เศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน)พ.ศ.2548

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 9, 2005 14:54 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

เศรษฐกิจไทย
จากการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 4.4 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.3 และไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.4 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขยายตัวสูงขึ้น มาจากภาคนอกเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 เป็นผลมาจากสาขาอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมโลหะ และอุตสาหกรรมทุนสินค้าเทคโนโลยี
ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 สาขาอุตสาหกรรมมีการขยายตัวร้อยละ 6.4 เทียบกับร้อยละ 3.6 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 และร้อยละ 7.3 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 มีการขยายตัวในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมวัตถุดิบ และอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกขยายตัวได้ดี อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงประกอบด้วยอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้า อโลหะ โลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.8 - 4.3 และคาดว่าในครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มอาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา และสินค้ากลุ่มอื่นๆประเภทของใช้ในบ้าน สบู่และเครื่องสำอาง การบริหารการนำเข้าอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้การนำเข้าชะลอตัว และการท่องเที่ยวฟื้นตัวมากขึ้นและทำให้ดุลบริการมีการเกินดุลต่อเนื่อง
สำหรับตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยจะเห็นว่าตัวเลขอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และเมื่อพิจารณาตัวเลขการส่งออก มูลค่าการส่งออกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีสินค้าที่ติดอันดับต้น ๆ ได้แก่ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า
ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยเพิ่มขึ้นทั้งยอดการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และยอดการนำเข้าสินค้าทุน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโคบริโภค พบว่า เครื่องชี้วัดที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปี 2547 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในช่วงไตรมาสสุดท้ายยังคงมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว และประเทศทางแทบยุโรปและอเมริกามีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น สถานการณ์ความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาภัยแล้ง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม
จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 145.29 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (140.04) ร้อยละ 5.25 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 (135.06) ร้อยละ 10.23
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.91 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ดัชนีการส่งสินค้า
ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการขนส่งสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 140.30 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (137.41) ร้อยละ 2.89 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 (132.71) ร้อยละ 7.59
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมทั้งการทอสิ่งทอ และอุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 5.65 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาด ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 151.23 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (162.61) ร้อยละ 11.38 แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 (150.73) ร้อยละ 0.5
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 13.91 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต
อัตราการใช้กำลังการผลิตเป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.65 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (65.31) ร้อยละ 2.34 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 (62.81) ร้อยละ 4.84
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มข้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ และอุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งการผลิตน้ำแร่บรรจุขวด เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 3.52 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจและผู้บริโภค
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ทั้ง 3 ดัชนี มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2547 สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ได้แก่ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศยังปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ทำให้ผู้บริโภคมีความวิตกเกี่ยวกับราคาสินค้าและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 14 วัน (R/P) อีกร้อยละ 0.5 จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี และผู้บริโภคยังมีความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ ปัญหาภัยแล้งและผลกระทบของสึนามิยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีค่า 79.4, 78.9 และ 79.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีค่า 78.6, 78.3 และ 79.0 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าต่ำกว่าระดับ 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมของไทย โดยเห็นว่าโอกาสในการหางานทำยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีค่า 96.0, 96.5 และ 97.5 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าต่ำกว่าร้อยละ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตของตนเอง อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเริ่มปรับตัวดีขึ้น และมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียง 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังมีความมั่นใจในรายได้ของตนในระดับหนึ่ง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2547 เนื่องจากความวิตกกังวลของผู้บริโภคในปัจจัยลบต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยใน ไตรมาสที่ 3 ในปี 2548 ดัชนีโดยรวมยังคงมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังไม่ดี ผู้ประกอบการยังคงมองว่าภาวะการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้น สำหรับดัชนีที่มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 คือ ผลประกอบการของบริษัท อำนาจซื้อของประชาชน การลงทุนของบริษัท การจ้างงาน ต้นทุนการประกอบการ และการผลิตของบริษัท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2547
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยในเดือนกันยายน ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 90.8 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เนื่องจากดัชนีมีค่าต่ำกว่า 100 และเมื่อพิจารณาปัจจัยที่นำมาคำนวณค่าดัชนีความเชื่อมั่น ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นยอดคำสั่งซื้อโดยรวมในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นยอดขายโดยรวมในปัจจุบัน และดัชนีความเชื่อมั่นปริมาณการผลิตในอนาคต ล้วนมีค่าเกิน 100 มีเพียงดัชนีความเชื่อมั่นต้นทุนประกอบการในปัจจุบัน และดัชนีความเชื่อมั่นผลประกอบการในปัจจุบัน ที่มีค่าต่ำกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อปัจจัยต่างๆที่นำมาคำนวณดัชนีในระดับที่ดีขึ้น โดยทั้งนี้เป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการได้รับรู้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการ และได้มีการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินกิจการให้เกิด ประสิทธิภาพมากขึ้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2547
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ในอีก 3 — 4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2548 อยู่ที่ระดับ 124.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2548 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 123.9 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ มูลค่าทุนจดทะเบียนธุรกิจรายใหม่ ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ จำนวนนักท่องเที่ยว มูลค่าส่งออกสินค้า ณ ราคาคงที่ ส่วนเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ปริมาณเงิน M2a ณ ราคาคงที่ และ ราคาน้ำมันดิบ
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีค่าเฉลี่ย 124.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 124.0
ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกันยายน 2548 อยู่ที่ระดับ 126.5 ลดลงเพียงเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคม 2548 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 126.6 ตามการลดลงของเครื่องชี้ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และมูลค่าการนำเข้าสินค้า ณ ราคาคงที่ แม้ปริมาณจำหน่ายรถยนต์รวม และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวจากเดือนก่อนหน้าก็ตาม
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีค่าเฉลี่ย 126.2 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 127.5
