คำกล่าวของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 5 “Money Expo 2005 : Brighter Future”

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 24, 2005 14:59 —กระทรวงการคลัง

                                  คำกล่าวของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 5
“Money Expo 2005 : Brighter Future”
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
19 พฤษภาคม 2548
ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) ท่านประธานผู้จัดงาน (นายสันติ วิริยะรังสฤษฏ์) ท่านปลัดกระทรวงการคลัง ท่านเลขาธิการ กลต. ท่านประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้บริหารธนาคาร และแขกผู้มีเกียรติที่รักทุกท่าน
ปีนี้ได้ข่าวว่าเป็นครั้งที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องแทบทุกวงการ ผมคาดว่าปริมาณผู้ที่เข้าชมในปีนี้ ดีไม่ดีอาจจะทะลุเป้าปีที่แล้ว ขึ้นถึงหลักใกล้ล้านอย่างแน่นอน Theme ของปีนี้ ผมอยากให้เป็นตัวอย่างของภาคเอกชนและภาครัฐบาล เพราะว่าทางคุณสันติ Set theme เอาไว้ว่า “สู่อนาคตที่สดใส” มันสะท้อนถึงทัศนคติ ความเชื่อ และแนวทางการมอง การแก้ไขปัญหา การพัฒนาในเชิงบวก ไม่ใช่มัวแต่หวั่นเกรง ท้อถอย เกรงกลัวในอุปสรรค ด้วยใจจริงอยากให้มีทัศนคติเช่นนี้อยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคน เพราะอนาคตประเทศไทยในวันนี้และในวันข้างหน้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ประการ อนาคตประเทศไทยขณะนี้เหมือนอยู่บนทาง 2 แพร่ง อาจจะไปได้ดีมากๆ เลยก็ได้ อาจจะไม่สดใสเลยก็ได้ เป็นได้ทั้ง 2 ทาง แต่จะว่าไปทางไหนนั้นมันขึ้นกับปัจจัยหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในความรู้สึกของผม ไม่ใช่ปัจจัยเชิงเศรษฐกิจ แต่หัวใจที่สำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจของประชาชนทั้งประเทศ อยู่ที่ความหนักแน่น วิถีแนวคิด ความมุ่งมั่น ความกล้าในการที่จะต่อสู้กับอุปสรรค ถ้าวันนี้เรามีสิ่งนั้นอยู่เพียบพร้อม ผมเชื่อมั่นว่าอนาคตประเทศไทยจะสดใส
แต่ถ้าหากว่าประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีส่วนในการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นผู้ที่ไม่สามารถจะมองการณ์ให้ไกล มองเฉพาะปัญหาวันต่อวัน ถ้าจิตใจของคนส่วนใหญ่ของประเทศถูกครอบงำด้วยความรู้สึกที่มีแต่ความหวั่นวิตก กังวล มองช่วงสั้น ตั้งรับกับปัญหาโดยที่ไม่คิดในการที่จะรุกสู่การแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ วันๆ เฝ้าดูแต่เหตุการณ์วันต่อวัน แต่ไม่ทำอะไรเลย และก็บอกว่าเมื่อไรอนาคตประเทศไทยจะสดใส กังวลวันต่อวันจนกระทั่งละเลยสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการปฏิรูป ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อผ่าตัดประเทศไทยยกเครื่องให้สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงแห่งโลกข้างหน้าได้ ถ้าทัศนคติตั้งรับและมองปัญหาสั้น มีแต่ความหวั่นวิตก ไม่มีความสามัคคี ขาดพลังในการปฏิรูป ผมก็เป็นห่วงอนาคตลูกหลานประเทศไทย แต่ถ้าเรากล้าที่จะเผชิญกับอุปสรรค มองว่าอุปสรรคเป็นเรื่องปกติ หาวิธีการแก้ไขปัญหาในเชิงรุกอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ ตั้งจิตมุ่งมั่นในการทำงานปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก อนาคตประเทศไทยผมมั่นใจว่าจะสดใส เพราะพื้นฐานในขณะนี้ไม่มีอุปสรรคช่วงสั้นใดๆ จะมาทำอันตรายประเทศไทยได้เลย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานทุกหน่วยงานติดตามอย่างรอบคอบ ดูแลเป็นอย่างดี รับรองว่าไม่มีสิ่งใดจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหาในระยะสั้นได้อย่างเด็ดขาด
