นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับคำตอบ ในคำถามของสื่อมวลชนว่า หากองค์กรการตรวจสอบมีการเปลี่ยนแปลงนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะมีสัญญาและแนวทางอย่างไรที่จะบอกกับประชาชนว่า จะเป็นฝ่ายตรวจสอบที่เข็มแข็งและจะพลักดันนโยบายและแนวทางการเมืองพัฒนาให้ระบบการเมืองพัฒนาและก้าวหน้าอย่างไร
กรอบของรัฐธรรมนูญพยายามที่จะสร้างกลไกที่หลากหลายในการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นจะมีการที่ตรวจสอบในสภา การตรวจสอบในนามขององค์กรที่เรียกว่าองค์กรอิสระ กับการตรวจสอบนอกสภาโดยประชาชน ส่วนที่พรรคไทยได้ทำมาแล้วนั้น การที่ประชาชนที่อยู่ในวงนอกนั้น และจะเห็นได้ว่าสิทธิและเสรีภาพได้ถูกริดรอนลงไปมาก สิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระมีข้อคอรหา และมีความกดดันและพยายามที่แทรกแซงตลอดเวลา
ในส่วนที่พรรคไทยรักไทยที่จะทำอย่างไรให้การตรวจสอบในสภาเองให้เบ็ดเสร็จมากที่สุดคือ 350 เสียง และถอยลงมาจาก 400 เพราะ 400 กลัวจะทำไม่ได้ และ 350 คือการที่จะกำหนดไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เพราะ 350 เป็นครึ่งหนึ่งของ 700 คือวุฒิสภา 200 และสภาผู้แทนราษฎร 500 พรรคประชาธิปัตย์เราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่สมคบให้เกิดพรรคการเมืองพรรคเดียวในประเทศไทย ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียวแต่เป็นการเมืองพรรคเดียว ประชาธิปัตย์ไม่ยินยอมพร้อมใจ เมื่อเราประกาศอย่างแน่ชัดว่าจะยืนอยู่ในเป็นทางเลือกนั้น ขอให้เราได้มีเสียงและหรือมีส.ส.เพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบคือ 201 เสียง และถ้าหากว่าเราอยู่ตรงนั้นเราก็พยายามพลักดันให้การตรวจสอบในสภานั้นจะช่วยให้มีการตรวจสอบนอกสภานั้นมีมากขึ้น เพราะถ้ามีการริดรอนสิทธิและเสรีภาพต่างๆ ก็มาจากการตัดสินใจจากผู้นำรัฐบาล อย่างน้อยเราก็จะมีเวทีที่จะฟ้องประชาชนได้
เช่นเดียวกับการตรวจสอบองค์กรอิสระกรณีของ ปปช.ขึ้นเงินเดือนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าเสียงของพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็มีส่วนสำคัญ ในการที่ทำให้มีการตรวจสอบที่ศาลได้รับไว้เป็นคดี และถ้าเป็นไปได้ถ้าเสียงเรามากระดับหนึ่งเราพยายามอาจขอความร่วมมือกับวุฒิสภาในแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในบางประเด็นเพื่อให้การเมืองมีความสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการสรรหาองค์กรอิสระแล้วเรื่องไม่ให้มีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน เช่นไปยุบรวมพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง หรือมีการตั้งรัฐบาลผสม คือถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองพรรคในเพียงพรรคเดียว จำนวนมากและพยายามจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อป้องกันการตรวจสอบ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
กรอบของรัฐธรรมนูญพยายามที่จะสร้างกลไกที่หลากหลายในการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นจะมีการที่ตรวจสอบในสภา การตรวจสอบในนามขององค์กรที่เรียกว่าองค์กรอิสระ กับการตรวจสอบนอกสภาโดยประชาชน ส่วนที่พรรคไทยได้ทำมาแล้วนั้น การที่ประชาชนที่อยู่ในวงนอกนั้น และจะเห็นได้ว่าสิทธิและเสรีภาพได้ถูกริดรอนลงไปมาก สิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระมีข้อคอรหา และมีความกดดันและพยายามที่แทรกแซงตลอดเวลา
ในส่วนที่พรรคไทยรักไทยที่จะทำอย่างไรให้การตรวจสอบในสภาเองให้เบ็ดเสร็จมากที่สุดคือ 350 เสียง และถอยลงมาจาก 400 เพราะ 400 กลัวจะทำไม่ได้ และ 350 คือการที่จะกำหนดไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เพราะ 350 เป็นครึ่งหนึ่งของ 700 คือวุฒิสภา 200 และสภาผู้แทนราษฎร 500 พรรคประชาธิปัตย์เราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่สมคบให้เกิดพรรคการเมืองพรรคเดียวในประเทศไทย ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียวแต่เป็นการเมืองพรรคเดียว ประชาธิปัตย์ไม่ยินยอมพร้อมใจ เมื่อเราประกาศอย่างแน่ชัดว่าจะยืนอยู่ในเป็นทางเลือกนั้น ขอให้เราได้มีเสียงและหรือมีส.ส.เพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบคือ 201 เสียง และถ้าหากว่าเราอยู่ตรงนั้นเราก็พยายามพลักดันให้การตรวจสอบในสภานั้นจะช่วยให้มีการตรวจสอบนอกสภานั้นมีมากขึ้น เพราะถ้ามีการริดรอนสิทธิและเสรีภาพต่างๆ ก็มาจากการตัดสินใจจากผู้นำรัฐบาล อย่างน้อยเราก็จะมีเวทีที่จะฟ้องประชาชนได้
เช่นเดียวกับการตรวจสอบองค์กรอิสระกรณีของ ปปช.ขึ้นเงินเดือนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าเสียงของพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็มีส่วนสำคัญ ในการที่ทำให้มีการตรวจสอบที่ศาลได้รับไว้เป็นคดี และถ้าเป็นไปได้ถ้าเสียงเรามากระดับหนึ่งเราพยายามอาจขอความร่วมมือกับวุฒิสภาในแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในบางประเด็นเพื่อให้การเมืองมีความสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการสรรหาองค์กรอิสระแล้วเรื่องไม่ให้มีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน เช่นไปยุบรวมพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง หรือมีการตั้งรัฐบาลผสม คือถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองพรรคในเพียงพรรคเดียว จำนวนมากและพยายามจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อป้องกันการตรวจสอบ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-