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on private consumption) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 (ตารางที่ 5)
ทั้งนี้ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องชี้สำคัญทุกตัวอาทิ เช่น การใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ยอดจำหน่ายน้ำมันเบนซิน และ การบริโภคในกลุ่มยานพาหนะ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2547 ตามการเพิ่มขึ้นของ การใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน ภาษีมูลค่าเพิ่ม และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค
การลงทุนภาคเอกชน
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 พิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยอดการขายซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และ ยอดการนำเข้าสินค้าทุน พบว่า ดัชนีการลงทุนในภาคเอกชนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
หากแยกตามรายการสินค้าพบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ยอดการนำเข้าสินค้าทุนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เช่นเดียวกัน
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 จากการเพิ่มขึ้นของทั้ง 3 ปัจจัยหลัก
ภาวะราคาสินค้า
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามราคาผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ส่วนราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มก็เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาค่าขนส่ง
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547
แรงงานในภาคอุตสาหกรรม
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2548 (ตัวเลขเดือนกันยายน) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 36.27 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 35.73 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.51 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.47 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 1.30)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีจำนวน 5.67 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.63 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีจำนวน ผู้ประกันตนทั้งสิ้น 8,186,362 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างในช่วงเดือนมกราคม — 25 กรกฎาคม 2548 (ข้อมูลล่าสุดระมวลผล ณ ปัจจุบัน มีจำนวน 101,448 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 47,229 คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร มีจำนวน 9,483 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางและผลิตภัณฑ์พลาสติก 6,943 คน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย จำนวน 5,779 คน และ อุตสาหกรรมการฟอกและตกแต่งหนังสัตว์ จำนวน 3,929 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 10,169 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการ มากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ 452 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมอาหาร 360 แห่ง อุตสาหกรรมการผลิตโลหะประดิษฐ์ จำนวน 193 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2548 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 59,639 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 30,192.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 29,446.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.38 และการนำเข้า ลดลงร้อยละ 7.46 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.08 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.45 ส่งผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดุลการค้าเกินดุล 745.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออก เกินกว่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนก.ย. 2548 มีมูลค่าการส่งออกถึง 10,491.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
# โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 64,099.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 78.15) สินค้าเกษตรกรรม 7,677.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.36) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 5,298.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.46) สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 3,729.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.55) และสินค้าอื่นๆ 1,243.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.48)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกหมวดมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.92 อุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.96 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.15 และสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.35
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 8,502.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 5,614.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 3,913.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 3,074.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 2,619.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2,444.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2,360.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 2,304.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหล็กและเหล็กกล้า 2,186.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเครื่องปรับอากาศ 1,803.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 34,824.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 42.46 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
# ตลาดส่งออก
ในไตรมาส 3 ปี 2548 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพ
ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 72.38 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.96 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 14.81 ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.99 และตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.90
# โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าวัตถุดิบมีมูลค่าสูงสุด 38,297.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 42.82) รองลงมาเป็นนำเข้าสินค้าทุน 25,123.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 28.09) น้ำมันเชื้อเพลิง 16,068.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.97) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,809.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.50) สินค้าหมวดยานพาหนะ 3,063.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.43) และสินค้าอื่นๆ 1,066.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.19)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.12 สินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.37 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.68 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.16 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.03 สินค้าหมวดอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.48
# แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 65.41 และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2547 พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.68 สหภาพยุโรป ร้อยละ 16.62 ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.98 , สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.07 และจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.33
ฎ แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2548 ในช่วง 9 เดือนแรก นั้น ในเดือนกันยายน ดุลการค้าของไทยเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ของปี 2548 จำนวน 820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้การขาดดุลรวม 9 เดือน ของปี 2548 (มกราคม — กันยายน) ขาดดุลลดลงเหลือ 7,408 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะสามารถส่งออกได้มูลค่า 33,816 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 30.6 เนื่องจากสินค้าในกลุ่มอาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง จะสามารถส่งออกได้สูงกว่าเป้าหมาย และจะทำให้การส่งออกทั้งปี 2548 บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ร้อยละ 20.0 คิดเป็นมูลค่า 115,837 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 16,976 ล้านบาท โดยในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 17,687 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม -711 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 สาขาการลงทุนและบริษัทโฮลดิ้งเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุด คือ 6,976 ล้านบาท สำหรับสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท โดยในสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิในหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมากที่สุด เป็นเงินลงทุนสุทธิ 3,920 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดเครื่องจักร 1,571 ล้านบาท และหมวดอื่น ๆ 1,358.42 ล้านบาท
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