ลองนึกภาพดูว่าในขณะนี้ ผมพูดหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเงินสำรองเราเกือบ 50 billions มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ เรารู้ว่าเรากำลังขาดดุลการค้าเดือนต่อเดือนเพราะน้ำมันมันแพง แต่เราก็กำลังต่อสู้ในเชิงรุก ในเมื่อต้องเสียเงินตราเพิ่มขึ้นเราก็พยายามหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งส่งออก ทั้งท่องเที่ยว จากตรงนี้เดี๋ยวผมจะนั่งเครื่องบินไป 2 มณฑลในเมืองจีน อย่างน้อยๆ ก็ตั้งใจให้ได้ว่าจะกวาดนักท่องเที่ยวมาให้ได้อย่างน้อย 500,000 คนให้ได้
ในการลงทุน ในขณะที่ฟิลิปปินส์รายงานไตรมาสแรก การลงทุนจากต่างประเทศหดตัวลง 50% แต่ไตรมาสแรกประเทศไทยเติบโตเกินกว่าไตรมาส 1 ของปีที่แล้วเกือบ 100%
มามองเรื่องที่ประชาชนห่วงใย เรื่อง Mega project จริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่ต้องห่วงใยเลย จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลยก็ได้ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งซึ่งรัฐบาลต้องทำ แต่การมี Mega project มันดีตรงที่ว่าเราจะสามารถจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่ไปสู่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้กับประเทศไทย
เรื่องน้ำ ผมไปบุรีรัมย์มา ประเทศไทยถ้ามีน้ำเพียงพอ ประชาชนจะหายจากความยากจนค่อนข้างแน่นอน บุรีรัมย์ปีหนึ่งทำนาแค่ 4 เดือน หลังจากนั้นคนว่างงานตลอด แล้วอย่างนี้จะให้ร่ำรวยได้อย่างไร เรื่องน้ำ เรื่อง Mass transit เรื่องสถานพยาบาล โรงพยาบาลทั้งจังหวัดที่เป็นหลักอยู่ได้มีแค่แห่งเดียว คือในตัวเมือง คนจนเต็มทั้งโรงพยาบาล เรื่องการศึกษา เป็นต้น
แต่ที่เป็นข่าวฮือฮาเพราะว่าต่างประเทศนั้นสนใจ Mass transit เมื่อวานนี้ท่านปลัดกระทรวงการคลัง ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีผม (นายอุตตม สาวนายน) และที่ปรึกษาผม (นายชัยวัฒน์ วิบูลสวัสดิ์) ก็ได้ออกมาแถลงตัวเลขอย่างเป็นทางการ (อ่านรายละเอียดในข่าวกระทรวงการคลังฉบับที่ 38/2548) แสดงให้เห็นชัดเจนว่าถึงแม้จะเริ่มต้น 700,000 พร้อมๆ กัน ความเสี่ยงภัยต่อกรอบการเงินของประเทศไม่มีเลย เพราะเราดูทั้งตัวเลขเงินกู้ เราดูการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุกอย่างไม่มีปัญหา หนี้สินต่อ GDP ภาระหนี้ต่องบประมาณมีแต่จะต่ำลงไม่มีสูงขึ้น และที่หวั่นเกรงว่าอาจจะทำให้เกิดภาวะเงินขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ดูแลอย่างใกล้ชิด การขาดดุลไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ถ้ามันสามารถก่อให้เกิดการเติบโตในอนาคตข้างหน้า
