--
-ยก-