โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เผย ‘อภิสิทธิ์’ จะพบ ‘บรรหาร’ หัวหน้าพรรคชาติไทย เพื่อหารือถึงการเตรียมการอภิปรายฯครั้งสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ ยืนยัน ไม่อภิปราย ‘วิษณุ - สุวัจน์’ พร้อมระบุการแถลงของนายวิษณุเป็นประโยชน์ต่อการอภิปรายของฝ่ายค้านมาก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการสอบสวน โดยพยายามที่จะชี้ให้สังคมเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเรื่องการทุจริตการซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดระบบสายพาน สนามบินสุวรรณภูมิถือว่าเป็นภาพสีดำของประเทศไทย นับตั้งแต่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมออกมาระบุด้วยตัวเองว่า ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2547 และอ้างว่าได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาของตนเองตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีผลสอบออกมาต่อสาธารณะชนแต่อย่างใด จนกระทั่งได้มีการเผยแพร่ออกมาจากฝ่ายกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ จนสื่อมวลชนนำมาเสนอ ประชาชนจึงได้ทราบเรื่อง และปรากฎว่านายกฯก็รีบออกมาฟอกทันทีว่าไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะเคยตรวจสอบแล้ว จนถึงการนำเอาจดหมายจากบริษัทจีอีมาพูดในรายการนายกฯทักษิณคุยกับประชาชนอีก เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีการทุจริต แต่ประชาชนก็ยังมีภาพสีดำเกาะติดอยู่ในความรู้สึก
“ผมคิดว่ามาถึงวันนี้ผลการสำรวจของพี่น้องประชาชนก็ออกมาชัดเจนว่า ไม่มีใครเชื่อผลการสอบสวนนี้ ก็แสดงว่าภาพสีดำจากการทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดยังคงเกาะติดอยู่ในความรู้สึกของประชาชน และยังเป็นความจริงที่รัฐบาลยังไม่สามารถลบล้างลงไปได้ การดำเนินการทั้งหมดของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น คือ ความพยายามที่จะฟอกถ่านสีดำให้เป็นสีขาว รัฐบาลกำลังจะทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ รัฐบาลควรจะหยุดการกระทำในลักษณะนี้ และควรร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อค้นความจริงในเรื่องนี้ออกมา” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้พยายามพูดในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” โดยนำจดหมายจากสหรัฐมาอ้างว่าไม่ได้มีการจ่ายเงินหรือสัญญาว่าจ่ายเงินให้กับข้าราชการหรือนักการเมืองใดทั้งที่จดหมายฉบับนี้ระบุแค่เพียงว่ายังไม่พบหลักฐานการจ่ายเงินเท่านั้น เท่ากับนายกฯหลอกคนไทยทั้งประเทศ เพราะการบอกว่าไม่พบหลักฐาน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการจ่ายเงิน นอกเหนือจากนั้นการดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานที่นายวิษณุตั้งขึ้นไม่ได้ดำเนินการสอบสวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายคนที่ควรโดนสอบสวน คือ 1. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (บทม.) และเป็นคนสั่งการให้มีการตั้งงบประมาณ6,155ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนต่อปี เป็น45 ล้านคนต่อปี 2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมในฐานะที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง 3.นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกฯด้านนโยบายซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกฯให้ไปสอบสวนเบื้องต้นแต่ไม่เคยนำผลการสอบมาเปิดเผย 4.นายธีระวัตน์ ฉัตราภิมุขที่ปรึกษารมว.คมนาคมเพราะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในการประชุมและเป็นคนเสนอให้ซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์เพิ่ม 5.ดร.วรศักดิ์ กนกนุกูลชัย ที่ปรึกษารมว.คมนาคมในฐานะรองประธานคณะกรรมการเร่งรัดการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และ 6.พล.อ.สมชัย สมประสงค์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บทม.
