ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. กนง.ประเมินแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ออกบทความเรื่อง “แรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด” ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือน เม.ย.48 ซึ่งคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า แรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะต่อไปอาจมาจาก 3 ปัจจัยหลัก
ประกอบด้วย 1) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่
เฉลี่ย 45 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในปีนี้ คาดว่าจะมีการบริโภคน้ำมันประมาณ 257 ล.บาร์เรล และจะส่งผลให้
ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงจากประมาณการเดิมตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 1.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. 2) ดัชนีความเชื่อ
มั่นของนักธุรกิจ เป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในช่วง 3 เดือนข้าง
หน้า ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนถึงความต้องการลงทุนและนำเข้า
สินค้าทุนมากขึ้น ในระยะต่อไป ทั้งนี้ สอดคล้องกับความเห็นของผู้ประกอบการจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูล
เศรษฐกิจ/ธุรกิจระหว่าง ธปท.กับนักธุรกิจที่ชี้ว่ามีความต้องการขยายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม และ 3) การ
นำเข้าที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการนำเข้าสินค้าพิเศษที่ต้องใช้เงินทุนสูง เช่น เครื่องบินและรถไฟฟ้า ตลอดจนการ
นำเข้าตามแผนโครงการอื่นๆ ของภาครัฐ เป็นอีกปัจจัยกดดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ รายงาน
ของ ธปท.ระบุเพิ่มเติมว่า จากภาวะปัจจุบันในช่วง 2 เดือนแรกของปี 48 นี้ กนง.ประเมินแนวโน้มแรงกดดันต่อ
ดุลบัญชีเดินสะพัดควบคู่กับประมาณการจากแบบจำลองที่รวมผลสุทธิจากการปรับตัวด้านปริมาณการนำเข้าในการตอบ
สนองต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 48 จะยังเกินดุล
ประมาณ 1-2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เทียบกับประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลประมาณ 2-4 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน ปลัด ก.พาณิชย์ เปิด
เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือน เม.ย.48 มีค่าเท่ากับ 107.8 สูงขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับ
เดือน เม.ย.47 เป็นการกลับมาเพิ่มสูงสุดอีกครั้งในรอบ 7 เดือน หลังจากที่เดือน ก.ย. 47 ดัชนีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
สูงสุดที่ระดับ 3.6% มาแล้ว และเมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.48 ดัชนีเงินเฟ้อสูงขึ้น 0.8% ส่งผลให้ดัชนีเงินเฟ้อ
เฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.48) เท่ากับ 106.5 หรือสูงขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ
คาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 3.5-3.8% โดยผลิตภัณฑ์ในประเทศขยายตัว 4.5-5.5% ทั้งนี้ การที่เงิน
เฟ้อเดือน เม.ย.สูงขึ้น เป็นผลจากดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1.1% โดยสินค้าสำคัญที่ราคา
สูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดทำให้สุกรโตช้าและมีขนาดเล็กลง รวมทั้งปัญหาการส่งออกเนื้อ
สุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านทำให้ปริมาณภายในประเทศลดลง ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและ
เครื่องดื่มก็ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
3. รมว.คลังมอบนโยบาย 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นศูนย์กลางการลงทุน การค้า การส่ง
ออก และการท่องเที่ยวภายใน 3 ปี รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม
การลงทุน (บีโอไอ) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการส่งออกว่า ได้มอบนโยบายให้ทั้ง 3
หน่วยงานเร่งทำงานเต็มที่และสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน การค้า การ
ส่งออก และการท่องเที่ยวในภูมิภาคภายใน 3 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2550 เร็วกว่าแผนเดิมซึ่งบีโอไอกำหนดเป้า
หมายในปี 2551 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
4. ธพ.ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเสนอบริการผ่านตู้เอทีเอ็มเพิ่มขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา ธพ.ส่วนใหญ่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Universal Banking) มากขึ้น โดยเฉพาะการขยาย
