นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการประกาศใช้พระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันการออกมาแสดงความคิดเห็นนั้นเราได้อ่าน และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จึงได้แสดงความคิดเห็น ติติง เพราะถ้าพิจารณาเนื้อหาในพระราชกำหนดที่แท้จริงจะพบว่า 1. เนื้อหาในพระราชกำหนดให้อำนาจฝ่ายบริหารค่อนข้างมาก และถ้าฝ่ายบริหารใช้อำนาจนอกเหนือจากการแก้ไขปัญหา พระราชกำหนดนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
2. นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการใช้อำนาจตามพระราชกำหนดนี้ ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม และกลุ่มบุคคล องค์กร ว่าท่านจะใช้พระราชกำหนดด้วยความถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจทั้งตามกฎหมายและนอกเหนือกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก ทำให้สังคมเกิดความระแวงในการที่ท่านจะใช้อำนาจผ่านพระราชกำหนด
3. ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังยืดเยื้อ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ชัดเจนของรัฐบาลทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามนโยบายหลายครั้ง ถ้าผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ปฏิบัติงานนอกเหนือจากอำนาจในพระราชกำหนด หรือใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมย่อมส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหา
นายองอาจ ยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าทุกคนในประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ อยากเห็นความสงบเกิดขึ้น และความสงบจะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การนำเครื่องมือต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเมื่อรัฐบาลเลือกใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาลก็ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้พระราชกำหนดในครั้งนี้
และต้องยอมรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย และนำข้อมูลที่ฝ่ายต่างๆ ติติงหรือเสนอ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์เพราะพระราชกำหนดเกี่ยวข้องกับคนเป็นจำนวนมาก เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ ความมั่นคง ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังในการใช้พระราชกำหนด เพราะอาจทำให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจเกินขอบเขต เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นอีกต่อไป
นอกจากนี้นายองอาจยังแสดงความวิตกกังวลในเรื่องการซื้อตรงเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดของรัฐบาลในส่วนของเนื้อหาสาระในสัญญา การจ่ายเงิน จึงเรียกร้องไปยังรัฐบาลขอให้เปิดเผยสัญญาการซื้อตรง รวมทั้งการชำระเงิน เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบได้ว่ารัฐบาลดำเนินการซื้อตรงจริงหรือไม่ และการซื้อตรงจะต้องไม่แพงกว่าแพทริออตซื้อจากอินวิชั่น และจากการติดตามการทำงานของตำรวจและอัยการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พบว่า การดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนร่วมขึ้นมาดำเนินการสืบสวน สอบสวน ข้อเท็จจริงการให้สินบนซีทีเอ็กซ์ ครั้งนี้
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการกระทำของนายอลงกรณ์ขณะนี้ว่า เป็นความพยายามในการทำหน้าที่ของส.ส.ที่ดีคนหนึ่งในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต ซึ่งถือเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทยให้หมดไป หรือเบาบาง และเรื่องนี้ถ้าทางรัฐบาลจะดำเนินการตามนโยบายการปราบปรามสงครามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใดในการที่จะสืบสวน สอบสวน หาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และจะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่มัวหมองลงไปจากการไม่เอาจริงเอาจังในการทุจริตคอร์รปชั่นดีขึ้นกว่าเดิม
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส. กทม. กล่าวถึงกรณีการปรับค่าเงินหยวนว่า เป็นสิ่งที่คาดการณ์มานานแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น และทางสหรัฐก็มีแรงกดดันกับจีนให้มีการปรับค่าเงินหยวนให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงเสถียรภาพของจีนเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริง การปรับที่ผ่านมานั้นเป็นการปรับวิธีการคิดทำให้เงินหยวนในระยะสั้นปรับขึ้นมา 2% เทียบกับเงินสหรัฐ ซึ่งยังถือว่าน้อยเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่มองว่าเป็นราคาที่สมดุล ซึ่งคาดการณ์กันว่าน่าจะมีการปรับ 10% เพราะฉะนั้นการปรับ 2% จึงอาจจะถือว่าเป็นจุดเริ่มแรก
ณ วันนี้รัฐบาลจีนก็ประกาศแล้วว่า เงินหยวนจะไม่ผูกติดกับเงินดอลลาร์อีกต่อไป แต่จะผูกกับเงินในตระกร้า ทันทีที่จีนได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินในเอเชียปรับแข็งค่าขึ้น มีผลในแง่บวก คือ ลดภาระกดดันที่มีต่อแบงก์ชาติในการที่จะต้องพยายามปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทไม่ให้อ่อนตัวลง ซึ่งการปรับเงินบาทขึ้นมามีผลให้ราคาของนำเข้าต่ำกว่าที่เคยเป็นในอดีต ในส่วนของการส่งออกทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของเราไม่ลดน้อยลง แต่กลับดีขึ้น ในแง่ของการนำเข้าก็ดีขึ้น โดยรวมแล้วการปรับค่าเงินหยวนเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโดยรวม
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2548--จบ--
2. นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการใช้อำนาจตามพระราชกำหนดนี้ ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม และกลุ่มบุคคล องค์กร ว่าท่านจะใช้พระราชกำหนดด้วยความถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจทั้งตามกฎหมายและนอกเหนือกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก ทำให้สังคมเกิดความระแวงในการที่ท่านจะใช้อำนาจผ่านพระราชกำหนด
3. ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังยืดเยื้อ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ชัดเจนของรัฐบาลทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามนโยบายหลายครั้ง ถ้าผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ปฏิบัติงานนอกเหนือจากอำนาจในพระราชกำหนด หรือใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมย่อมส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหา
นายองอาจ ยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าทุกคนในประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ อยากเห็นความสงบเกิดขึ้น และความสงบจะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การนำเครื่องมือต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเมื่อรัฐบาลเลือกใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาลก็ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้พระราชกำหนดในครั้งนี้
และต้องยอมรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย และนำข้อมูลที่ฝ่ายต่างๆ ติติงหรือเสนอ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์เพราะพระราชกำหนดเกี่ยวข้องกับคนเป็นจำนวนมาก เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ ความมั่นคง ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังในการใช้พระราชกำหนด เพราะอาจทำให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจเกินขอบเขต เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นอีกต่อไป
นอกจากนี้นายองอาจยังแสดงความวิตกกังวลในเรื่องการซื้อตรงเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดของรัฐบาลในส่วนของเนื้อหาสาระในสัญญา การจ่ายเงิน จึงเรียกร้องไปยังรัฐบาลขอให้เปิดเผยสัญญาการซื้อตรง รวมทั้งการชำระเงิน เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบได้ว่ารัฐบาลดำเนินการซื้อตรงจริงหรือไม่ และการซื้อตรงจะต้องไม่แพงกว่าแพทริออตซื้อจากอินวิชั่น และจากการติดตามการทำงานของตำรวจและอัยการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พบว่า การดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนร่วมขึ้นมาดำเนินการสืบสวน สอบสวน ข้อเท็จจริงการให้สินบนซีทีเอ็กซ์ ครั้งนี้
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการกระทำของนายอลงกรณ์ขณะนี้ว่า เป็นความพยายามในการทำหน้าที่ของส.ส.ที่ดีคนหนึ่งในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต ซึ่งถือเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทยให้หมดไป หรือเบาบาง และเรื่องนี้ถ้าทางรัฐบาลจะดำเนินการตามนโยบายการปราบปรามสงครามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใดในการที่จะสืบสวน สอบสวน หาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และจะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่มัวหมองลงไปจากการไม่เอาจริงเอาจังในการทุจริตคอร์รปชั่นดีขึ้นกว่าเดิม
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส. กทม. กล่าวถึงกรณีการปรับค่าเงินหยวนว่า เป็นสิ่งที่คาดการณ์มานานแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น และทางสหรัฐก็มีแรงกดดันกับจีนให้มีการปรับค่าเงินหยวนให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงเสถียรภาพของจีนเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริง การปรับที่ผ่านมานั้นเป็นการปรับวิธีการคิดทำให้เงินหยวนในระยะสั้นปรับขึ้นมา 2% เทียบกับเงินสหรัฐ ซึ่งยังถือว่าน้อยเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่มองว่าเป็นราคาที่สมดุล ซึ่งคาดการณ์กันว่าน่าจะมีการปรับ 10% เพราะฉะนั้นการปรับ 2% จึงอาจจะถือว่าเป็นจุดเริ่มแรก
ณ วันนี้รัฐบาลจีนก็ประกาศแล้วว่า เงินหยวนจะไม่ผูกติดกับเงินดอลลาร์อีกต่อไป แต่จะผูกกับเงินในตระกร้า ทันทีที่จีนได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินในเอเชียปรับแข็งค่าขึ้น มีผลในแง่บวก คือ ลดภาระกดดันที่มีต่อแบงก์ชาติในการที่จะต้องพยายามปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทไม่ให้อ่อนตัวลง ซึ่งการปรับเงินบาทขึ้นมามีผลให้ราคาของนำเข้าต่ำกว่าที่เคยเป็นในอดีต ในส่วนของการส่งออกทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของเราไม่ลดน้อยลง แต่กลับดีขึ้น ในแง่ของการนำเข้าก็ดีขึ้น โดยรวมแล้วการปรับค่าเงินหยวนเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโดยรวม
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2548--จบ--