“การแถลงของท่านรองวิษณุเป็นการแถลงที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าจ้อกันแบบลิงหลับ พวกผมนั่งฟังตั้งแต่ต้นจบจบ ปรากฎว่าการแถลงของท่านเป็นประโยชน์ต่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้เราได้พบความผิดปกติในเรื่องของการทุจริตมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่เราพบล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ทั้งสิ้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องว่า ขอความกรุณานายวิษณุและบุคคลที่เกี่ยวข้อง หวังว่าคงไม่ดึงเอกสารออกจากออกจากเอกสาร 800 หน้า ที่ฝ่ายค้านได้ขอข้อมูลไป แต่ไม่ได้รับ เนื่องจากอ้างว่าต้องยกเลิกชั้นความลับก่อน และหวังว่าคงไม่มีการแก้ไขข้อความหรือเปลี่ยนเอกสารก่อนที่จะมีการยกเลิกชั้นความลับกันในวันอังคารที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากคณะรัฐมนตรียกเลิกชั้นความลับเรียบร้อยแล้ว เราก็จะไปขอรับเอกสารอีกครั้ง เพื่อมาตรวจสอบดูว่าตรงกับที่ได้แถลงไปหรือไม่
ส่วนที่นายกฯระบุจะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินนั้น นายกฯไม่ได้จริงใจเพียงแต่ต้องการทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ เพราะเลขาฯปปง.ระบุแล้วว่าไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เนื่องจากไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเรื่องนี้เข้ามูลฐานความผิดตามกฎหมายปปง. และเชื่อว่า ปปง.เองก็ไม่ได้ตั้งใจจริงที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ปปง. ไม่ได้ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลประสานกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อตรวจสอบการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งพรรคอยากจะดูความจริงใจของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ชอบเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หลายครั้ง ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ของตนเอง แต่ครั้งนี้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งพรรคก็จะรอดูว่าจะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือไม่
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงเหตุผลที่ไม่อภิปรายนายวิษณุ เครืองาม และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รมว.ยุติธรรมว่า เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนายสุริยะรับผิดชอบโดยตรง ส่วนนายวิษณุเข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่มีการนำเรื่องการทุจริตมาเปิดเผยแล้วแม้ว่าจะดูแลกระทรวงคมนาคมก็ตาม อีกทั้งบทบาทของนายวิษณุต่อเรื่องนี้ก็ไม่มีบทบาทเพียงพอที่จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และไม่มีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ “ท่านไม่ใช่ทั้งผู้นำเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยอะไรทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันท่านกลายเป็นผู้นำเสียงข้างๆคูๆ คือพยายามพูดอะไรให้คนสับสนมึนงงกันทั่วไปหมด เพราะฉะนั้นเรามีความเห็นว่าถ้าอภิปรายท่านรองวิษณุจะไปทำให้คนไทยที่ติดตามทั้งประเทศเบื่อหน่ายเปล่าๆ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนนายสุวัจน์ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขอเอกสารจากสหรัฐโดยตรงแต่กลายเป็นอัยการสูงสุดเป็นผู้ลงนาม อย่างไรก็ตามเรื่องการอภิปรายฯจะได้ข้อยุติในวันจันทร์ที่13 มิ.ย. นี้เวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะนัดรับประทานอาหารกลางวันกับนายบรรหารศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่โรงแรมปริ้นเซส หลานหลวงเพื่อหารือถึงการเตรียมการอภิปรายฯครั้งสุดท้าย
สำหรับหลักเกณฑ์ในการอภิปรายฯครั้งนี้ได้กำหนดไว้ 4 ข้อคือ1.ต้องมีการกลั่นกรองข้อมูลให้มีสาระเข้มข้นที่สุดและเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะอภิปรายที่สุด 2.ผู้อภิปรายฯจะสร้างชัดเจนให้เกิดขึ้นและมุ่งเน้นจุดนี้เป็นส่วนใหญ่ 3.แบ่งประเด็นการอภิปรายให้ผู้ทีได้รับการอภิปรายฯเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกันสามารถก่อให้เกิดความเข้าใจเด่นชัด และ 4.จะมีการนำเสนอเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันการบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินและทำให้เกิดการทุจริตของรมว.คมนาคม ดังนั้นฝ่ายค้านมั่นใจว่าการอภิปรายฯครั้งนี้จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังและจะทำให้เห็นว่านายสุริยะสมควรอย่างยิ่งที่จะถูกไม่ไว้วางใจ