ฐานลูกค้ารายย่อย ส่งผลให้การให้บริการและเสนอผลิตภัณฑ์การเงินมีความหลากหลาย และมีการเพิ่มช่องทางการ
นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า โดยขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการให้และใช้บริการผ่านตู้เบิก-ถอนเงินสดอัตโนมัติ (เอที
เอ็ม) มากขึ้น โดยผู้บริหาร ธพ.มีความเห็นตรงกันว่า ตู้เอทีเอ็มมีความสะดวก สามารถปรับปรุงเทคโนโลยีให้สอด
คล้องกับผลิตภัณฑ์ของธนาคารแต่ละแห่งได้ ซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาโปรแกรมต่อเนื่อง ให้สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่า
การเบิกถอนเงินสด ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ธพ.ไทยทั้งระบบในปี 47 มีกำไรสุทธิกว่า 7.7 หมื่น ล.บาท
แบ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อประมาณ 80% และรายได้จากค่าธรรมเนียมประมาณ 20% (ผู้จัดการรายวัน)
5. ความคืบหน้าคดี ธปท.และทุนรักษาระดับฯ ยื่นฟ้องอดีตผู้ว่าการ ธปท. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.48 ศาลแพ่งได้สืบพยานจำเลยปากสุดท้ายในคดีที่ ธปท. และทุนรักษาระดับอัตราแลก
เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มอบหมายให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายเริงชัย มะระกานนท์
อดีตผู้ว่าการ ธปท.เป็นจำเลย ฐานละเมิดจากการทำสวอป นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาทเมื่อปี 40
กระทั่งเกิดความเสียหายจากการขาดทุนเป็นมูลค่า 19,459 ล.บาท ซึ่ง ธปท.ฟ้องเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
ร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินกว่า 186,015 ล.บาท โดยศาลแพ่งได้นัดฟังคำพิพากษาสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ทั้งนี้
นายจรุง หนูขวัญ อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยภายหลังการขึ้นศาลเพื่อเป็นพยานว่า ภายในต้นเดือน ก.ค.จะ
รู้ผลคำตัดสินคดีดังกล่าว ส่วนคดีที่นายเริงชัย ยื่นฟ้อง ธปท.เรียกค่าเสียหาย 198,400,000 บาทนั้น เรื่องอยู่ที่
ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมในวันที่ 3 พ.ค.48
นี้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 2 พ.ค.48 The Shadow Open Market Committee ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเดิม
ของ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลาง สรอ.ได้ประชุมก่อนหน้าที่จะมีการประชุมของคณะ
กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลาง สรอ. 1 วันและได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะชะลอตัวใน
ไตรมาสแรกปีนี้โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 3.1 ต่อปี และตัวเลขของ Institute for Supply Management
เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 แสดงให้เห็นว่าผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมใน สรอ.เริ่มลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. แต่อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อปีในไตรมาสแรกปีนี้ก็ยังใกล้
เคียงกับอัตราเฉลี่ยที่คาดว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะขยายตัวในระยะยาวซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ธ.กลาง สรอ.
ว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี The Shadow Open Market Committee จึงมีความเห็นว่า
ธ.กลาง สรอ.ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมในวันที่ 3 พ.ค.48 นี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ
เงินเฟ้อขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 ต่อปี และจะนับเป็นการขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 8 นับจากเดือน มิ.ย.47 หลังจากปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ร้อยละ 1.0 ต่อปีมาเป็นเวลานาน (รอยเตอร์)
2. คาดว่าดัชนีนอกภาคการผลิตเดือน เม.ย.48 ของ สรอ. จะลดลง รายงานจากกรุงนิวยอร์ค
ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักพยากรณ์ของวอลล์สตรีท 24 คน ซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าอัตราการเติบโตในภาคบริการของ สรอ.ในเดือน เม.ย.48 จะลดลง หลังจากที่มี
การเติบโตอย่างมากในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดย Institute for Supply Management’s non-
manufacturing index ในเดือน เม.ย. คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 61.0 จากระดับ 63.1 ในเดือน มี.ค.
ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีดังกล่าวจะประกาศอย่างเป็นทางการ ในวันพุธที่จะถึงนี้ ในขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตเดือน
เม.ย. ซึ่งประกาศเมื่อวันจันทร์ (2 พ.ค.) ได้ลดลงอยู่ที่ระดับ 53.3 จากระดับ 55.2 ในเดือน มี.ค.(รอยเตอร์)
3. รมว.คลังสรอ.ย้ำว่าได้เวลาที่จีนควรจะเปลี่ยนระบบการผูกค่าเงินหยวนให้ยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 48 นาย John Snow กล่าวย้ำว่าจีนควรจะเริ่มการปฎิรูประบบอัตรา
แลกเปลี่ยนได้แล้ว แม้ว่าจีนจะมิได้มีสัญญากับสรอ.ว่าจะปฎิรูปเงินหยวนเมื่อใดก็ตาม แต่ภายใต้การผูกค่าเงินของจีน
ส่งผลให้มีการเก็งกำไรค่าเงินโดยนักเก็งกำไรคาดว่าจีนกำลังทดสอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีการปฎิรูปเงินหยวน
ปัจจุบันจีนผูกค่าเงินหยวนไว้ประมาณ 8.28 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สรอ. ซึ่งสรอ.เห็นว่าต้องมีการยืดหยุ่นให้มากขึ้น
อนึ่งสรอ.ได้รับแรงกดดันจากบรรดาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในสรอ. ที่กล่าวหาว่าระบบผูกค่าเงินของจีนส่งผลให้
สินค้าจีนมีราคาถูกกว่าประเทศอื่นซึ่งไม่เป็นธรรมโดยคาดว่าเงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงถึงร้อยละ 40 ส่งผล
ให้สินค้าจีนจำนวนมากไหลเข้าประเทศสรอ. เป็นสาเหตุให้สรอ.ต้องสูญเสียงานไปเป็นจำนวนมากจากนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรมของจีน (รอยเตอร์)
4. PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนที่ระดับ 49.2 รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 2 พ.ค.48 The NTC เปิดเผยว่า PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปซึ่งได้จากการสำรวจความเห็น
ของธุรกิจประมาณ 3000 บริษัท ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 49.2 ต่ำกว่าที่ประมาณการก่อน
หน้านี้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 49.9 และต่ำกว่าระดับ 50 ที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างเศรษฐกิจขยายตัวและหดตัว อีกทั้งยังลด
ลงจากระดับ 50.4 ในเดือน มี.ค.48 ซึ่งสอดคล้องกับที่ The U.S.Institute of Supply Management
คาดการณ์ว่า PMI ของ สรอ.ในเดือน เม.ย.48 จะลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 55.0 จากระดับ 55.2 ในเดือน มี.ค.
