นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29-30 มิถุนายน ว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายให้คณะทำงานทั้ง 6 คณะ ไปดูรายละเอียดของงบประมาณทั้งหมด เพื่อนำรายละเอียดดังกล่าวไปอภิปรายในสภา โดยเห็นว่า การจัดงบประมาณที่ดีรัฐบาลต้องมีเป้าหมายว่า ประชาชนได้ประโยชน์อะไร และความคุ้มค้าของเงินมีมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เป็นการจัดงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลได้รับความนิยม หรือได้ประโยชน์จากงบประมาณนั้นมากกว่าที่พี่น้องประชาชนจะได้รับ พรรคประชาธิปัตย์จึงเข้าไปดูว่า โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการตามงบประมาณมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนและมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ เพราะเบื้องต้นพบว่า บางโครงการไม่มีความคุ้มค่า และไม่มีคุณภาพ
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ติดตามดูอีกประเด็นก็คือ ความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต้องประเมินความคุ้มค่าของโครงการ งบประมาณจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณรายรับ ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้จัดเก็บ และการจัดเก็บจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องดูที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2549
นายองอาจ ยังกล่าวถึงงบประมาณปี 2549 ว่า สมมติฐานทางด้านเศรษฐกิจในปี 2549 ของสภาพัฒฯ ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดทำงบประมาณปี 2549 ไม่สะท้อนถึงแนวโนม้ทางเศรษกิจที่แท้จริง เช่น
1. ราคาน้ำมัน ณ ระดับ 44 เหรียญต่อบาร์เรลตลอดปี 2549 ซึ่ง ณ ปัจจุบันราคาที่นับเป็นตัวเลข(Nominal Price) อยู่ที่ 61 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว และมีแนวโนม้ที่จะสูงขึ้นได้อีกตามการพยากรณ์ของ Forecasting House หลายๆบริษัท ซึ่งความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาน้ำมันนี้ยังมีอีกมากโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถีงว่าราคาจริง (Real Price) ณ ปัจจุบันยังต่ำกว่าเมื่อปี 2523 ซึ่งสูงถึงระดับ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ทั้งนี้หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นทุก 10 เหรียญต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ GDP จริงลดลงประมาณร้อยละ 1.6
2. อัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 บาทต่อ เหรียญไม่เหมาะสมโดยเฉพาะเมี่อคำนึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เงินบาทอ่อนตัวลงมาก
3. สมมติฐานว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 5.5 ในปี 2549 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความจริง ที่มีแต่ปัจจัยทางด้านลบ เช่น ผลกระทบของคลื่นซึนามิต่อรายได้การท่องเที่ยว ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจในการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาภัยแล้งที่กำลังจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อเร็วๆนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลดเป้าการขยายตัวของ GDP เหลือร้อยละ 4
4. สภาพัฒฯชี้แจงว่าโครงการ Megaproject จะทำให้มีการใช้จ่ายเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เดินต่อไป แต่ในความจริงโครงการต่างๆเหล่านื้ยังมีการจ่ายเงินออกไปในแต่ละปีเป็นจำนวนไม่มาก เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่มีอายุกว่า 8-10 ปี จึงไม่สามารถผลักเศรษฐกิจได้ตามที่มีการชี้แจง
เมื่อดูแนวโน้มในภาพรวมของเศรษฐกิจของไทยในปี 2549 ตามที่รัฐบาลประมาณการณ์ไว้ พรรคประชาธิปัตย์มองว่า รัฐบาลมองผลเลิศเกินไป และไม่น่าเป็นจริงตามนั้น นอกจากนี้งบประมาณที่น่าสนใจในปีนี้ คือ ในมาตรา ที่ 4 ข้อ 2 ของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2549 ในความควบคุมของกระทวงการคลัง และสำนักงบ ตั้งไว้ประมาณ 250,000 ล้าน มีอยู่ 3 ตัว คือ ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รัฐบาลตั้งไว้ถึง 13,035 ล้านบาท แสดงว่ากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองนั้นล้มเหลว จนต้องตั้งงบประมาณไปชำระหนี้ ทั้งที่กองทุนหมู่บ้านเป็นโครงการที่ประชาชนกู้ยืมเงินไปแล้วต้องกลับมาชำระหนี้ ไม่ใช่รัฐบาลไปชำระหนี้แทนประชาชน
ข้อ 10 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดตั้งไว้ถึง 40,000 ล้านบาท เป็นการเอาไปใช้จ่ายอะไรก็ได้ ตามอำเภอใจของผู้นำประเทศ โดยผ่านผู้ว่าซีอีโอ และยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อการปรับกลยุทธ์และรองรับการเปลี่ยนแปลงตั้งไว้ 27,200 ล้านบาท โดยไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าปรับกลยุทธ์อะไร และรองรับการเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นการตั้งขึ้นมาลอยๆ ที่ผ่านมาเราเรียกงบกลางของรัฐบาลว่า “งบผี” มาวันนี้เราต้องเรียกว่า “งบปีศาจ” เพราะเอาเงินไปใช้ไม่ถูกต้อง
การจัดงบประมาณครั้งนี้รัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 9 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ โดยเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ตั้งงบไว้ถึง 437,772.9 ล้านบาท มากที่สุดใน 9 ยุทธศาสตร์ แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็ตั้งไว้เช่นนี้ แต่ปรากฏว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สูงนี้ไม่ได้ช่วยให้สังคมมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ไม่ได้ช่วยให้การพัฒนาคนดีขึ้น ปัญหาสังคมไทยที่เกี่ยวกับคนมีมากขึ้น และสะสมมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นสังคมที่ส่งเสริมความฟุ้งเฟ้อ เป็นสังคมของการเอาตัวรอด ชิงดีชิงเด่น โดยทางพรรคประชาธิปัตย์จะได้พิจารณาขุนพล สำหรับการอภิปรายชำแหละงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายนนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 มิ.ย. 2548--จบ--
