นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ส.ส.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ออกมาตอบโต้กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการใช้จ่ายเงิน และการบริหารจัดการกิจการโทรคมนาคม ภายหลังจากที่ตนและส.ส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายเปิดประเด็นไว้ในสภาผู้แทนราษฎรระหว่างการอภิปรายวาระผลการดำเนินกทช.เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ประเด็นต่อเนื่องที่พูดถึงขณะนี้คือ การที่กทช.ยื่นเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอแบ่งเงินรายได้จากการดำเนินงานในแต่ละปีให้กับ กทช. จำนวน 0.5 %
โดยกทช.อ้างว่า สามารถดำเนินการได้ตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ประเด็นที่ต้องตรวจสอบก็คือ ตัวเลข 0.5 % คิดจากฐานอะไร แต่ละปีประเมินแล้วจะเป็นเม็ดเงินเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนการออกใบอนุญาตให้เอกชนในการทำธุรกิจโทรคมนาคมประเภทต่างๆซึ่งจะได้เงินค่าธรรมเนียมมหาศาล กทช.เองก็พยายามที่จะไม่พูดถึงตัวเงินก้อนนี้ นอกจากนี้ยังต้องถามว่าหากได้รับอนุมัติแล้ว กทช.จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายอย่างไร เพราะทราบว่า เงินรายได้ก้อนนี้จะนำมาขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองด้วย
นายอภิชาต กล่าวว่า กรรมการกทช.บางคนออกมาบอกว่า จำเป็นต้องเสนอตั้งเงินเดือนให้ตัวเองไว้สูงเนื่องจากตัวเลขเงินเดือนๆละ1 แสนกว่าบาท ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับผู้บริหารของบริษัทเอกชน ที่อยู่ในระดับ 7 แสนกว่าบาทขึ้นไป การที่กทช.ซึ่งกำกับดูแลธุรกิจโทรคมนาคมแต่เงินเดือนน้อยกว่าผู้บริหารบริษัทเอกชน จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นกับกทช.ได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่น่าตกใจกับวิธีคิดของกทช. เพราะความน่าเชื่อถือไม่ได้อยู่ที่ว่าคนๆนั้นเงินเดือนจะน้อยหรือมาก คนที่ได้เงินเดือนมากแล้วยังไปทุจริต ไปมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ไปเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ได้รับความเชื่อถืออยู่ดี ความน่าเชื่อถือสำหรับกทช.ขึ้นอยู่กับว่า ได้วางบรรทัดฐานในการทำงานที่โปร่งใสเป็นธรรม และยึดมั่นในหลักความเป็นธรรมและการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริงหรือไม่ต่างหาก
“ วันนี้กทช.คิดว่าตัวเองเป็นองค์กรอิสระที่จะต้องหาเงินเอง เพราะฉะนั้นวิธีคิดจึงมุ่งไปที่การหารายได้เข้าองค์กรให้มากที่สุด แล้วเอาไปใช้จ่ายตามใจชอบ เป็นเนื่องน่าห่วงมาก ต้องไม่ลืมว่า เงินที่จะได้มาก็มาจากการเรียกเอาจากผู้ประกอบการ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่กทช.กำหนดเอง เงินดังกล่าวยิ่งมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่า ประชาชนผู้บริโภคจะต้องรับภาระมากเท่านั้น เพราะบริษัทที่รับอนุญาตก็ต้องผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคอยู่แล้ว” นายอภิชาต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเงินรายได้ของสถานีวิทยุ 1 ปณ.ที่สะสมมานับสิบปีเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท เป็นเงินที่จะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า กทช.มีสิทธิใช้เงินก้อนนี้อย่างไร เพราะเมื่อกรมไปรษณีย์โทรเลข ถูกยุบมาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานกทช. ทราบว่า เงินถูกเก็บอยู่ที่กระทรวงการคลัง ไม่ทราบว่ามีขั้นตอนการเบิกจ่ายอย่างไร สามารถนำมาใช้ปรับปรุงสำนักงานกทช.ได้หรือไม่ เพราะทุกวันนี้ใครขึ้นไปเห็นห้องทำงานกรรมการกทช.แล้วจะตกใจ เพราะหรูหราฟู่ฟ่ามาก ไม่ทราบว่าใช้เงินจากส่วนนี้หรือไม่
