นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่า ดีใจที่รัฐบาลยอมรับความเป็นจริงในสถานการณ์ขณะนี้ว่า ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือไม่ใช่เรื่องของโจรกระจอก และรัฐบาลก็พร้อมที่จะให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นเพื่อที่จะนำมาสู่การแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ควรถูกหยิบยกมาเป็นวาระแห่งชาติ และควรก่อให้เกิดความสมานฉันท์กับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เลิกความหวาดระแวง และยกเลิกสิ่งที่ก่อให้เกิดความความหวาดกลัวต่อคนในพื้นที่
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า เราต้องยอมรับว่ามีกลุ่มคนที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนจริง ซึ่งตนก็ยืนยันว่ามีจริง แต่เป็นเพียงคนกลุ่มน้อย แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะนับถือศาสนาอิสลาม และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ก็ไม่เคยมีความขัดแย้ง และสามารถอยู่ร่วมกันมาได้อย่างกลมกลืน และสมดุล แต่มารัฐบาลชุดนี้ กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดและไม่เคยปรากฏ ก่อให้เกิดความรุนแรง ถึงขนาดสูญเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนว่า การใช้นโยบายรุนแรงในการแก้ปัญหานั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่านายกฯ มักใช้คำพูดที่ค่อนข้างง่าย ซึ่งสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าทีที่ค่อนข้างเป็นปัญหา ข้อมูลที่นายกฯได้รับก็อาจจะถูกบิดเบือน ปกปิด ทำให้มีแนวคิดและสนับสนุนนโยบายที่ผิดพลาด จึงเกิดการล้มตาย เกิดความหวาดระแวง และความหวาดกลัวของคนในพื้นที่ และสร้างเกิดความเกลียดชังของคนในชาติที่มีต่อพี่น้องมุสลิม ที่มองว่าพี่น้องชาวมุสลิมกำลังคิดกบฏ แบ่งแยกดินแดน ไม่อยากร่วมกับรัฐบาลไทย ซึ่งสวนทางกับความจริงและความรู้สึกของพี่น้องในพื้นที่อย่างร้ายแรง
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 เป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรุนแรง เราต้องยอมรับว่า การปล้นปืนในค่ายทหาร เป็นการท้าทาย ไม่เคยมีกลุ่มก่อการร้ายกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของทหาร โดยการปล้นอาวุธ ซึ่งจนถึงวันนี้ทางการก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปืนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน มีแต่สมมุติฐานและการคาดคะเนว่ามีการนำไปขาย ไปฝัง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดบกพร่องของหน่วยข่าวกรองของรัฐบาล ที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนา อีกเรื่องคือความหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ขณะนี้ประชาชนกลัวทหาร กลัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ มากกว่ากลัวโจร เพราะหากถูกจับกุมแทนที่จะดำเนินการตามกฎหมายก็อุ้มไป บางคนกลับมาได้ก็ถือว่าดี บางคนกลับมาก็เกือบจะพิการ และมักจะไม่ถูกคุมขังในพื้นที่ แต่จะนำเข้ากรุงเทพฯ ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เจ็บแค้น อีกทั้งกองกำลังทหารของรัฐก็มีมากเกินความจำเป็น ตั้งจุดตรวจมากมาย แต่ที่สะท้อนความรู้สึกไม่ดี คือ จะต้องตรวจค้นแต่คนมุสลิม ซึ่งสร้างความรู้สึกให้คนบริสุทธิ์ต้องเสียความรู้สึก และไม่พอใจ
