เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้(24ม.ค.48) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพถรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยปฏิเสธร่วมแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองกับหัวหน้าพรรคการเมืองอื่น โดยอ้างเหตุผลว่าไม่ใช่ธรรมเนียมไทย หรือไม่ใช่นักโต้วาทีนั้นเป็นเพียงข้ออ้างทางการเมือง ซึ่งกลัวว่าจะสู้วิสัยทัศน์ของผู้นำพรรคการเมืองอื่นไม่ได้ ขณะที่ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้ประกาศมาตลอดว่าพร้อมทุกเวทีสำหรับการประชันวิสัยทัศน์ทางการเมืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณพยายามหลบเลี่ยงไม่ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ตลอดมา ทั้งที่ความจริงแล้วการแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกันของหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคหรือผู้สมัคร เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นกิจกรรมเดียวที่ประชาชนจะได้เข้าถึงนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้นำแต่ละพรรค โดยมีการเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นเรื่องสร้างสรรค์ในระบอบประชาธิปไตย
มีแต่การเมืองในระบอบเผด็จการเท่านั้นที่ไม่ส่งเสริมการแสดงวิสัยทัศน์ในยามเลือกตั้ง ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเคยชินกับการออกโทรทัศน์ วิทยุคนเดียวแล้วบังคับให้ประชาชนฟัง ไม่เคยชินกับการประชันวิสัยทัศน์ นโยบายพรรคกับผู้นำพรรคการเมืองคนอื่น เพราะเกรงว่าประชาชนจะรู้ความจริง เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงวิสัยทัศน์กับผู้นำพรรคอื่นว่าแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างใด
พรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เฉไฉโดยอ้างว่าไม่ใช่ธรรมเนียมไทยหรือไม่ใช่นักโต้วาทีเพื่อเอาตัวรอดทางการเมืองแบบน้ำขุ่นๆ ถ้าหากไม่กล้าก็ควรออกมายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าไม่กล้า แต่ไม่ใช่ทำตัวแบบนักการเมืองแบบ ‘ปากกล้าขาสั่น’
ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องอีกครั้งว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ แน่จริงก็ต้องร่วมวงดีเบทกับผู้นำพรรคการเมืองอื่น เพราะประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชน
ขณะเดียวกันก็ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ตรวจสอบข่าว นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปร่วมขบวนหาเสียงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา เพราะข้าราชการระดับสูงเข้าไปร่วมในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะหมิ่นเหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วยังเป็นการประพฤติที่ไม่เหมาะสม เพราะข้าราชการระดับสูงซึ่งเป็นถึงปลัดกระทรวง 2 กระทรวงย่อมมีอิทธิพลต่อการทำงานของข้าราชการและอาจส่งผลต่อความไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเลือกตั้ง
แม้ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะเป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม แต่ควรแยกแยะให้ออกว่ายังเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมไม่ควรมาติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะพี่ภรรยา
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-
มีแต่การเมืองในระบอบเผด็จการเท่านั้นที่ไม่ส่งเสริมการแสดงวิสัยทัศน์ในยามเลือกตั้ง ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเคยชินกับการออกโทรทัศน์ วิทยุคนเดียวแล้วบังคับให้ประชาชนฟัง ไม่เคยชินกับการประชันวิสัยทัศน์ นโยบายพรรคกับผู้นำพรรคการเมืองคนอื่น เพราะเกรงว่าประชาชนจะรู้ความจริง เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงวิสัยทัศน์กับผู้นำพรรคอื่นว่าแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างใด
พรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เฉไฉโดยอ้างว่าไม่ใช่ธรรมเนียมไทยหรือไม่ใช่นักโต้วาทีเพื่อเอาตัวรอดทางการเมืองแบบน้ำขุ่นๆ ถ้าหากไม่กล้าก็ควรออกมายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าไม่กล้า แต่ไม่ใช่ทำตัวแบบนักการเมืองแบบ ‘ปากกล้าขาสั่น’
ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องอีกครั้งว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ แน่จริงก็ต้องร่วมวงดีเบทกับผู้นำพรรคการเมืองอื่น เพราะประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชน
ขณะเดียวกันก็ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ตรวจสอบข่าว นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปร่วมขบวนหาเสียงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา เพราะข้าราชการระดับสูงเข้าไปร่วมในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะหมิ่นเหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วยังเป็นการประพฤติที่ไม่เหมาะสม เพราะข้าราชการระดับสูงซึ่งเป็นถึงปลัดกระทรวง 2 กระทรวงย่อมมีอิทธิพลต่อการทำงานของข้าราชการและอาจส่งผลต่อความไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเลือกตั้ง
แม้ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะเป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม แต่ควรแยกแยะให้ออกว่ายังเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมไม่ควรมาติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะพี่ภรรยา
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-