ส่วน PMI ของอังกฤษคาดว่าจะลดลงเช่นกันที่ระดับ 51.5 จากระดับ 52.0 ทั้งนี้ ดัชนีในภาคอุตสาหกรรมของ
เขตเศรษฐกิจยุโรปมีความเป็นไปไปได้ว่าจะซบเซา โดยเห็นได้จากตัวเลขดัชนีชี้วัดในหลายประเทศที่ชะลอตัว โดย
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจฝรั่งเศสลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน ในขณะที่ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่สำรวจโดย
สถาบัน Ifo บ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีและเบลเยี่ยมลดต่ำสุดในรอบ 19 เดือน ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่น
ทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.48 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 46 อย่างไรก็ตาม ค่าเงิน
สกุลยูโรที่แข็งแกร่งในขณะนี้ทำให้เป็นการยากที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะสามารถแข่งขันและรักษาตลาดส่งออก
ของตนไว้ได้ เนื่องจากสินค้าเข้าจากยุโรปตะวันออก เอเชีย และจีน ซึ่งมีราคาถูกกว่าได้ทะลักเข้าสู่ตลาดใน
ประเทศ (รอยเตอร์)
5. คาดว่าเยอรมนีจะละเมิดข้อตกลงจัดทำ งปม. ขาดดุลไม่เกินร้อยละ 3 ของจีดีพีอีกในปี 48
รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 แหล่งข่าวระดับสูงของเยอรมนี เปิดเผยว่า ใน
ปี 48 เยอรมนีจะละเมิดข้อตกลงของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจัดทำ งปม. แบบขาดดุลไม่เกิน
ร้อยละ 3 ของจีดีพี ซึ่งจะเป็นการละเมิดข้อตกลงดังกล่าวติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ของเยอรมนี เนื่องจากรัฐบาลจะต้อง
ใช้ งปม. จำนวนมากในการจัดทำมาตรการหลายอย่างเพื่อพัฒนาตลาดแรงงาน ขณะที่ในศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลได้
ปรับลดพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลงเหลือร้อยละ 1.0 จากร้อยละ 1.6 และปรับเพิ่มพยากรณ์
ค่าเฉลี่ยของคนว่างงานในปีนี้เป็น 4.77 ล้านคน ทั้งนี้ ในปี งปม. 48 รัฐบาลเยอรมนีต้องมีการกู้ยืมใหม่เพิ่มขึ้น
อีก 22 พันล้านยูโร ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมายและการใช้จ่ายที่สูงกว่าที่
คาดการณ์ไว้ในตลาดแรงงานประมาณ 15 พันล้านยูโร นอกจากนี้ รัฐบาลจะขาดเงินประมาณ 15 พันล้านยูโร
สำหรับ งปม. ปี 49 เทียบกับแผนงานจัดทำ งปม. ระยะกลาง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 พ.ค. 48 29 เม.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.569 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.4312/39.7062 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.3125 — 2.3500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 658.88/12.89 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,050/8,150 8,050/8,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.93 45.75 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.94*/18.19** 23.24/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 30 เม.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. กนง.ประเมินแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ออกบทความเรื่อง “แรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด” ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือน เม.ย.48 ซึ่งคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า แรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะต่อไปอาจมาจาก 3 ปัจจัยหลัก
ประกอบด้วย 1) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่
เฉลี่ย 45 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในปีนี้ คาดว่าจะมีการบริโภคน้ำมันประมาณ 257 ล.บาร์เรล และจะส่งผลให้
ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงจากประมาณการเดิมตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 1.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. 2) ดัชนีความเชื่อ
มั่นของนักธุรกิจ เป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในช่วง 3 เดือนข้าง
หน้า ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนถึงความต้องการลงทุนและนำเข้า
สินค้าทุนมากขึ้น ในระยะต่อไป ทั้งนี้ สอดคล้องกับความเห็นของผู้ประกอบการจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูล
เศรษฐกิจ/ธุรกิจระหว่าง ธปท.กับนักธุรกิจที่ชี้ว่ามีความต้องการขยายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม และ 3) การ
นำเข้าที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการนำเข้าสินค้าพิเศษที่ต้องใช้เงินทุนสูง เช่น เครื่องบินและรถไฟฟ้า ตลอดจนการ
นำเข้าตามแผนโครงการอื่นๆ ของภาครัฐ เป็นอีกปัจจัยกดดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ รายงาน
ของ ธปท.ระบุเพิ่มเติมว่า จากภาวะปัจจุบันในช่วง 2 เดือนแรกของปี 48 นี้ กนง.ประเมินแนวโน้มแรงกดดันต่อ
ดุลบัญชีเดินสะพัดควบคู่กับประมาณการจากแบบจำลองที่รวมผลสุทธิจากการปรับตัวด้านปริมาณการนำเข้าในการตอบ
สนองต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 48 จะยังเกินดุล
ประมาณ 1-2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เทียบกับประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลประมาณ 2-4 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน ปลัด ก.พาณิชย์ เปิด
เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือน เม.ย.48 มีค่าเท่ากับ 107.8 สูงขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับ
เดือน เม.ย.47 เป็นการกลับมาเพิ่มสูงสุดอีกครั้งในรอบ 7 เดือน หลังจากที่เดือน ก.ย. 47 ดัชนีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
สูงสุดที่ระดับ 3.6% มาแล้ว และเมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.48 ดัชนีเงินเฟ้อสูงขึ้น 0.8% ส่งผลให้ดัชนีเงินเฟ้อ
เฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.48) เท่ากับ 106.5 หรือสูงขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ
คาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 3.5-3.8% โดยผลิตภัณฑ์ในประเทศขยายตัว 4.5-5.5% ทั้งนี้ การที่เงิน
เฟ้อเดือน เม.ย.สูงขึ้น เป็นผลจากดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1.1% โดยสินค้าสำคัญที่ราคา
สูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดทำให้สุกรโตช้าและมีขนาดเล็กลง รวมทั้งปัญหาการส่งออกเนื้อ
สุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านทำให้ปริมาณภายในประเทศลดลง ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและ
เครื่องดื่มก็ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
3. รมว.คลังมอบนโยบาย 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นศูนย์กลางการลงทุน การค้า การส่ง
ออก และการท่องเที่ยวภายใน 3 ปี รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม
การลงทุน (บีโอไอ) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการส่งออกว่า ได้มอบนโยบายให้ทั้ง 3
หน่วยงานเร่งทำงานเต็มที่และสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน การค้า การ
ส่งออก และการท่องเที่ยวในภูมิภาคภายใน 3 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2550 เร็วกว่าแผนเดิมซึ่งบีโอไอกำหนดเป้า
หมายในปี 2551 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
4. ธพ.ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเสนอบริการผ่านตู้เอทีเอ็มเพิ่มขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา ธพ.ส่วนใหญ่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Universal Banking) มากขึ้น โดยเฉพาะการขยาย
ฐานลูกค้ารายย่อย ส่งผลให้การให้บริการและเสนอผลิตภัณฑ์การเงินมีความหลากหลาย และมีการเพิ่มช่องทางการ
นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า โดยขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการให้และใช้บริการผ่านตู้เบิก-ถอนเงินสดอัตโนมัติ (เอที
เอ็ม) มากขึ้น โดยผู้บริหาร ธพ.มีความเห็นตรงกันว่า ตู้เอทีเอ็มมีความสะดวก สามารถปรับปรุงเทคโนโลยีให้สอด
คล้องกับผลิตภัณฑ์ของธนาคารแต่ละแห่งได้ ซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาโปรแกรมต่อเนื่อง ให้สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่า
การเบิกถอนเงินสด ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ธพ.ไทยทั้งระบบในปี 47 มีกำไรสุทธิกว่า 7.7 หมื่น ล.บาท
แบ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อประมาณ 80% และรายได้จากค่าธรรมเนียมประมาณ 20% (ผู้จัดการรายวัน)
5. ความคืบหน้าคดี ธปท.และทุนรักษาระดับฯ ยื่นฟ้องอดีตผู้ว่าการ ธปท. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.48 ศาลแพ่งได้สืบพยานจำเลยปากสุดท้ายในคดีที่ ธปท. และทุนรักษาระดับอัตราแลก
เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มอบหมายให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายเริงชัย มะระกานนท์
อดีตผู้ว่าการ ธปท.เป็นจำเลย ฐานละเมิดจากการทำสวอป นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาทเมื่อปี 40
กระทั่งเกิดความเสียหายจากการขาดทุนเป็นมูลค่า 19,459 ล.บาท ซึ่ง ธปท.ฟ้องเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
ร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินกว่า 186,015 ล.บาท โดยศาลแพ่งได้นัดฟังคำพิพากษาสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ทั้งนี้
นายจรุง หนูขวัญ อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยภายหลังการขึ้นศาลเพื่อเป็นพยานว่า ภายในต้นเดือน ก.ค.จะ
รู้ผลคำตัดสินคดีดังกล่าว ส่วนคดีที่นายเริงชัย ยื่นฟ้อง ธปท.เรียกค่าเสียหาย 198,400,000 บาทนั้น เรื่องอยู่ที่
ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมในวันที่ 3 พ.ค.48
นี้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 2 พ.ค.48 The Shadow Open Market Committee ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเดิม
ของ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลาง สรอ.ได้ประชุมก่อนหน้าที่จะมีการประชุมของคณะ
กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลาง สรอ. 1 วันและได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะชะลอตัวใน
ไตรมาสแรกปีนี้โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 3.1 ต่อปี และตัวเลขของ Institute for Supply Management
เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 แสดงให้เห็นว่าผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมใน สรอ.เริ่มลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. แต่อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อปีในไตรมาสแรกปีนี้ก็ยังใกล้
เคียงกับอัตราเฉลี่ยที่คาดว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะขยายตัวในระยะยาวซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ธ.กลาง สรอ.
