แท็ก
เมกะโปรเจก
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้นในเมกะโปรเจกต์ 1.7 ล้านล้านบาท นายศุภรัตน์ ควัฒ
น์กุล ปลัด ก.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการลงทุนภาครัฐ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำแผน
การลงทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของภาครัฐในช่วงปี 2548-2552 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะ
ใช้เงินลงทุน 1.702 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะมาจากเงิน งปม.ของรัฐบาล ร้อยละ 38.5 รายได้
ของรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.5 เงินกู้ ร้อยละ 36.9 และอื่น ๆ อีกร้อยละ 10.1 เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็น
หลักทรัพย์ ซึ่งจะไม่กระทบต่อกรอบความยั่งยืนทางการคลัง นอกจากนี้ เพื่อให้การลงทุนในเมกะโปรเจกต์ไม่
กระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ ก.คลังจึงได้ศึกษาร่วมกับ ธปท. ถึงผลกระทบที่จะเกิดกับดุลบัญชีเดินสะพัด โดยพบ
ว่า โครงการเมกะโปรเจกต์จะมีผลให้นำเข้าวัตถุดิบและสินค้าจากต่างประเทศ ร้อยละ 30 ของวงเงินลงทุน ซึ่ง
เป็นปริมาณที่น้อยมาก เนื่องจากเป็นการทยอยนำเข้าภายใน 5 ปี และหากมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า
ร้อยละ 2 ของจีดีพี จะชะลอหรือเลื่อนการลงทุนที่มีลำดับความสำคัญน้อยออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้ง
นี้ ก.คลังจะเสนอแผนลงทุนให้ ครม. รับทราบในกลางเดือน มิ.ย.นี้ โดย งปม.ปี 49 จะมีสัดส่วนของโครงการเมกะโปรเจกต์ 159,000 ล้านบาท จากงบลงทุน 300,000 ล้านบาท สำหรับโครงการขนส่งมวลชนระบบราง
ทั้งหมด 7 สาย จะใช้เงิน 563,117 ล้านบาท ตลอดช่วงก่อนสร้างโครงการ 8 ปี ตั้งแต่ปี 48 จนถึงปี 55 แบ่ง
เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 425,190 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะลงทุนเองทั้งหมด ที่เหลือ 137,927 ล้าน
บาท รัฐบาลและเอกชนจะลงทุนร่วมกัน โดยจำนวนเงินในส่วนที่รัฐบาลลงทุนเองจะมาจากเงิน งปม. ร้อยละ 30
และเงินกู้ ร้อยละ 70 แยกเป็นเงินกู้ต่างประเทศ ร้อยละ 30 และเงินกู้ในประเทศ ร้อยละ 40 (ไทยรัฐ,
โลกวันนี้, แนวหน้า)
2. ผู้ประกอบการยืนยันสามารถคุมปัญหาหนี้เสียบัตรเครดิตได้ คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.
ใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ นรม. ออกมาระบุให้ ก.คลัง และ ธปท. คุมเข้มบัตรเครดิต เพราะเห็นว่าแต่
ละคนถือหลายใบจนอาจเกิดปัญหาทางการเงินว่า ในส่วนของ ธ.ไทยพาณิชย์ได้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่าง
ละเอียดรอบคอบก่อนที่จะอนุมัติให้บัตรเครดิตแก่ลูกค้า นอกจากนี้ หลังจากอนุมัติบัตรเครดิตให้ลูกค้าแล้ว ยังมีการ
ตรวจสอบข้อมูลการชำระหนี้ของลูกค้าทุกเดือนว่าการชำระหนี้เป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันหนี้
เสียของบัตรเครดิต ธ.ไทยพาณิชย์มีเพียงร้อยละ 2 โดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน รวมทั้งผู้ให้บริการบัตรเครดิต
ทุกแห่งจะควบคุมความเสี่ยงด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียไม่ให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าทางการจะออก
มาตรการอะไรมาควบคุมเพิ่มเติมก็ไม่มีผลต่อการขยายฐานบัตรเครดิต เพราะผู้ให้บริการบัตรเครดิตแต่ละแห่งได้
ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ด้านนายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน
การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตไม่ได้ขยายตัวสูงมากจนเกิดความร้อนแรง เพราะ ก.คลัง และ ธปท. ได้ออกกฎ
มาดูแลควบคุมการออกบัตรและกำหนดวงเงินที่ให้ลูกค้าใช้จ่าย แต่ก็ยอมรับว่ามีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ถือบัตรจากกว่า
1 ใบ โดยเป็นบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ซึ่งข้อเท็จจริงในระบบมีบัตรเครดิต 4.5 ล้านใบ อีก 2 ล้านใบ เป็น
บัตรสินเชื่อและบัตรกดเงินสด (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
3. การขึ้นค่าเงินหยวนของจีนจะทำให้ดุลการค้าทั่วโลกมีความสมดุลมากขึ้น นายวิจิตร สุพินิจ
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการขึ้นค่าเงินหยวนของจีนจะทำให้ดุลการ
ค้าทั่วโลกมีความสมดุลมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจำนวนมาก ขณะที่ประเทศอื่นขาดดุล
แต่ถ้าค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้สินค้าของจีนมีราคาสูงขึ้น ประเทศอื่นก็จะสามารถแข่งขันกับจีนได้ ซึ่งไทยก็