ศาสตราจารย์ Krugman พูดเมื่อวานนี้ว่าเราต้องพยายามยืนอยู่กับระบบเศรษฐกิจในประเทศ ท่านนายกรัฐมนตรี พรรคไทยรักไทยพูดอย่างนี้มา 4 ปีแล้ว และทำมาตลอด 4 ปีในการสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ถ้าผมไม่ได้เป็นฝรั่ง คนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ต้องรอให้ Krugman มาพูดถึงจะเชื่อ สิ่งนี้เป็นสิ่งซึ่งนึกแล้วก็ขำว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ด้อยกว่าฝรั่งเลย แต่ไฉนต้องให้ฝรั่งมาบอกเราถึงจะเชื่อ
เรามุ่งมั่นสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศมา 4 ปีเต็ม และจะทำอีกต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้า ที่ห่วงว่าถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์ในอเมริกา ในจีนจะมีผลทำให้เกิดการไหลออกของเงินตรา ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่เหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เงินสำรองเราสูงเพียงพอ ที่สำคัญที่สุด ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามอย่างใกล้ชิดในเรื่องของกระแสเงิน ในเรื่องของ Off shore bath ที่อยู่ในต่างประเทศก็นั่นแหละคือตัวสำคัญ ฉะนั้นในเรื่องของการเก็งกำไรเราติดตามอย่างใกล้ชิด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้าบอกว่าดอกเบี้ยเมืองไทยต่ำเงินทุนจะไหลออกนอกไปฝากอยู่ข้างนอก เงินร้อนผมไม่ต้องการ สิ่งที่จะเข้ามาในประเทศต้องเป็นเงินลงทุนใน FDI (Foreign Direct Investment) ในการลงทุนของประเทศอย่างถาวร ถึงแม้ว่าจะมีการไหลเข้าไหลออก อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติของกลไกตลาด ถ้าดอกเบี้ยต่ำ สมมุติเงินไหลออก สภาพคล่องหด มันก็ดอกเบี้ยขึ้นมา ตามหน้าที่ของมันอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ต้องวิตก กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ ติดตามอย่างใกล้ชิด
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมจึงต้องการจะเรียนให้ทราบ วันนี้คุณสันติจัดงาน Money Expo ครั้งยิ่งใหญ่ สะท้อนให้เห็นศักยภาพตลาดเงินตลาดทุนของประเทศไทย 7 ปีที่แล้วกลไกตลาดเงินเดี้ยงอยู่กับที่ ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ 5% แต่เป็นการเล่นที่ส่วนต่างของเงิน แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้ จนภาครัฐต้องหันมาสนับสนุนตลาดทุนเพื่อให้เงินออมเหล่านั้น Move มาสู่ตลาดทุน
วันนี้ตลาดทุนไทยเทียบกับ 7 ปีที่แล้ว เทียบกันไม่ได้เลย ผลประกอบการประกาศเมื่อวานนี้ ไตรมาส 1 กำไรสูงถึงกว่า 27% นี่ขนาดว่าเรามาเจอพายุโหมกระหน่ำ 5-6 ลูก เทียบกับประเทศอื่นแล้ว คนละเรื่อง ตลาดเงินวันนี้อยู่ภายใต้แผนการปฏิรูปตาม Master Plan เรากำลังจะให้ตลาดตราสารหนี้เกิดขึ้นเป็นเสาหลักเสาที่ 3 ภายในปีนี้
เมื่อวานนี้ ADB (Asian Development Bank) ประกาศ การออก Local bonds, Local currency เป็นการ Support ว่าอนาคตข้างหน้าตรงนี้จะเป็นหลักในการลงทุนส่วนหนึ่งแห่งภูมิภาค หลายสิ่งหลายอย่างกำลังก้าวไปในทิศทางที่ดี Fitch Ratings ปรับ Rating ประเทศไทย ในขณะที่คนไทยกันเองหวั่นวิตกประเทศไทย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าจิตใจท้อถอย จิตใจห่อเหี่ยวมองโลกในแง่ลบ มองปัญหาวันต่อวัน ดูตัวเลข GDP วันต่อวัน โดยที่ไม่มองระยะไกล ไม่มองว่าเราต้องปฏิรูปอะไรอย่างจริงจัง