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ติดตามดูอีกประเด็นก็คือ ความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต้องประเมินความคุ้มค่าของโครงการ งบประมาณจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณรายรับ ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้จัดเก็บ และการจัดเก็บจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องดูที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2549
นายองอาจ ยังกล่าวถึงงบประมาณปี 2549 ว่า สมมติฐานทางด้านเศรษฐกิจในปี 2549 ของสภาพัฒฯ ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดทำงบประมาณปี 2549 ไม่สะท้อนถึงแนวโนม้ทางเศรษกิจที่แท้จริง เช่น
1. ราคาน้ำมัน ณ ระดับ 44 เหรียญต่อบาร์เรลตลอดปี 2549 ซึ่ง ณ ปัจจุบันราคาที่นับเป็นตัวเลข(Nominal Price) อยู่ที่ 61 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว และมีแนวโนม้ที่จะสูงขึ้นได้อีกตามการพยากรณ์ของ Forecasting House หลายๆบริษัท ซึ่งความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาน้ำมันนี้ยังมีอีกมากโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถีงว่าราคาจริง (Real Price) ณ ปัจจุบันยังต่ำกว่าเมื่อปี 2523 ซึ่งสูงถึงระดับ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ทั้งนี้หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นทุก 10 เหรียญต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ GDP จริงลดลงประมาณร้อยละ 1.6
2. อัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 บาทต่อ เหรียญไม่เหมาะสมโดยเฉพาะเมี่อคำนึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เงินบาทอ่อนตัวลงมาก
3. สมมติฐานว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 5.5 ในปี 2549 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความจริง ที่มีแต่ปัจจัยทางด้านลบ เช่น ผลกระทบของคลื่นซึนามิต่อรายได้การท่องเที่ยว ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจในการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาภัยแล้งที่กำลังจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อเร็วๆนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลดเป้าการขยายตัวของ GDP เหลือร้อยละ 4
4. สภาพัฒฯชี้แจงว่าโครงการ Megaproject จะทำให้มีการใช้จ่ายเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เดินต่อไป แต่ในความจริงโครงการต่างๆเหล่านื้ยังมีการจ่ายเงินออกไปในแต่ละปีเป็นจำนวนไม่มาก เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่มีอายุกว่า 8-10 ปี จึงไม่สามารถผลักเศรษฐกิจได้ตามที่มีการชี้แจง
เมื่อดูแนวโน้มในภาพรวมของเศรษฐกิจของไทยในปี 2549 ตามที่รัฐบาลประมาณการณ์ไว้ พรรคประชาธิปัตย์มองว่า รัฐบาลมองผลเลิศเกินไป และไม่น่าเป็นจริงตามนั้น นอกจากนี้งบประมาณที่น่าสนใจในปีนี้ คือ ในมาตรา ที่ 4 ข้อ 2 ของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2549 ในความควบคุมของกระทวงการคลัง และสำนักงบ ตั้งไว้ประมาณ 250,000 ล้าน มีอยู่ 3 ตัว คือ ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รัฐบาลตั้งไว้ถึง 13,035 ล้านบาท แสดงว่ากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองนั้นล้มเหลว จนต้องตั้งงบประมาณไปชำระหนี้ ทั้งที่กองทุนหมู่บ้านเป็นโครงการที่ประชาชนกู้ยืมเงินไปแล้วต้องกลับมาชำระหนี้ ไม่ใช่รัฐบาลไปชำระหนี้แทนประชาชน
ข้อ 10 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดตั้งไว้ถึง 40,000 ล้านบาท เป็นการเอาไปใช้จ่ายอะไรก็ได้ ตามอำเภอใจของผู้นำประเทศ โดยผ่านผู้ว่าซีอีโอ และยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อการปรับกลยุทธ์และรองรับการเปลี่ยนแปลงตั้งไว้ 27,200 ล้านบาท โดยไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าปรับกลยุทธ์อะไร และรองรับการเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นการตั้งขึ้นมาลอยๆ ที่ผ่านมาเราเรียกงบกลางของรัฐบาลว่า “งบผี” มาวันนี้เราต้องเรียกว่า “งบปีศาจ” เพราะเอาเงินไปใช้ไม่ถูกต้อง
การจัดงบประมาณครั้งนี้รัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 9 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ โดยเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ตั้งงบไว้ถึง 437,772.9 ล้านบาท มากที่สุดใน 9 ยุทธศาสตร์ แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็ตั้งไว้เช่นนี้ แต่ปรากฏว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สูงนี้ไม่ได้ช่วยให้สังคมมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ไม่ได้ช่วยให้การพัฒนาคนดีขึ้น ปัญหาสังคมไทยที่เกี่ยวกับคนมีมากขึ้น และสะสมมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นสังคมที่ส่งเสริมความฟุ้งเฟ้อ เป็นสังคมของการเอาตัวรอด ชิงดีชิงเด่น โดยทางพรรคประชาธิปัตย์จะได้พิจารณาขุนพล สำหรับการอภิปรายชำแหละงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายนนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 มิ.ย. 2548--จบ--