จะได้รับประโยชน์เช่นกัน เพราะทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงและสินค้าที่ส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น ด้านนายกิตติ
รัตน์ ณ ระนอง กก.ผจก.ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การขึ้นค่าเงินหยวนของจีนไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โลกมากนัก เนื่องจากราคาสินค้าของจีนอยู่ในระดับต่ำมากและมีเพดานที่เพิ่มขึ้นได้อีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้เงิน
หยวนจะแข็งค่าขึ้นและส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่เป็นระดับราคาที่ค้าขายได้ จึงไม่ต้องห่วงการเกิดผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจโลก สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ด้านของคู่ค้าและคู่แข่ง ซึ่งขณะนี้ไทยเป็นคู่
แข่งกับจีนมากกว่าการเป็นคู่ค้า หากจีนปรับขึ้นค่าเงินหยวนจริงจะเป็นประโยชน์ต่อสินค้าส่งออกของไทยมากกว่า
ขณะที่ผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้ากับจีนคงต้องติดตามสถานการณ์และปรับตัวตาม อนึ่ง เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา จีน
ได้ปฏิรูปการปริวรรตเงินตราจากเดิมที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินตราเพียง 4 สกุล คือ ดอลลาร์ สรอ. ดอลลาร์
ฮ่องกง ยูโร และเยน เพิ่มเป็น 12 สกุล ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อม
ในการลอยตัวค่าเงินหยวน (โลกวันนี้)
4. ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนสุดในรอบ 6 เดือน นายนริศ ชัยสูตร ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง กล่าว
ถึงความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วงนี้ว่า ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวในปัจจุบันการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง
ของค่าเงินถือเป็นเรื่องปกติและเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม ธปท. และ ก.คลังจะต้องช่วยกันติดตามและ
ออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนมากจนเกินไปจนเกิดปัญหาเสถียรภาพทาง
เศรษฐกิจ ด้านนายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผอฝ.ธ.กสิกรไทย กล่าวว่า เป็นผลจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจีนจะ
ปรับลดค่าเงินหยวนลง แต่เมื่อทางการจีนไม่มีการปรับลด ทำให้นักลงทุนเทขายเงินในภูมิภาคออกมา ซึ่งรวมทั้งเงิน
บาทและเงินเยน โดยเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินบาทถือว่าไม่
เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น แต่ก็ไม่น่ามีผลกระทบมาก เพราะค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคก็ปรับอ่อนค่าลงเช่นกัน (ผู้
จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. OECD จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซน รายงานจาก Helsinki
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 48 หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ธ.เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา (OECD)
เปิดเผยว่า ในการทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจในวันที่ 24 พ.ค. นั้นจะมีการปรับลดประมาณการการขยาย
ตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนพ.ย. 47 ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะเติบโตร้อย
ละ 1.9 เนื่องจากประมาณการณ์ดังกล่าวสูงกว่าที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจที่สำคัญอาทิ ธ.กลางยุโรป IMF
กรรมาธิการเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งต่างก็ได้ประมาณการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ
1.6 เท่านั้น ทั้งนี้นาย Cotis หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก OECD ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนฟินแลนด์เพื่อนำเสนอน
โยบายปฎิรูปเศรษฐกิจใหม่กล่าวว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและสรอ. ยังคงเป็นความท้าทายในระยะ
ยาวที่ต้องเผชิญโดยเฉพาะปัญหาประชากรสูงอายุและความเข้มงวดในนโยบายของรัฐบาล แต่หากสามารถบริหาร
จัดการได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี (รอยเตอร์)
2. เงินเฟ้อพื้นฐานของสรอ.ในเดือนเม.ย. ไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 18
พ.ค. 48 รัฐบาลสรอ. เปิดเผยว่า การสูงขึ้นของต้นทุนอาหารและพลังงานส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.5 อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงานดังกล่าวอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน
เม.ย. กลับไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 46 ส่งผลให้คลายความวิตกว่าเงิน
