รองหน.ปชป.’ วิเคราะห์โค้งสุดท้ายหาเสียง มีการใช้อำนาจรัฐหลายรูปแบบ ยึดพื้นที่สื่อ สกัดกั้นพรรคอื่น ชี้จุดต่าง ‘201 และ 400 เสียง’ แนะ ‘พ.ต.ท.ทักษิณ’ แยกบทบาทตัวเองระหว่าง ‘หน.ทรท. - นายกฯ’
วันนี้ (4 ก.พ.48) เวลา 11.00น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการรณรงค์การเลือกตั้งในช่วงก่อนการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 6 ก.พ.48นี้ว่า ในช่วง 2- 3 วันที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยพยายามพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์รณรงค์เพื่อให้ได้ 201 เสียงเป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะกลไกของสังคมมีการตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งหากดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพรรคไทยรักไทยแล้วจะพบว่าขณะที่เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ยังมีทัศนคติต่อเรื่องการตรวจสอบหรือการให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างไร ที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยจะใช้สื่อในมือของตัวเอง และปฏิเสธให้พื้นที่สื่อกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อให้มาเสนอความเห็น จะเห็นได้จากการแสดงวิสัยทัศน์วานนี้ (3 ก.พ.48) ที่ม.ธรรมศาสตร์ พรรคไทยรักไทยก็ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วม หรือกรณีที่รายการ ‘ถึงลูกถึงคน’ ทางช่อง 9 ก็ได้เชิญตนและตัวแทนจากพรรคไทยรักไทยไปร่วมพูดคุยในรายการ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว พรรคไทยรักไทยกลับไม่ส่งตัวแทนไป ทำให้ในวันดังกล่าวต้องยกเลิกการถ่ายทำไป ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง
‘เรื่องนี้เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า หากพรรคไทยรักไทยกลับไปยึดอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้งหนึ่ง เราก็เชื่อว่ากลไกทางสังคมที่สำคัญที่จะทำการตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน ก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ พฤติกรรมของไทยรักไทย ยืนยันได้ว่า ขณะนี้มีความจำเป็นต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลในสภา หลีกหนีไม่ได้ เพราะเป็นกลไกทางรัฐธรรมนูญ ผมอยากจะเน้นย้ำว่า สิ่งที่พรรคไทยรักไทยทำกับสิ่งที่พูดสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่บอกว่าจะเปิดโอกาสให้กลไกอื่นในสังคมตรวจสอบ กลับใช้วิธีการต่างๆนานๆที่จะปิดกั้น’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นอกจากนี้พรรคไทยรักไทยยังพยายามสร้างความเข้าใจผิดว่า รัฐบาลที่มีน้อยกว่า 350 เสียงนั้นไม่มีเสถียรภาพ ตรงนี้ตนมองว่าเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลคือการได้รับเสียงข้างมากในสภา ซึ่งแม้รัฐบาลจะได้รับเสียง 290 เสียงก็สามารถผลักดันนโยบายและได้รับความไว้วางใจจากสภาได้ ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 400 เสียง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายค้านแล้ว การได้ 199 เสียงกับ 201 เสียง มีความแตกต่างกันมาก เพราะหมายถึงความสามารถในการอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำรัฐบาลได้หรือไม่ เรื่องนี้ตนจึงไม่ต้องการให้เกิดความสับสน
‘ผมเข้าใจว่าเป้าหมายของไทยรักไทยจริงๆไม่ใช่ 350 เป้าหมายของไทยรักไทยคือเกิน 400 จึงทำทุกวิถีทางในขณะนี้ ไม่เฉพาะในเรื่องของสื่อ แต่ในพื้นที่ทั่วประเทศที่พยายามใช้อาจรัฐ ใช้วิธีการต่างๆสกัดกั้น การจัดปราศรัยของพรรคต่างๆก็จะมีการเคลื่อนไหวสกัดกั้นไม่ให้คนมาฟังการปราศรัย ในขณะที่รูปแบบที่พรรคไทยรักไทยใช้ในการให้คนไปฟังปราศรัยหมิ่นเหม่อย่างยิ่งต่อการผิดกฎหมาย แล้วที่ท่านนายกฯออกมาบอกว่าผมไปจัดปราศรัยที่เชียงใหม่ไม่มีคนฟัง ผมไม่ทราบใครไปรายงานท่าน แต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ผมเข้าใจว่าท่านนายกฯไปปราศรัยที่ไหนยังไงคนฟังเกิน 201 เสียงอยู่แล้ว เพราะคนที่ติดตามท่านก็เยอะอยู่แล้ว และรูปแบบของการเดินทางไปปราศรัยก็แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่ากำลังสวมหมวกหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หรือกำลังสวมหมวกนายกรัฐมนตรี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