ประเทศไทยอนาคตก็มีแต่นั่งนับตัวเลขวันต่อวันที่ลดลง เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ปัญหาวันต่อวัน ปัญหาคือโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจที่ค่อนข้างล้าหลัง โครงสร้างราชการที่ค่อนข้างล้าหลัง และภาคเอกชนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ตื่นตัวกับการพัฒนาตัวเองเพื่อเตรียมตัวรองรับการค้าเสรี FTA เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่ตื่นตัวขึ้นมา ให้รัฐบาลไปอุ้มอย่างเดียวนั้นรัฐบาลอุ้มไม่ได้ เพราะกระแสโลกมันนำไปสู่การค้าเสรี สิ่งเหล่านี้ ทัศนคติจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่น้ำมัน ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก วันนี้เราเร่งส่งออก เร่งท่องเที่ยว ไม่ใช่เพราะว่าเราเห็นตลาดในประเทศไม่สำคัญ ไม่ใช่ เราต้องการรายได้มาจุนเจือในระยะสั้น แต่ที่สำคัญคือว่าทำตัวเองให้เข้มแข็ง ยืนบนขาตัวเองให้เข้มแข็ง ทัศนคติอย่างนี้เป็นสิ่งจำเป็น
Money Expo จัดงานในวันนี้น่าชื่นชม ผมชมเชยด้วยจริงใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะรู้จักกันแล้วมาชมเชยกัน ท่านกล้าจัดงานยิ่งใหญ่อย่างนี้สวนกระแสความหดหู่ที่เกิดขึ้นตลอดไตรมาสแรก พร้อมผู้เข้าร่วมงานเต็มจำนวน ถ้าภาคเอกชนของไทยสามารถทำเช่นนี้ได้ทุกแห่ง ผมไม่หวั่นเกรงเลยว่าอนาคตเมืองไทยจะเป็นอย่างไร เราไปได้แน่นอน
วันนี้ที่คุณสันติจัดงานนี้ขึ้นมา ผมขอขอบคุณต่อภาคเอกชนแทนภาครัฐบาล ที่มีความคิดริเริ่มที่ดี ต้นเดือนมิถุนายนภาคเอกชนอีกเหมือนกัน จะนำโดยคุณประเสริฐแห่ง ปตท. และคุณกิตติรัตน์ จะร่วมกันรณรงค์ประหยัดน้ำมันครั้งสำคัญ อย่าบอกนะครับว่าการรณรงค์ไม่สำคัญ ท่านแต่ละท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ถามตัวเองว่ากลับบ้านปิดไฟบ้างหรือเปล่า กลับบ้านปิดแอร์บ้างหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือไม่ ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ของประเทศก็คือยังไม่เลย สิ่งเหล่านี้เราต้องเริ่มอย่างจริงจัง และขอให้เริ่มพร้อมๆ กันในวันที่ 1 และผมบอกกิตติรัตน์แล้วว่าประมาณวันที่ 27 เราจะจัด “Thailand Focus” พยายามดึงให้ต่างชาติเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องหุ้น เรื่องหุ้นเป็นปลายเหตุ แต่ต้องเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรม ของเศรษฐกิจภายในประเทศของเรา ถ้าเราทำได้มันก็จะเป็นภาพที่ดีสำหรับประเทศไทย ฉะนั้นผมบอกไปแล้ว 27 มิถุนายน ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเราจะจัดที่ประเทศไทย เพราะถ้าไม่เห็นกับตาว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็เขียนแต่ตัวเลข นั่งเทียนเขียน
ผมมีเวลาพูดเพียงเท่านี้ เพราะเครื่องบินจะออก เดี๋ยวก็ไม่สามารถให้ข่าวได้ ก็ขอขอบคุณพี่สันติ และทุกคนที่มามีส่วนร่วม ที่ช่วยภาครัฐบาลในการสร้างสิ่งที่สร้างสรรค์ และก็ขออวยพรให้งานอันนี้จงประสบความสำเร็จ และก็มีความยั่งยืน จัดไปได้ทุกๆ ปี ขอขอบคุณมากครับ
กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุรีย์พร ชัยยะรุ่งสกุล : ถอดเทป/พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : Edit

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