เฟ้อจะขยายตัว โดยราคาพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์สรอ.อ่อนค่าลง และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องจาก
บรรดาผู้ค้าต่างเก็งกำไรว่าธ.กลางจะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อแม้
ว่าจะมีความเห็นว่าธ.กลางสรอ.จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมภาวะ
เงินเฟ้อก็ตาม (รอยเตอร์)
3. ทั้งรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุดและรายได้ค่าจ้างที่ชะลอตัวลงชี้
ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีไปจนถึงสิ้นฤดูร้อนนี้ รายงานจากลอนดอน เมื่อ
18 พ.ค.48 ในรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธ.กลางอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนนี้ซึ่ง
เพิ่งออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 พ.ค.48 นี้ชี้ว่ามีเพียงกรรมการ 1 คนจากจำนวนทั้งสิ้น 9 คนที่ลงมติให้ขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ย ลดลงจากจำนวน 2 คนเมื่อเดือน เม.ย.48 ในขณะที่กรรมการอีก 8 คนลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่
ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากยอมรับว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีส่วนทำให้การบริโภคใน
ประเทศลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงจากรายงานว่ารายได้ค่าจ้างที่ไม่รวม
เงินโบนัสในไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลงโดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.1 ต่อปี ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.47 หลัง
จากเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ต่อปีในไตรมาสก่อนและต่ำกว่าร้อยละ 4.5 ต่อปีซึ่งเป็นระดับที่ ธ.กลางอังกฤษระบุว่าสอด
คล้องกับระดับเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ นักวิเคราะห์จึงคาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ
4.75 ต่อปีไปจนตลอดฤดูร้อนนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายร้อยละ 5.5 ในไตรมาสแรกปีนี้ต่ำสุดใน
รอบกว่า 1 ปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 18 พ.ค.48 ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์
คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียซึ่งพึ่งพาการส่งออกเกินกว่าร้อยละ 50 ของ GDP จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
โลกชะลอตัวลงและการตัดลดรายจ่ายเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพียงร้อยละ
5.5 ในไตรมาสแรกปีนี้ ต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 5.2 ในไตรมาสที่ 3 ปี 46 หลังจากขยาย
ตัวถึงร้อยละ 7.1 ในปี 47 สูงสุดในรอบ 4 ปี เมื่อการส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 20.5 จากความต้องการเพิ่มขึ้น
ของชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ผลิตภัณฑ์จากยางพาราและน้ำมันปาล์มในตลาดสำคัญคือจีนและ สรอ. โดยอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกทั้งหมด ของมาเลเซีย ในขณะที่เคมีภัณฑ์ น้ำมันดิบและน้ำมัน
ปาล์มรวมกันมีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 5 รัฐบาลพยายามกระตุ้นให้การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และชดเชยกับการตัดลดรายจ่ายภาครัฐเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณลง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังคาดว่า ธ.กลาง
มาเลเซียจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปีซึ่งใช้มาตั้งแต่เดือน เม.ย.47
ต่อไป แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน เม.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ต่อปี สูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีก็ตาม
จากราคาอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และบุหรี่ที่เพิ่มสูงขึ้น ธ.กลางมาเลเซียมีกำหนดจะแถลงนโยบายการเงิน
รายไตรมาสและตัวเลข GDP ของไตรมาสแรกปีนี้ในวันที่ 25 พ.ค.48 นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 พ.ค. 48 18 พ.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.975 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.7608/40.0449 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.34375 — 2.3500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 672.19/18.38 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 43.35 44.62 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.14*/18.19** 22.14*/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ก.คลังคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้นในเมกะโปรเจกต์ 1.7 ล้านล้านบาท นายศุภรัตน์ ควัฒ