วันนี้ (4 ก.พ.48) เวลา 11.00น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการรณรงค์การเลือกตั้งในช่วงก่อนการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 6 ก.พ.48นี้ว่า ในช่วง 2- 3 วันที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยพยายามพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์รณรงค์เพื่อให้ได้ 201 เสียงเป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะกลไกของสังคมมีการตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งหากดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพรรคไทยรักไทยแล้วจะพบว่าขณะที่เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ยังมีทัศนคติต่อเรื่องการตรวจสอบหรือการให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างไร ที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยจะใช้สื่อในมือของตัวเอง และปฏิเสธให้พื้นที่สื่อกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อให้มาเสนอความเห็น จะเห็นได้จากการแสดงวิสัยทัศน์วานนี้ (3 ก.พ.48) ที่ม.ธรรมศาสตร์ พรรคไทยรักไทยก็ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วม หรือกรณีที่รายการ ‘ถึงลูกถึงคน’ ทางช่อง 9 ก็ได้เชิญตนและตัวแทนจากพรรคไทยรักไทยไปร่วมพูดคุยในรายการ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว พรรคไทยรักไทยกลับไม่ส่งตัวแทนไป ทำให้ในวันดังกล่าวต้องยกเลิกการถ่ายทำไป ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง
‘เรื่องนี้เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า หากพรรคไทยรักไทยกลับไปยึดอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้งหนึ่ง เราก็เชื่อว่ากลไกทางสังคมที่สำคัญที่จะทำการตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน ก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ พฤติกรรมของไทยรักไทย ยืนยันได้ว่า ขณะนี้มีความจำเป็นต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลในสภา หลีกหนีไม่ได้ เพราะเป็นกลไกทางรัฐธรรมนูญ ผมอยากจะเน้นย้ำว่า สิ่งที่พรรคไทยรักไทยทำกับสิ่งที่พูดสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่บอกว่าจะเปิดโอกาสให้กลไกอื่นในสังคมตรวจสอบ กลับใช้วิธีการต่างๆนานๆที่จะปิดกั้น’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นอกจากนี้พรรคไทยรักไทยยังพยายามสร้างความเข้าใจผิดว่า รัฐบาลที่มีน้อยกว่า 350 เสียงนั้นไม่มีเสถียรภาพ ตรงนี้ตนมองว่าเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลคือการได้รับเสียงข้างมากในสภา ซึ่งแม้รัฐบาลจะได้รับเสียง 290 เสียงก็สามารถผลักดันนโยบายและได้รับความไว้วางใจจากสภาได้ ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 400 เสียง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายค้านแล้ว การได้ 199 เสียงกับ 201 เสียง มีความแตกต่างกันมาก เพราะหมายถึงความสามารถในการอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำรัฐบาลได้หรือไม่ เรื่องนี้ตนจึงไม่ต้องการให้เกิดความสับสน
‘ผมเข้าใจว่าเป้าหมายของไทยรักไทยจริงๆไม่ใช่ 350 เป้าหมายของไทยรักไทยคือเกิน 400 จึงทำทุกวิถีทางในขณะนี้ ไม่เฉพาะในเรื่องของสื่อ แต่ในพื้นที่ทั่วประเทศที่พยายามใช้อาจรัฐ ใช้วิธีการต่างๆสกัดกั้น การจัดปราศรัยของพรรคต่างๆก็จะมีการเคลื่อนไหวสกัดกั้นไม่ให้คนมาฟังการปราศรัย ในขณะที่รูปแบบที่พรรคไทยรักไทยใช้ในการให้คนไปฟังปราศรัยหมิ่นเหม่อย่างยิ่งต่อการผิดกฎหมาย แล้วที่ท่านนายกฯออกมาบอกว่าผมไปจัดปราศรัยที่เชียงใหม่ไม่มีคนฟัง ผมไม่ทราบใครไปรายงานท่าน แต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ผมเข้าใจว่าท่านนายกฯไปปราศรัยที่ไหนยังไงคนฟังเกิน 201 เสียงอยู่แล้ว เพราะคนที่ติดตามท่านก็เยอะอยู่แล้ว และรูปแบบของการเดินทางไปปราศรัยก็แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่ากำลังสวมหมวกหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หรือกำลังสวมหมวกนายกรัฐมนตรี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-