นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันที่ 25 สิงหาคม 2548 ดร. ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาในงาน 30th Anniversary Sino-Thai Relation Roadshow ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในหัวข้อ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงินการคลังของประเทศไทย (Strengthening of the Fiscal and Financial Landscape of Thailand) โดยมีธนาคาร บริษัทเอกชนชั้นนำ รัฐวิสาหกิจ และนักลงทุนของ ประเทศจีนให้ความสนใจในการเข้าร่วมฟังถึง 132 ราย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจีนในการลงทุนในประเทศ ไทย โดยกล่าวถึงแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงินและการคลังของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งถือเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่ภาคเอกชน ไทยเพื่อรองรับ กระแสการเปิดเสรีด้านการค้าการลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยจะมีการศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างอากรนำเข้าทั้งระบบอย่างเป็นขั้นตอน โดยจะนำร่องใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอาหารนอกจากนี้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังจะดำเนินกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร และเพิ่มคุณภาพการให้บริการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เชิญชวนนักลงทุนจีนให้เข้ามามีส่วนร่วมใน โครงการลงทุนขั้นพื้นฐาน (Mega Projects) ที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการในช่วง 5 ปี ข้างหน้าภายในวงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ในส่วนของการพัฒนาระบบการเงินนั้น ดร. ทนงฯ ได้ย้ำกับนักลงทุนชาวจีนว่ากระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกัน จัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และได้เริ่มดำเนินการ ตามแผนไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งคาดว่า เมื่อดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ สถาบันการเงินของ ไทยจะปรับโฉมเข้าสู่ระดับสากล มากขึ้น และมีความมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับสถาบันการเงิน ต่างประเทศได้ในอนาคต
ส่วนแนวทางการพัฒนาตลาดตราสารหนี้นั้น ดร. ทนงฯ ได้เน้นการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของตลาดรวมทั้งออกมาตรการในการสร้างอุปสงค์และ อุปทานให้มีอย่างเพียงพอ และดร.ทนงฯ ยังได้ขอให้นักลงทุนและรัฐบาลจีน เข้ามามีบทบาทร่วมเป็นผู้นำในการพัฒนาตลาด พันธบัตรเอเชีย นอกจากนี้ ดร.ทนงฯ ยังให้ความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่ากระทรวงการคลัง จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนและ นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศมีโอกาสในการลงทุนและระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ คล่องตัวมากขึ้นผ่านมาตรการการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นมาตรฐานสากล รวมทั้งมาตรการภาษี และการออกกฎระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังเน้นถึงความคล้ายคลึงทางด้านวัฒนธรรม ศาสนา และเชื้อชาติ ระหว่างไทยและจีน รวมทั้งการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน (Economic Hub) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทย เป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุนจีนเมื่อเปรียบเทียบ กับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 67/2548 25 สิงหาคม 48--
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจีนในการลงทุนในประเทศ ไทย โดยกล่าวถึงแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงินและการคลังของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งถือเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่ภาคเอกชน ไทยเพื่อรองรับ กระแสการเปิดเสรีด้านการค้าการลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยจะมีการศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างอากรนำเข้าทั้งระบบอย่างเป็นขั้นตอน โดยจะนำร่องใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอาหารนอกจากนี้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังจะดำเนินกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร และเพิ่มคุณภาพการให้บริการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เชิญชวนนักลงทุนจีนให้เข้ามามีส่วนร่วมใน โครงการลงทุนขั้นพื้นฐาน (Mega Projects) ที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการในช่วง 5 ปี ข้างหน้าภายในวงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ในส่วนของการพัฒนาระบบการเงินนั้น ดร. ทนงฯ ได้ย้ำกับนักลงทุนชาวจีนว่ากระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกัน จัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และได้เริ่มดำเนินการ ตามแผนไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งคาดว่า เมื่อดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ สถาบันการเงินของ ไทยจะปรับโฉมเข้าสู่ระดับสากล มากขึ้น และมีความมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับสถาบันการเงิน ต่างประเทศได้ในอนาคต
ส่วนแนวทางการพัฒนาตลาดตราสารหนี้นั้น ดร. ทนงฯ ได้เน้นการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของตลาดรวมทั้งออกมาตรการในการสร้างอุปสงค์และ อุปทานให้มีอย่างเพียงพอ และดร.ทนงฯ ยังได้ขอให้นักลงทุนและรัฐบาลจีน เข้ามามีบทบาทร่วมเป็นผู้นำในการพัฒนาตลาด พันธบัตรเอเชีย นอกจากนี้ ดร.ทนงฯ ยังให้ความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่ากระทรวงการคลัง จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนและ นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศมีโอกาสในการลงทุนและระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ คล่องตัวมากขึ้นผ่านมาตรการการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นมาตรฐานสากล รวมทั้งมาตรการภาษี และการออกกฎระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังเน้นถึงความคล้ายคลึงทางด้านวัฒนธรรม ศาสนา และเชื้อชาติ ระหว่างไทยและจีน รวมทั้งการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน (Economic Hub) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทย เป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุนจีนเมื่อเปรียบเทียบ กับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 67/2548 25 สิงหาคม 48--