น์กุล ปลัด ก.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการลงทุนภาครัฐ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำแผน
การลงทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของภาครัฐในช่วงปี 2548-2552 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะ
ใช้เงินลงทุน 1.702 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะมาจากเงิน งปม.ของรัฐบาล ร้อยละ 38.5 รายได้
ของรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.5 เงินกู้ ร้อยละ 36.9 และอื่น ๆ อีกร้อยละ 10.1 เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็น
หลักทรัพย์ ซึ่งจะไม่กระทบต่อกรอบความยั่งยืนทางการคลัง นอกจากนี้ เพื่อให้การลงทุนในเมกะโปรเจกต์ไม่
กระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ ก.คลังจึงได้ศึกษาร่วมกับ ธปท. ถึงผลกระทบที่จะเกิดกับดุลบัญชีเดินสะพัด โดยพบ
ว่า โครงการเมกะโปรเจกต์จะมีผลให้นำเข้าวัตถุดิบและสินค้าจากต่างประเทศ ร้อยละ 30 ของวงเงินลงทุน ซึ่ง
เป็นปริมาณที่น้อยมาก เนื่องจากเป็นการทยอยนำเข้าภายใน 5 ปี และหากมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า
ร้อยละ 2 ของจีดีพี จะชะลอหรือเลื่อนการลงทุนที่มีลำดับความสำคัญน้อยออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้ง
นี้ ก.คลังจะเสนอแผนลงทุนให้ ครม. รับทราบในกลางเดือน มิ.ย.นี้ โดย งปม.ปี 49 จะมีสัดส่วนของโครงการเมกะโปรเจกต์ 159,000 ล้านบาท จากงบลงทุน 300,000 ล้านบาท สำหรับโครงการขนส่งมวลชนระบบราง
ทั้งหมด 7 สาย จะใช้เงิน 563,117 ล้านบาท ตลอดช่วงก่อนสร้างโครงการ 8 ปี ตั้งแต่ปี 48 จนถึงปี 55 แบ่ง
เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 425,190 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะลงทุนเองทั้งหมด ที่เหลือ 137,927 ล้าน
บาท รัฐบาลและเอกชนจะลงทุนร่วมกัน โดยจำนวนเงินในส่วนที่รัฐบาลลงทุนเองจะมาจากเงิน งปม. ร้อยละ 30
และเงินกู้ ร้อยละ 70 แยกเป็นเงินกู้ต่างประเทศ ร้อยละ 30 และเงินกู้ในประเทศ ร้อยละ 40 (ไทยรัฐ,
โลกวันนี้, แนวหน้า)
2. ผู้ประกอบการยืนยันสามารถคุมปัญหาหนี้เสียบัตรเครดิตได้ คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.
ใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ นรม. ออกมาระบุให้ ก.คลัง และ ธปท. คุมเข้มบัตรเครดิต เพราะเห็นว่าแต่
ละคนถือหลายใบจนอาจเกิดปัญหาทางการเงินว่า ในส่วนของ ธ.ไทยพาณิชย์ได้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่าง
ละเอียดรอบคอบก่อนที่จะอนุมัติให้บัตรเครดิตแก่ลูกค้า นอกจากนี้ หลังจากอนุมัติบัตรเครดิตให้ลูกค้าแล้ว ยังมีการ
ตรวจสอบข้อมูลการชำระหนี้ของลูกค้าทุกเดือนว่าการชำระหนี้เป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันหนี้
เสียของบัตรเครดิต ธ.ไทยพาณิชย์มีเพียงร้อยละ 2 โดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน รวมทั้งผู้ให้บริการบัตรเครดิต
ทุกแห่งจะควบคุมความเสี่ยงด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียไม่ให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าทางการจะออก
มาตรการอะไรมาควบคุมเพิ่มเติมก็ไม่มีผลต่อการขยายฐานบัตรเครดิต เพราะผู้ให้บริการบัตรเครดิตแต่ละแห่งได้
ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ด้านนายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน
การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตไม่ได้ขยายตัวสูงมากจนเกิดความร้อนแรง เพราะ ก.คลัง และ ธปท. ได้ออกกฎ
มาดูแลควบคุมการออกบัตรและกำหนดวงเงินที่ให้ลูกค้าใช้จ่าย แต่ก็ยอมรับว่ามีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ถือบัตรจากกว่า
1 ใบ โดยเป็นบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ซึ่งข้อเท็จจริงในระบบมีบัตรเครดิต 4.5 ล้านใบ อีก 2 ล้านใบ เป็น
บัตรสินเชื่อและบัตรกดเงินสด (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
3. การขึ้นค่าเงินหยวนของจีนจะทำให้ดุลการค้าทั่วโลกมีความสมดุลมากขึ้น นายวิจิตร สุพินิจ
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการขึ้นค่าเงินหยวนของจีนจะทำให้ดุลการ
ค้าทั่วโลกมีความสมดุลมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจำนวนมาก ขณะที่ประเทศอื่นขาดดุล
แต่ถ้าค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้สินค้าของจีนมีราคาสูงขึ้น ประเทศอื่นก็จะสามารถแข่งขันกับจีนได้ ซึ่งไทยก็
จะได้รับประโยชน์เช่นกัน เพราะทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงและสินค้าที่ส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น ด้านนายกิตติ
