ปี 2547 อุตสากรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกติดอันดับหนึ่งในสิบของมูลค่าสินค้าส่งออกของไทย ก่อให้เกิดการว่าจ้างงานและการพัฒนาของอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ได้แก่การออกแบบ การทำและประกอบตัวเรือน การผลิตเครื่องมือเครื่องจักรในการเจียระไนพลอย และการทำวัสดุหีบห่อ กล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมหลักประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ปี 2547 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Skill, Technology and Innovation — STI) เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่อุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติกรณีละ 1 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 8 ปี รวมทั้งยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขตใน 4 กรณี ได้แก่ 1) มีค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 1-2 ของยอดขายต่อปี 2) จ้างบุคลากรที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปด้านวิทยาศาสตร์หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การพัฒนาหรือการออกแบบไม่น้อยกว่า1-5 ของแรงงานทั้งหมด 3) มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากรไทยเทียบกับค่าใช้จ่ายเงินเดือนและค่าจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 และ 4) มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถของผู้รับช่วงผลิตไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายต่อปี
นอกจากนี้ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับร่วมกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ประสบความสำเร็จในการจัดทำมาตรฐานการเทียบสีอัญมณี 7 ชนิด ได้แก่ มรกต บุษราคัม โกเมน โทแพซ แทนซาไนส์ และแซบไฟร์สีชมพู ทั้งนี้ เนื่องจากสีของอัญมณีมีส่วนสำคัญในการกำหนดราคา โดยเฉพาะตลาดอเมริกาและยุโรป การวิจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับภายใต้แผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2544-2547) ของกระทรวงอุตสาหกรรม
โครงสร้างอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับประกอบด้วยอุตสาหกรรมหลัก 2 ประเภท คือ อุตสาหกรรมเจียระไนอัญมณี และอุตสาหกรรมผลิตเครื่องประดับ ในปี 2547 มีโรงงานอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนกว่า 850 โรง โดยมากกว่าร้อยละ 80 เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม มีการจ้างงานกว่า 59,000 คน และคาดว่ามีแรงงานในระดับครัวเรือนกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก และใช้ทักษะ ฝีมือและความชำนาญในการทำงานสูง
การผลิต
ปี 2547 ดัชนีผลผลิต เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและของที่เกี่ยวข้องอยู่ที่ 70.41 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 5.89 ดัชนีส่งสินค้า อยู่ที่ 82.02 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 2.65 ในขณะเดียวกัน ดัชนีสินค้าสำเร็จรูป อยู่ที่ 95.40 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 22.58
การตลาด
การส่งออก
ภาพรวมปี 2547 (ม.ค.-พ.ย.) พบว่ามีการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นมูลค่า 2,441.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.85 ซึ่งมีมูลค่า 2,306.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอัญมณีสังเคราะห์มีการขยายตัวมากที่สุดถึงร้อยละ 54.13 ส่วนสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกรองลงมาได้แก่โลหะมีค่า เครื่องประดับอัญมณีเทียม พลอยและเพชร เป็นต้น
ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล เบลเยี่ยม ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร โดยมีการขยายตัวของตลาดฮ่องกงมากที่สุดถึงร้อยละ 47.64 สินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เพชร เครื่องประดับแท้ทำด้วยทองและเงิน และทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป
การนำเข้า
ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2547 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยมีการนำเข้าสินค้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำมูลค่ารวม 2,741.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่า 2,030.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 35.03 ของมูลค่าการนำเข้ารวม โดยมีการนำเข้าเพชรและทองคำมากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 1,070.8 และ 1,017.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ จากข้อมูลการนำเข้าพบว่าสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ
โดยแหล่งนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย อิสราเอล ฮ่องกง อินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยี่ยม
สรุปและแนวโน้ม
ภาพรวมการผลิตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปี 2547 หดตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและจากข้อมูลสถิติการนำเข้าและส่งออกปี 2547 ในช่วง 11 เดือนแรกพบว่าไทยยังมีมูลค่าและการขยายตัวของสัดส่วนการนำเข้ามากกว่ามูลค่าและการขยายตัวของสัดส่วนการส่งออก ซึ่งอาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบภายในประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนตัวลง ทำให้มูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น อีกทั้งมูลค่าการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปลดลงมากถึงร้อยละ 63.76 เมื่อเทียบกับมูลค่าในช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายประการที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการนำเข้าส่งออกสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยลง ต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับขึ้นอันเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับตัวสูง ตลอดจนประเทศคู่แข่งมีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น
ในปี 2548 คาดว่า มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 15 โดยตลาดที่มีแนวโน้มดียังคงเป็น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ฮ่องกง และออสเตรเลีย เนื่องจากการเปิดเสรีการค้าทั้งรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี ในขณะที่ประเทศคู่แข่งของไทย คือ อินเดียและจีน มีบทบาทในตลาดระดับล่างมากขึ้นและโดยเฉพาะอินเดียมีความได้เปรียบในเรื่องค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทยมาก มีเครือข่ายการตลาด มีตราสินค้าเป็นของตนเองและมีชื่อเสียงในการเจียระไนเพชรขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นจะสนับสนุนจุดเด่นของไทยให้มีความได้เปรียบในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อัญมณี โดยเฉพาะเครื่องประดับเงินและฝีมือในการเจียระไนพลอยสีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกและปัจจัยสำคัญไทยมีเทคโนโลยีการผลิตพลอยสีที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นผู้ผลิตไทยจะต้องเร่งพัฒนาระบบการจัดหาวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ การวิจัยและพัฒนารูปแบบที่เพิ่มมูลค่า และการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีจำนวนมากให้เข้มแข็ง เนื่องจากปัจจุบันยังมีการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเฉพาะรายใหญ่เท่านั้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ปี 2547 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Skill, Technology and Innovation — STI) เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่อุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติกรณีละ 1 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 8 ปี รวมทั้งยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขตใน 4 กรณี ได้แก่ 1) มีค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 1-2 ของยอดขายต่อปี 2) จ้างบุคลากรที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปด้านวิทยาศาสตร์หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การพัฒนาหรือการออกแบบไม่น้อยกว่า1-5 ของแรงงานทั้งหมด 3) มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากรไทยเทียบกับค่าใช้จ่ายเงินเดือนและค่าจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 และ 4) มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถของผู้รับช่วงผลิตไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายต่อปี
นอกจากนี้ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับร่วมกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ประสบความสำเร็จในการจัดทำมาตรฐานการเทียบสีอัญมณี 7 ชนิด ได้แก่ มรกต บุษราคัม โกเมน โทแพซ แทนซาไนส์ และแซบไฟร์สีชมพู ทั้งนี้ เนื่องจากสีของอัญมณีมีส่วนสำคัญในการกำหนดราคา โดยเฉพาะตลาดอเมริกาและยุโรป การวิจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับภายใต้แผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2544-2547) ของกระทรวงอุตสาหกรรม
โครงสร้างอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับประกอบด้วยอุตสาหกรรมหลัก 2 ประเภท คือ อุตสาหกรรมเจียระไนอัญมณี และอุตสาหกรรมผลิตเครื่องประดับ ในปี 2547 มีโรงงานอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนกว่า 850 โรง โดยมากกว่าร้อยละ 80 เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม มีการจ้างงานกว่า 59,000 คน และคาดว่ามีแรงงานในระดับครัวเรือนกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก และใช้ทักษะ ฝีมือและความชำนาญในการทำงานสูง
การผลิต
ปี 2547 ดัชนีผลผลิต เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและของที่เกี่ยวข้องอยู่ที่ 70.41 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 5.89 ดัชนีส่งสินค้า อยู่ที่ 82.02 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 2.65 ในขณะเดียวกัน ดัชนีสินค้าสำเร็จรูป อยู่ที่ 95.40 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 22.58
การตลาด
การส่งออก
ภาพรวมปี 2547 (ม.ค.-พ.ย.) พบว่ามีการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นมูลค่า 2,441.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.85 ซึ่งมีมูลค่า 2,306.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอัญมณีสังเคราะห์มีการขยายตัวมากที่สุดถึงร้อยละ 54.13 ส่วนสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกรองลงมาได้แก่โลหะมีค่า เครื่องประดับอัญมณีเทียม พลอยและเพชร เป็นต้น
ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล เบลเยี่ยม ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร โดยมีการขยายตัวของตลาดฮ่องกงมากที่สุดถึงร้อยละ 47.64 สินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เพชร เครื่องประดับแท้ทำด้วยทองและเงิน และทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป
การนำเข้า
ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2547 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยมีการนำเข้าสินค้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำมูลค่ารวม 2,741.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่า 2,030.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 35.03 ของมูลค่าการนำเข้ารวม โดยมีการนำเข้าเพชรและทองคำมากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 1,070.8 และ 1,017.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ จากข้อมูลการนำเข้าพบว่าสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ
โดยแหล่งนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย อิสราเอล ฮ่องกง อินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยี่ยม
สรุปและแนวโน้ม
ภาพรวมการผลิตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปี 2547 หดตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและจากข้อมูลสถิติการนำเข้าและส่งออกปี 2547 ในช่วง 11 เดือนแรกพบว่าไทยยังมีมูลค่าและการขยายตัวของสัดส่วนการนำเข้ามากกว่ามูลค่าและการขยายตัวของสัดส่วนการส่งออก ซึ่งอาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบภายในประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนตัวลง ทำให้มูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น อีกทั้งมูลค่าการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปลดลงมากถึงร้อยละ 63.76 เมื่อเทียบกับมูลค่าในช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายประการที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการนำเข้าส่งออกสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยลง ต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับขึ้นอันเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับตัวสูง ตลอดจนประเทศคู่แข่งมีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น
ในปี 2548 คาดว่า มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 15 โดยตลาดที่มีแนวโน้มดียังคงเป็น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ฮ่องกง และออสเตรเลีย เนื่องจากการเปิดเสรีการค้าทั้งรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี ในขณะที่ประเทศคู่แข่งของไทย คือ อินเดียและจีน มีบทบาทในตลาดระดับล่างมากขึ้นและโดยเฉพาะอินเดียมีความได้เปรียบในเรื่องค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทยมาก มีเครือข่ายการตลาด มีตราสินค้าเป็นของตนเองและมีชื่อเสียงในการเจียระไนเพชรขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นจะสนับสนุนจุดเด่นของไทยให้มีความได้เปรียบในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อัญมณี โดยเฉพาะเครื่องประดับเงินและฝีมือในการเจียระไนพลอยสีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกและปัจจัยสำคัญไทยมีเทคโนโลยีการผลิตพลอยสีที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นผู้ผลิตไทยจะต้องเร่งพัฒนาระบบการจัดหาวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ การวิจัยและพัฒนารูปแบบที่เพิ่มมูลค่า และการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีจำนวนมากให้เข้มแข็ง เนื่องจากปัจจุบันยังมีการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเฉพาะรายใหญ่เท่านั้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-