เอกชนโอดหืดขึ้นคอ รัฐปรับส่งออกโต 20%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 4, 2005 14:05 —สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

          เอกชนหืดขึ้นคอ หลัง"สมคิด"สั่งปรับเป้าตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 20% โดยกลุ่มพลาสติกยอมรับส่งออกเพิ่มได้ยาก เนื่องจากซัปพลายเพิ่มและราคาตก ทำให้ต้องหันไปเปิดตลาดใหม่ พร้อมเสนอให้รัฐต้องบริษัทเทรดดิ้งช่วยผลักดันสินค้าของไทย ส่วนกลุ่มเหล็กจี้รัฐเข้ามาดูแลปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้การส่งออกทำได้ยาก ด้านกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ มั่นใจส่งออกได้ตามเป้าหมาย ระบุแค่ 2 เดือนแรกปีนี้ส่งออกฉลุย ขยายตัว 57%
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกลุ่มพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปรับเป้าหมายส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 20%นั้น ในปลายปี 2547 กลุ่มพลาสติก ได้มีการเสนอตัวเลขมูลค่าการส่งออกเม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติกในปี 2548 จะมีการขยายตัวจะต่ำกว่าปี 2547 เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกในปีนี้จะอ่อนตัวลงมา เพราะปีที่แล้ว ถือเป็นปีที่ราคาเม็ดพลาสติกอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ยตันละ 1,300-1,400 เหรียญสหรัฐ แต่ต้นปี 2548 ราคาเม็ดพลาสติกเริ่มทรงตัวอยู่ที่ 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน
รวมทั้ง มีกำลังการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นจากตะวันออกกลางและจีน โดยโรงงานปิโตรเคมีของกลุ่มบีพีในจีนเริ่มผลิตได้ในกลางปีนี้ จะกระทบต่อการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทย เพราะกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมีอัตราที่สูงกว่าความต้องการที่เติบโตขึ้น ดังนั้น ทางออกที่จะเร่งส่งออกพลาสติกได้ คือ ต้องหันไปเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อเมริกาใต้และแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ตลาดที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มพลาสติก คือตลาดยุโรป แต่ติดปัญหาว่าแบงก์ไทยไม่ยอมรับการเปิด L/C ของสถาบันการเงินในประเทศยุโรปตะวันออก ดังนั้นรัฐควรตั้งหน่วยงานเพื่อเป็นตัวกลางเพื่อลดอุปสรรคดังกล่าว เพราะเชื่อว่าหลายประเทศในยุโรปตะวันออกยังมีกำลังซื้อ เพียงแต่กลัวว่าจะเก็บเงินไม่ได้ ทำให้เอกชนไทยไม่ค่อยได้ทำตลาดในยุโรปตะวันออกมากนัก
"ในหลายประเทศจะมีบริษัทเทรดดิ้ง เฟิร์มทำหน้าที่ในการขาย/ซื้อสินค้า เช่น ญี่ปุ่น ขณะที่ของไทยจะมีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ หรือซี.พี.ที่มีเครือข่ายเน็ตเวิร์คค้าขายไปทั่วโลก ซึ่งมองว่าน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนได้ ดังนั้นรัฐควรจะมีการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งขึ้นมา โดยอาจให้ซี.พี.เป็นผู้โอเปอเรท น่าจะช่วยการส่งออกของไทยได้"
ดังนั้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งให้มีการปรับเป้าตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นจากเดิม 15%เป็น 20% ทางกลุ่มพลาสติกก็คงต้องพยายามส่งออกให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทย
นายกรกฏ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มเหล็ก ส.อ.ท. และผู้บริหารของบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการส่งออกที่ต้องหยิบมาพูดกัน คือ ค่าเงินบาท ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้ศักยภาพการส่งออกของไทยมีปัญหาได้ ดังนั้นหากจะเร่งผลักดันให้ไทยมีการส่งออกได้ตามเป้าหมาย คือขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% รัฐก็ควรเข้ามาดูแลค่าเงินให้อ่อนตัวลงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มเหล็กในแง่ของบริษัทสหวิริยาสตีลฯนั้น ได้มีการขยายกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะช่วยผลักดันยอดการส่งออกเหล็กในปีนี้ได้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนฯปีนี้ไว้ที่ 10%ของกำลังการผลิตที่ 2.4 ล้านตัน
นางประพีร์ สรไกรกิติกูล รองประธานกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ หอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับตัวเลขการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์เป็น 20%ในปีนี้ เชื่อว่ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดันน่าจะส่งออกได้ตามเป้าหมายที่รัฐกำหนดไว้ได้ เนื่องจากช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกไปแล้วคิดเป็นมูลค่า 527 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัว57% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการส่งออก อาทิ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากผู้ส่งออกมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้แล้ว รวมทั้งวัตถุดิบและราคาขายก็อิงตามเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับต้องการให้รัฐเข้ามาดูแลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าส่วนประกอบในการผลิตเครื่องประดับที่มีอัตราค่อนข้างสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
"เดิมเราคาดว่าปีนี้การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับจะขยายตัวไม่เกิน 15% เนื่องจากปีที่แล้วขยายตัวเพิ่ม 5-6% แสดงว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว และยังมีคู่แข่งอย่างอินเดียและจีนด้วย แต่พอผ่านไปแค่ 2 เดือนปีนี้ การส่งออกอัญมณีฯขยายตัวขึ้นถึง 57% หากสามารถรักษาการส่งออกแบบนี้เชื่อว่าทั้งปีน่าจะได้ตามเป้าหมายที่รมต.สมคิดกำหนดไว้ได้" นางประพีร์กล่าว
ที่มา: หอการค้าไทย ศูนย์ข้อมูลธุรกิจ www.thaiechamber.com
-ดท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