รัตน์ ณ ระนอง กก.ผจก.ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การขึ้นค่าเงินหยวนของจีนไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โลกมากนัก เนื่องจากราคาสินค้าของจีนอยู่ในระดับต่ำมากและมีเพดานที่เพิ่มขึ้นได้อีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้เงิน
หยวนจะแข็งค่าขึ้นและส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่เป็นระดับราคาที่ค้าขายได้ จึงไม่ต้องห่วงการเกิดผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจโลก สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ด้านของคู่ค้าและคู่แข่ง ซึ่งขณะนี้ไทยเป็นคู่
แข่งกับจีนมากกว่าการเป็นคู่ค้า หากจีนปรับขึ้นค่าเงินหยวนจริงจะเป็นประโยชน์ต่อสินค้าส่งออกของไทยมากกว่า
ขณะที่ผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้ากับจีนคงต้องติดตามสถานการณ์และปรับตัวตาม อนึ่ง เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา จีน
ได้ปฏิรูปการปริวรรตเงินตราจากเดิมที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินตราเพียง 4 สกุล คือ ดอลลาร์ สรอ. ดอลลาร์
ฮ่องกง ยูโร และเยน เพิ่มเป็น 12 สกุล ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อม
ในการลอยตัวค่าเงินหยวน (โลกวันนี้)
4. ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนสุดในรอบ 6 เดือน นายนริศ ชัยสูตร ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง กล่าว
ถึงความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วงนี้ว่า ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวในปัจจุบันการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง
ของค่าเงินถือเป็นเรื่องปกติและเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม ธปท. และ ก.คลังจะต้องช่วยกันติดตามและ
ออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนมากจนเกินไปจนเกิดปัญหาเสถียรภาพทาง
เศรษฐกิจ ด้านนายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผอฝ.ธ.กสิกรไทย กล่าวว่า เป็นผลจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจีนจะ
ปรับลดค่าเงินหยวนลง แต่เมื่อทางการจีนไม่มีการปรับลด ทำให้นักลงทุนเทขายเงินในภูมิภาคออกมา ซึ่งรวมทั้งเงิน
บาทและเงินเยน โดยเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินบาทถือว่าไม่
เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น แต่ก็ไม่น่ามีผลกระทบมาก เพราะค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคก็ปรับอ่อนค่าลงเช่นกัน (ผู้
จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. OECD จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซน รายงานจาก Helsinki
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 48 หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ธ.เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา (OECD)
เปิดเผยว่า ในการทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจในวันที่ 24 พ.ค. นั้นจะมีการปรับลดประมาณการการขยาย
ตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนพ.ย. 47 ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะเติบโตร้อย
ละ 1.9 เนื่องจากประมาณการณ์ดังกล่าวสูงกว่าที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจที่สำคัญอาทิ ธ.กลางยุโรป IMF
กรรมาธิการเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งต่างก็ได้ประมาณการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ
1.6 เท่านั้น ทั้งนี้นาย Cotis หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก OECD ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนฟินแลนด์เพื่อนำเสนอน
โยบายปฎิรูปเศรษฐกิจใหม่กล่าวว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและสรอ. ยังคงเป็นความท้าทายในระยะ
ยาวที่ต้องเผชิญโดยเฉพาะปัญหาประชากรสูงอายุและความเข้มงวดในนโยบายของรัฐบาล แต่หากสามารถบริหาร
จัดการได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี (รอยเตอร์)
2. เงินเฟ้อพื้นฐานของสรอ.ในเดือนเม.ย. ไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 18
พ.ค. 48 รัฐบาลสรอ. เปิดเผยว่า การสูงขึ้นของต้นทุนอาหารและพลังงานส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.5 อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงานดังกล่าวอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน
เม.ย. กลับไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 46 ส่งผลให้คลายความวิตกว่าเงิน