นายอภิชาต กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการเช่ารถบีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 7 ที่กทช.มายอมรับภายหลังว่าเช่าด้วยตัวเลขสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปีนั้น คิดตัวเลขแล้วแต่ละคันจะต้องจ่ายเงินค่าเช่าถึง 5,400,000 คันก็เป็นเงิน 37.8 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวจ่ายไปแล้วก็แล้วกันไป ครบ 3 ก็ต้องคืนรถกลับไป กทช.ไม่เหลืออะไรเลย เพราะเป็นการเช่า ไม่ใช่การผ่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ก.ย. 2548--จบ--
โดยกทช.อ้างว่า สามารถดำเนินการได้ตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ประเด็นที่ต้องตรวจสอบก็คือ ตัวเลข 0.5 % คิดจากฐานอะไร แต่ละปีประเมินแล้วจะเป็นเม็ดเงินเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนการออกใบอนุญาตให้เอกชนในการทำธุรกิจโทรคมนาคมประเภทต่างๆซึ่งจะได้เงินค่าธรรมเนียมมหาศาล กทช.เองก็พยายามที่จะไม่พูดถึงตัวเงินก้อนนี้ นอกจากนี้ยังต้องถามว่าหากได้รับอนุมัติแล้ว กทช.จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายอย่างไร เพราะทราบว่า เงินรายได้ก้อนนี้จะนำมาขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองด้วย
นายอภิชาต กล่าวว่า กรรมการกทช.บางคนออกมาบอกว่า จำเป็นต้องเสนอตั้งเงินเดือนให้ตัวเองไว้สูงเนื่องจากตัวเลขเงินเดือนๆละ1 แสนกว่าบาท ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับผู้บริหารของบริษัทเอกชน ที่อยู่ในระดับ 7 แสนกว่าบาทขึ้นไป การที่กทช.ซึ่งกำกับดูแลธุรกิจโทรคมนาคมแต่เงินเดือนน้อยกว่าผู้บริหารบริษัทเอกชน จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นกับกทช.ได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่น่าตกใจกับวิธีคิดของกทช. เพราะความน่าเชื่อถือไม่ได้อยู่ที่ว่าคนๆนั้นเงินเดือนจะน้อยหรือมาก คนที่ได้เงินเดือนมากแล้วยังไปทุจริต ไปมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ไปเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ได้รับความเชื่อถืออยู่ดี ความน่าเชื่อถือสำหรับกทช.ขึ้นอยู่กับว่า ได้วางบรรทัดฐานในการทำงานที่โปร่งใสเป็นธรรม และยึดมั่นในหลักความเป็นธรรมและการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริงหรือไม่ต่างหาก
“ วันนี้กทช.คิดว่าตัวเองเป็นองค์กรอิสระที่จะต้องหาเงินเอง เพราะฉะนั้นวิธีคิดจึงมุ่งไปที่การหารายได้เข้าองค์กรให้มากที่สุด แล้วเอาไปใช้จ่ายตามใจชอบ เป็นเนื่องน่าห่วงมาก ต้องไม่ลืมว่า เงินที่จะได้มาก็มาจากการเรียกเอาจากผู้ประกอบการ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่กทช.กำหนดเอง เงินดังกล่าวยิ่งมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่า ประชาชนผู้บริโภคจะต้องรับภาระมากเท่านั้น เพราะบริษัทที่รับอนุญาตก็ต้องผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคอยู่แล้ว” นายอภิชาต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเงินรายได้ของสถานีวิทยุ 1 ปณ.ที่สะสมมานับสิบปีเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท เป็นเงินที่จะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า กทช.มีสิทธิใช้เงินก้อนนี้อย่างไร เพราะเมื่อกรมไปรษณีย์โทรเลข ถูกยุบมาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานกทช. ทราบว่า เงินถูกเก็บอยู่ที่กระทรวงการคลัง ไม่ทราบว่ามีขั้นตอนการเบิกจ่ายอย่างไร สามารถนำมาใช้ปรับปรุงสำนักงานกทช.ได้หรือไม่ เพราะทุกวันนี้ใครขึ้นไปเห็นห้องทำงานกรรมการกทช.แล้วจะตกใจ เพราะหรูหราฟู่ฟ่ามาก ไม่ทราบว่าใช้เงินจากส่วนนี้หรือไม่
นายอภิชาต กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการเช่ารถบีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 7 ที่กทช.มายอมรับภายหลังว่าเช่าด้วยตัวเลขสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปีนั้น คิดตัวเลขแล้วแต่ละคันจะต้องจ่ายเงินค่าเช่าถึง 5,400,000 คันก็เป็นเงิน 37.8 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวจ่ายไปแล้วก็แล้วกันไป ครบ 3 ก็ต้องคืนรถกลับไป กทช.ไม่เหลืออะไรเลย เพราะเป็นการเช่า ไม่ใช่การผ่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ก.ย. 2548--จบ--