ว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี The Shadow Open Market Committee จึงมีความเห็นว่า
ธ.กลาง สรอ.ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมในวันที่ 3 พ.ค.48 นี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ
เงินเฟ้อขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 ต่อปี และจะนับเป็นการขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 8 นับจากเดือน มิ.ย.47 หลังจากปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ร้อยละ 1.0 ต่อปีมาเป็นเวลานาน (รอยเตอร์)
2. คาดว่าดัชนีนอกภาคการผลิตเดือน เม.ย.48 ของ สรอ. จะลดลง รายงานจากกรุงนิวยอร์ค
ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักพยากรณ์ของวอลล์สตรีท 24 คน ซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าอัตราการเติบโตในภาคบริการของ สรอ.ในเดือน เม.ย.48 จะลดลง หลังจากที่มี
การเติบโตอย่างมากในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดย Institute for Supply Management’s non-
manufacturing index ในเดือน เม.ย. คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 61.0 จากระดับ 63.1 ในเดือน มี.ค.
ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีดังกล่าวจะประกาศอย่างเป็นทางการ ในวันพุธที่จะถึงนี้ ในขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตเดือน
เม.ย. ซึ่งประกาศเมื่อวันจันทร์ (2 พ.ค.) ได้ลดลงอยู่ที่ระดับ 53.3 จากระดับ 55.2 ในเดือน มี.ค.(รอยเตอร์)
3. รมว.คลังสรอ.ย้ำว่าได้เวลาที่จีนควรจะเปลี่ยนระบบการผูกค่าเงินหยวนให้ยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 48 นาย John Snow กล่าวย้ำว่าจีนควรจะเริ่มการปฎิรูประบบอัตรา
แลกเปลี่ยนได้แล้ว แม้ว่าจีนจะมิได้มีสัญญากับสรอ.ว่าจะปฎิรูปเงินหยวนเมื่อใดก็ตาม แต่ภายใต้การผูกค่าเงินของจีน
ส่งผลให้มีการเก็งกำไรค่าเงินโดยนักเก็งกำไรคาดว่าจีนกำลังทดสอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีการปฎิรูปเงินหยวน
ปัจจุบันจีนผูกค่าเงินหยวนไว้ประมาณ 8.28 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สรอ. ซึ่งสรอ.เห็นว่าต้องมีการยืดหยุ่นให้มากขึ้น
อนึ่งสรอ.ได้รับแรงกดดันจากบรรดาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในสรอ. ที่กล่าวหาว่าระบบผูกค่าเงินของจีนส่งผลให้
สินค้าจีนมีราคาถูกกว่าประเทศอื่นซึ่งไม่เป็นธรรมโดยคาดว่าเงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงถึงร้อยละ 40 ส่งผล
ให้สินค้าจีนจำนวนมากไหลเข้าประเทศสรอ. เป็นสาเหตุให้สรอ.ต้องสูญเสียงานไปเป็นจำนวนมากจากนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรมของจีน (รอยเตอร์)
4. PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนที่ระดับ 49.2 รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 2 พ.ค.48 The NTC เปิดเผยว่า PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปซึ่งได้จากการสำรวจความเห็น
ของธุรกิจประมาณ 3000 บริษัท ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 49.2 ต่ำกว่าที่ประมาณการก่อน
หน้านี้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 49.9 และต่ำกว่าระดับ 50 ที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างเศรษฐกิจขยายตัวและหดตัว อีกทั้งยังลด
ลงจากระดับ 50.4 ในเดือน มี.ค.48 ซึ่งสอดคล้องกับที่ The U.S.Institute of Supply Management
คาดการณ์ว่า PMI ของ สรอ.ในเดือน เม.ย.48 จะลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 55.0 จากระดับ 55.2 ในเดือน มี.ค.