เฟ้อจะขยายตัว โดยราคาพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์สรอ.อ่อนค่าลง และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องจาก
บรรดาผู้ค้าต่างเก็งกำไรว่าธ.กลางจะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อแม้
ว่าจะมีความเห็นว่าธ.กลางสรอ.จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมภาวะ
เงินเฟ้อก็ตาม (รอยเตอร์)
3. ทั้งรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุดและรายได้ค่าจ้างที่ชะลอตัวลงชี้
ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีไปจนถึงสิ้นฤดูร้อนนี้ รายงานจากลอนดอน เมื่อ
18 พ.ค.48 ในรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธ.กลางอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนนี้ซึ่ง
เพิ่งออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 พ.ค.48 นี้ชี้ว่ามีเพียงกรรมการ 1 คนจากจำนวนทั้งสิ้น 9 คนที่ลงมติให้ขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ย ลดลงจากจำนวน 2 คนเมื่อเดือน เม.ย.48 ในขณะที่กรรมการอีก 8 คนลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่
ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากยอมรับว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีส่วนทำให้การบริโภคใน
ประเทศลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงจากรายงานว่ารายได้ค่าจ้างที่ไม่รวม
เงินโบนัสในไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลงโดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.1 ต่อปี ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.47 หลัง
จากเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ต่อปีในไตรมาสก่อนและต่ำกว่าร้อยละ 4.5 ต่อปีซึ่งเป็นระดับที่ ธ.กลางอังกฤษระบุว่าสอด
คล้องกับระดับเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ นักวิเคราะห์จึงคาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ
4.75 ต่อปีไปจนตลอดฤดูร้อนนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายร้อยละ 5.5 ในไตรมาสแรกปีนี้ต่ำสุดใน
รอบกว่า 1 ปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 18 พ.ค.48 ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์
คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียซึ่งพึ่งพาการส่งออกเกินกว่าร้อยละ 50 ของ GDP จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
โลกชะลอตัวลงและการตัดลดรายจ่ายเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพียงร้อยละ
5.5 ในไตรมาสแรกปีนี้ ต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 5.2 ในไตรมาสที่ 3 ปี 46 หลังจากขยาย
ตัวถึงร้อยละ 7.1 ในปี 47 สูงสุดในรอบ 4 ปี เมื่อการส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 20.5 จากความต้องการเพิ่มขึ้น
ของชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ผลิตภัณฑ์จากยางพาราและน้ำมันปาล์มในตลาดสำคัญคือจีนและ สรอ. โดยอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกทั้งหมด ของมาเลเซีย ในขณะที่เคมีภัณฑ์ น้ำมันดิบและน้ำมัน
ปาล์มรวมกันมีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 5 รัฐบาลพยายามกระตุ้นให้การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และชดเชยกับการตัดลดรายจ่ายภาครัฐเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณลง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังคาดว่า ธ.กลาง
มาเลเซียจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปีซึ่งใช้มาตั้งแต่เดือน เม.ย.47
ต่อไป แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน เม.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ต่อปี สูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีก็ตาม
จากราคาอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และบุหรี่ที่เพิ่มสูงขึ้น ธ.กลางมาเลเซียมีกำหนดจะแถลงนโยบายการเงิน
รายไตรมาสและตัวเลข GDP ของไตรมาสแรกปีนี้ในวันที่ 25 พ.ค.48 นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 พ.ค. 48 18 พ.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.975 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.7608/40.0449 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.34375 — 2.3500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 672.19/18.38 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 43.35 44.62 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.14*/18.19** 22.14*/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--