ส่วนร่างญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขณะนี้พรรคได้ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีส.ส.มาร่วมลงชื่อเกินกว่า100 คนแล้ว
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทยพูดเปรยๆว่าจะร่วมลงชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจกับฝ่ายค้านว่ายังไม่มีคนในกลุ่มวังน้ำเย็นติดต่อมาฝ่ายค้านมาเปิดโอกาสให้กับทุกคนที่ช่วยกันทำให้ประเทศไทยปลอดจากการทุจริต ผู้สื่อข่าวถามว่าหากสมาชิกกลุ่มวังน้ำเย็นจะขอร่วมประเด็นการทุจริตด้วยฝ่ายค้านจะทำอย่างไรนายองอาจกล่าวว่าถ้าตามข้อบังคับการประชุมสภาหากส.ส.คนใดจะร่วมอภิปรายด้วยต้องมาลงชื่อในญัตติอภิปรายฯ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 มิ.ย. 2548--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการสอบสวน โดยพยายามที่จะชี้ให้สังคมเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเรื่องการทุจริตการซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดระบบสายพาน สนามบินสุวรรณภูมิถือว่าเป็นภาพสีดำของประเทศไทย นับตั้งแต่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมออกมาระบุด้วยตัวเองว่า ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2547 และอ้างว่าได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาของตนเองตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีผลสอบออกมาต่อสาธารณะชนแต่อย่างใด จนกระทั่งได้มีการเผยแพร่ออกมาจากฝ่ายกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ จนสื่อมวลชนนำมาเสนอ ประชาชนจึงได้ทราบเรื่อง และปรากฎว่านายกฯก็รีบออกมาฟอกทันทีว่าไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะเคยตรวจสอบแล้ว จนถึงการนำเอาจดหมายจากบริษัทจีอีมาพูดในรายการนายกฯทักษิณคุยกับประชาชนอีก เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีการทุจริต แต่ประชาชนก็ยังมีภาพสีดำเกาะติดอยู่ในความรู้สึก
“ผมคิดว่ามาถึงวันนี้ผลการสำรวจของพี่น้องประชาชนก็ออกมาชัดเจนว่า ไม่มีใครเชื่อผลการสอบสวนนี้ ก็แสดงว่าภาพสีดำจากการทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดยังคงเกาะติดอยู่ในความรู้สึกของประชาชน และยังเป็นความจริงที่รัฐบาลยังไม่สามารถลบล้างลงไปได้ การดำเนินการทั้งหมดของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น คือ ความพยายามที่จะฟอกถ่านสีดำให้เป็นสีขาว รัฐบาลกำลังจะทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ รัฐบาลควรจะหยุดการกระทำในลักษณะนี้ และควรร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อค้นความจริงในเรื่องนี้ออกมา” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้พยายามพูดในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” โดยนำจดหมายจากสหรัฐมาอ้างว่าไม่ได้มีการจ่ายเงินหรือสัญญาว่าจ่ายเงินให้กับข้าราชการหรือนักการเมืองใดทั้งที่จดหมายฉบับนี้ระบุแค่เพียงว่ายังไม่พบหลักฐานการจ่ายเงินเท่านั้น เท่ากับนายกฯหลอกคนไทยทั้งประเทศ เพราะการบอกว่าไม่พบหลักฐาน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการจ่ายเงิน นอกเหนือจากนั้นการดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานที่นายวิษณุตั้งขึ้นไม่ได้ดำเนินการสอบสวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายคนที่ควรโดนสอบสวน คือ 1. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (บทม.) และเป็นคนสั่งการให้มีการตั้งงบประมาณ6,155ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนต่อปี เป็น45 ล้านคนต่อปี 2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมในฐานะที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง 3.นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกฯด้านนโยบายซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกฯให้ไปสอบสวนเบื้องต้นแต่ไม่เคยนำผลการสอบมาเปิดเผย 4.นายธีระวัตน์ ฉัตราภิมุขที่ปรึกษารมว.คมนาคมเพราะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในการประชุมและเป็นคนเสนอให้ซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์เพิ่ม 5.ดร.วรศักดิ์ กนกนุกูลชัย ที่ปรึกษารมว.คมนาคมในฐานะรองประธานคณะกรรมการเร่งรัดการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และ 6.พล.อ.สมชัย สมประสงค์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บทม.