‘ถ้าหากรัฐบาลมีความจริงใจ และมีความตั้งใจแก้ปัญหาจริงๆ ผมก็อยากเสนอแนวทางเบื้องต้นที่แก้ปัญหาอย่างน้อยที่สุดคือ ลดความหวาดระแวง คือ ถอนทหารบางส่วนออก แล้วใช้กำลังทหารที่อยู่ในพื้นที่ เอามาใช้ประโยชน์ให้มีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ต้องยอมรับว่ากำลังในพื้นที่แทบไม่มีบทบาท เจ้าหน้าที่ของรัฐได้พบ ได้รู้ ว่าแนวร่วมขบวนการก่อการร้ายนั้นกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะพบอะไร อยากให้รัฐบาลดำเนินการ โดยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาด้วยความสงบ ใช้สันติวิธี ให้พี่น้องมีความเข้าใจ มั่นใจ และอยากประสานใจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเราแก้ตรงนี้ได้สถานการณ์จะทุเลาเบาบางและสัมฤทธิ์ผลได้’ นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า เราต้องยอมรับว่ามีกลุ่มคนที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนจริง ซึ่งตนก็ยืนยันว่ามีจริง แต่เป็นเพียงคนกลุ่มน้อย แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะนับถือศาสนาอิสลาม และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ก็ไม่เคยมีความขัดแย้ง และสามารถอยู่ร่วมกันมาได้อย่างกลมกลืน และสมดุล แต่มารัฐบาลชุดนี้ กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดและไม่เคยปรากฏ ก่อให้เกิดความรุนแรง ถึงขนาดสูญเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนว่า การใช้นโยบายรุนแรงในการแก้ปัญหานั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่านายกฯ มักใช้คำพูดที่ค่อนข้างง่าย ซึ่งสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าทีที่ค่อนข้างเป็นปัญหา ข้อมูลที่นายกฯได้รับก็อาจจะถูกบิดเบือน ปกปิด ทำให้มีแนวคิดและสนับสนุนนโยบายที่ผิดพลาด จึงเกิดการล้มตาย เกิดความหวาดระแวง และความหวาดกลัวของคนในพื้นที่ และสร้างเกิดความเกลียดชังของคนในชาติที่มีต่อพี่น้องมุสลิม ที่มองว่าพี่น้องชาวมุสลิมกำลังคิดกบฏ แบ่งแยกดินแดน ไม่อยากร่วมกับรัฐบาลไทย ซึ่งสวนทางกับความจริงและความรู้สึกของพี่น้องในพื้นที่อย่างร้ายแรง
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 เป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรุนแรง เราต้องยอมรับว่า การปล้นปืนในค่ายทหาร เป็นการท้าทาย ไม่เคยมีกลุ่มก่อการร้ายกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของทหาร โดยการปล้นอาวุธ ซึ่งจนถึงวันนี้ทางการก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปืนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน มีแต่สมมุติฐานและการคาดคะเนว่ามีการนำไปขาย ไปฝัง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดบกพร่องของหน่วยข่าวกรองของรัฐบาล ที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนา อีกเรื่องคือความหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ขณะนี้ประชาชนกลัวทหาร กลัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ มากกว่ากลัวโจร เพราะหากถูกจับกุมแทนที่จะดำเนินการตามกฎหมายก็อุ้มไป บางคนกลับมาได้ก็ถือว่าดี บางคนกลับมาก็เกือบจะพิการ และมักจะไม่ถูกคุมขังในพื้นที่ แต่จะนำเข้ากรุงเทพฯ ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เจ็บแค้น อีกทั้งกองกำลังทหารของรัฐก็มีมากเกินความจำเป็น ตั้งจุดตรวจมากมาย แต่ที่สะท้อนความรู้สึกไม่ดี คือ จะต้องตรวจค้นแต่คนมุสลิม ซึ่งสร้างความรู้สึกให้คนบริสุทธิ์ต้องเสียความรู้สึก และไม่พอใจ
‘ถ้าหากรัฐบาลมีความจริงใจ และมีความตั้งใจแก้ปัญหาจริงๆ ผมก็อยากเสนอแนวทางเบื้องต้นที่แก้ปัญหาอย่างน้อยที่สุดคือ ลดความหวาดระแวง คือ ถอนทหารบางส่วนออก แล้วใช้กำลังทหารที่อยู่ในพื้นที่ เอามาใช้ประโยชน์ให้มีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ต้องยอมรับว่ากำลังในพื้นที่แทบไม่มีบทบาท เจ้าหน้าที่ของรัฐได้พบ ได้รู้ ว่าแนวร่วมขบวนการก่อการร้ายนั้นกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะพบอะไร อยากให้รัฐบาลดำเนินการ โดยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาด้วยความสงบ ใช้สันติวิธี ให้พี่น้องมีความเข้าใจ มั่นใจ และอยากประสานใจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเราแก้ตรงนี้ได้สถานการณ์จะทุเลาเบาบางและสัมฤทธิ์ผลได้’ นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-