ส่วน PMI ของอังกฤษคาดว่าจะลดลงเช่นกันที่ระดับ 51.5 จากระดับ 52.0 ทั้งนี้ ดัชนีในภาคอุตสาหกรรมของ
เขตเศรษฐกิจยุโรปมีความเป็นไปไปได้ว่าจะซบเซา โดยเห็นได้จากตัวเลขดัชนีชี้วัดในหลายประเทศที่ชะลอตัว โดย
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจฝรั่งเศสลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน ในขณะที่ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่สำรวจโดย
สถาบัน Ifo บ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีและเบลเยี่ยมลดต่ำสุดในรอบ 19 เดือน ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่น
ทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.48 ลดลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 46 อย่างไรก็ตาม ค่าเงิน
สกุลยูโรที่แข็งแกร่งในขณะนี้ทำให้เป็นการยากที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะสามารถแข่งขันและรักษาตลาดส่งออก
ของตนไว้ได้ เนื่องจากสินค้าเข้าจากยุโรปตะวันออก เอเชีย และจีน ซึ่งมีราคาถูกกว่าได้ทะลักเข้าสู่ตลาดใน
ประเทศ (รอยเตอร์)
5. คาดว่าเยอรมนีจะละเมิดข้อตกลงจัดทำ งปม. ขาดดุลไม่เกินร้อยละ 3 ของจีดีพีอีกในปี 48
รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 2 พ.ค.48 แหล่งข่าวระดับสูงของเยอรมนี เปิดเผยว่า ใน
ปี 48 เยอรมนีจะละเมิดข้อตกลงของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจัดทำ งปม. แบบขาดดุลไม่เกิน
ร้อยละ 3 ของจีดีพี ซึ่งจะเป็นการละเมิดข้อตกลงดังกล่าวติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ของเยอรมนี เนื่องจากรัฐบาลจะต้อง
ใช้ งปม. จำนวนมากในการจัดทำมาตรการหลายอย่างเพื่อพัฒนาตลาดแรงงาน ขณะที่ในศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลได้
ปรับลดพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลงเหลือร้อยละ 1.0 จากร้อยละ 1.6 และปรับเพิ่มพยากรณ์
ค่าเฉลี่ยของคนว่างงานในปีนี้เป็น 4.77 ล้านคน ทั้งนี้ ในปี งปม. 48 รัฐบาลเยอรมนีต้องมีการกู้ยืมใหม่เพิ่มขึ้น
อีก 22 พันล้านยูโร ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมายและการใช้จ่ายที่สูงกว่าที่
คาดการณ์ไว้ในตลาดแรงงานประมาณ 15 พันล้านยูโร นอกจากนี้ รัฐบาลจะขาดเงินประมาณ 15 พันล้านยูโร
สำหรับ งปม. ปี 49 เทียบกับแผนงานจัดทำ งปม. ระยะกลาง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 พ.ค. 48 29 เม.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.569 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.4312/39.7062 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.3125 — 2.3500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 658.88/12.89 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,050/8,150 8,050/8,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.93 45.75 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.94*/18.19** 23.24/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 30 เม.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--