“การแถลงของท่านรองวิษณุเป็นการแถลงที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าจ้อกันแบบลิงหลับ พวกผมนั่งฟังตั้งแต่ต้นจบจบ ปรากฎว่าการแถลงของท่านเป็นประโยชน์ต่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้เราได้พบความผิดปกติในเรื่องของการทุจริตมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่เราพบล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ทั้งสิ้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องว่า ขอความกรุณานายวิษณุและบุคคลที่เกี่ยวข้อง หวังว่าคงไม่ดึงเอกสารออกจากออกจากเอกสาร 800 หน้า ที่ฝ่ายค้านได้ขอข้อมูลไป แต่ไม่ได้รับ เนื่องจากอ้างว่าต้องยกเลิกชั้นความลับก่อน และหวังว่าคงไม่มีการแก้ไขข้อความหรือเปลี่ยนเอกสารก่อนที่จะมีการยกเลิกชั้นความลับกันในวันอังคารที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากคณะรัฐมนตรียกเลิกชั้นความลับเรียบร้อยแล้ว เราก็จะไปขอรับเอกสารอีกครั้ง เพื่อมาตรวจสอบดูว่าตรงกับที่ได้แถลงไปหรือไม่
ส่วนที่นายกฯระบุจะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินนั้น นายกฯไม่ได้จริงใจเพียงแต่ต้องการทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ เพราะเลขาฯปปง.ระบุแล้วว่าไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เนื่องจากไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเรื่องนี้เข้ามูลฐานความผิดตามกฎหมายปปง. และเชื่อว่า ปปง.เองก็ไม่ได้ตั้งใจจริงที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ปปง. ไม่ได้ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลประสานกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อตรวจสอบการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งพรรคอยากจะดูความจริงใจของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ชอบเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หลายครั้ง ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ของตนเอง แต่ครั้งนี้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งพรรคก็จะรอดูว่าจะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือไม่
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงเหตุผลที่ไม่อภิปรายนายวิษณุ เครืองาม และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รมว.ยุติธรรมว่า เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนายสุริยะรับผิดชอบโดยตรง ส่วนนายวิษณุเข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่มีการนำเรื่องการทุจริตมาเปิดเผยแล้วแม้ว่าจะดูแลกระทรวงคมนาคมก็ตาม อีกทั้งบทบาทของนายวิษณุต่อเรื่องนี้ก็ไม่มีบทบาทเพียงพอที่จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และไม่มีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ “ท่านไม่ใช่ทั้งผู้นำเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยอะไรทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันท่านกลายเป็นผู้นำเสียงข้างๆคูๆ คือพยายามพูดอะไรให้คนสับสนมึนงงกันทั่วไปหมด เพราะฉะนั้นเรามีความเห็นว่าถ้าอภิปรายท่านรองวิษณุจะไปทำให้คนไทยที่ติดตามทั้งประเทศเบื่อหน่ายเปล่าๆ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนนายสุวัจน์ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขอเอกสารจากสหรัฐโดยตรงแต่กลายเป็นอัยการสูงสุดเป็นผู้ลงนาม อย่างไรก็ตามเรื่องการอภิปรายฯจะได้ข้อยุติในวันจันทร์ที่13 มิ.ย. นี้เวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะนัดรับประทานอาหารกลางวันกับนายบรรหารศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่โรงแรมปริ้นเซส หลานหลวงเพื่อหารือถึงการเตรียมการอภิปรายฯครั้งสุดท้าย
สำหรับหลักเกณฑ์ในการอภิปรายฯครั้งนี้ได้กำหนดไว้ 4 ข้อคือ1.ต้องมีการกลั่นกรองข้อมูลให้มีสาระเข้มข้นที่สุดและเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะอภิปรายที่สุด 2.ผู้อภิปรายฯจะสร้างชัดเจนให้เกิดขึ้นและมุ่งเน้นจุดนี้เป็นส่วนใหญ่ 3.แบ่งประเด็นการอภิปรายให้ผู้ทีได้รับการอภิปรายฯเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกันสามารถก่อให้เกิดความเข้าใจเด่นชัด และ 4.จะมีการนำเสนอเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันการบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินและทำให้เกิดการทุจริตของรมว.คมนาคม ดังนั้นฝ่ายค้านมั่นใจว่าการอภิปรายฯครั้งนี้จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังและจะทำให้เห็นว่านายสุริยะสมควรอย่างยิ่งที่จะถูกไม่ไว้วางใจ
ส่วนร่างญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขณะนี้พรรคได้ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีส.ส.มาร่วมลงชื่อเกินกว่า100 คนแล้ว
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทยพูดเปรยๆว่าจะร่วมลงชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจกับฝ่ายค้านว่ายังไม่มีคนในกลุ่มวังน้ำเย็นติดต่อมาฝ่ายค้านมาเปิดโอกาสให้กับทุกคนที่ช่วยกันทำให้ประเทศไทยปลอดจากการทุจริต ผู้สื่อข่าวถามว่าหากสมาชิกกลุ่มวังน้ำเย็นจะขอร่วมประเด็นการทุจริตด้วยฝ่ายค้านจะทำอย่างไรนายองอาจกล่าวว่าถ้าตามข้อบังคับการประชุมสภาหากส.ส.คนใดจะร่วมอภิปรายด้วยต้องมาลงชื่อในญัตติอภิปรายฯ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 มิ.ย. 2548--จบ--
-ดท-