‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เรียกร้องรัฐบาลทบทวนแนวทางแบ่งพื้นที่ภาคใต้ แนะ ‘นายกฯ’ น้อมรับคำวิจารณ์จากหลายฝ่าย เพื่อปรับแนวทาง พร้อมขอบคุณ ‘น.พ.ประเวศ วะสี’ ที่ไว้ใจเสนอให้ทำงานร่วมกับรัฐบาล
วันนี้(22 ก.พ.48) เวลา15.00น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมส.ส.และอดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงสถานการณ์ภาคใต้หลังจากที่มีการแบ่งโซนตามแนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า การส่งสัญญาณการแก้ปัญหาภาคใต้ โดยการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสีนั้น เป็นแนวทางที่ล่อแหลม เรื่องนี้ตนอยากให้รัฐบาลทบทวน และตั้งหลักก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาล เพราะขณะนี้ความขัดแย้งในพื้นที่เกิดขึ้นสูงมาก
ต่อข้อซักถามว่ามีความพยายามบอกว่าการแบ่งพื้นที่มีมานานแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีมานานแล้ว แต่การไม่ใช่จุดประสงค์ลักษณะนี้ อาจจะเพื่อประโยชน์ในการจัดการบริหารภายใน แต่ที่สำคัญคือไม่ได้แบ่งให้เกิดความกดดันโดยอาศัยกลไกงบประมาณ คิดว่าไม่น่าจะเกิดผลดี ‘อย่าไปทำให้เกิดความสับสนว่า ใครแบ่ง แบ่งมานานเท่าไหร่ เพราะการแบ่งและส่งสัญญาณไปล่าสุดก็ไม่เคยมี’
ผู้สื่อข่าวถามว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กังวลเรื่องการส่งข้อมูลหรือไม่ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เราจะไปเรียกร้องให้นายกฯแสดงท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรปัญหาจึงแก้ไขได้ ดังนั้นนายกฯต้อทบทวนและเปิดใจให้กว้าง ‘สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้คือ การสร้างสมานฉันท์ และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นท่าทีที่นุ่มนวล โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีผลประโยชน์ อย่างนักวิชาการที่นำเสนอด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นการเปิดใจกว้างก็จะเป็นประโยชน์ให้การแก้ปัญหาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องมากขึ้น’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนอยากเห็นนายกฯเปิดรับฟังให้มากกว่านี้ เพราะดูจากการตอบโต้นักวิชาการอย่ารุนแรง อยากให้รัฐบาลมั่นใจว่าไม่มีใครปรารถนาให้เกิดความแตกแยก การนำเสนอทั้งหมดคือความเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับแนวทางของรัฐาล แต่ก็ถือเป็น็มุมมองที่ควรรับฟัง ‘ความคิดของเราผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ท่านนายกฯอย่าไปมองว่าการที่คนไม่มีกลไกราชการ แปลว่าเขาขาดข้อมูล ความจริงข้อเท็จจริงหลายอย่างมีหลายแง่มุม และในบางแง่มุม ผมคิดว่าทางราชการอาจจะไม่ครบถ้วน หรือมีความแตกต่างจากรัฐบาล’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะยื่นข้อมูลกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการเมื่อใด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ก.พ.นี้ ตนจะนำทีมงานของพรรคลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นจะเหลือจังหวัดนราธิวาสเพียงจังหวัดเดียว ทั้งนี้คิดว่าข้อมูลทั้งหมดจะส่งให้กับรัฐบาลได้ ก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายรัฐบายชุดใหม่
ส่วนกรณีที่ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ออกมาเสนอแนวความคิดให้รัฐบาลแต่งตั้งบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นรัฐมนตรี เพื่อดูแลพื้นที่ภาคใต้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนขอขอบคุณ น.พ.ประเวศที่คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะที่จะช่วยงานรัฐบาลได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ยินดีที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ แต่ระบบการบริหาร ในเรื่องของบุคลากร เรื่องของนโยบาย เรื่องงบประมาณ ต้องไปด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดคือความชอบธรรมของรัฐบาลหรือนายกฯ ทั้งนี้ขอให้รัฐบาลสบายใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ข้อมูลที่รับรู้ ข้อมูลที่ได้ รวมถึงความรู้สึกของประชาชนที่ให้ความไว้วางใจ นำเสนอต่อรัฐบาลอย่างดีที่สุด เพื่อช่วยงานรัฐบาลอีกทางหนึ่ง แต่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนายกฯด้วยว่าจะรับฟังมากแค่ไหน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
วันนี้(22 ก.พ.48) เวลา15.00น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมส.ส.และอดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงสถานการณ์ภาคใต้หลังจากที่มีการแบ่งโซนตามแนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า การส่งสัญญาณการแก้ปัญหาภาคใต้ โดยการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสีนั้น เป็นแนวทางที่ล่อแหลม เรื่องนี้ตนอยากให้รัฐบาลทบทวน และตั้งหลักก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาล เพราะขณะนี้ความขัดแย้งในพื้นที่เกิดขึ้นสูงมาก
ต่อข้อซักถามว่ามีความพยายามบอกว่าการแบ่งพื้นที่มีมานานแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีมานานแล้ว แต่การไม่ใช่จุดประสงค์ลักษณะนี้ อาจจะเพื่อประโยชน์ในการจัดการบริหารภายใน แต่ที่สำคัญคือไม่ได้แบ่งให้เกิดความกดดันโดยอาศัยกลไกงบประมาณ คิดว่าไม่น่าจะเกิดผลดี ‘อย่าไปทำให้เกิดความสับสนว่า ใครแบ่ง แบ่งมานานเท่าไหร่ เพราะการแบ่งและส่งสัญญาณไปล่าสุดก็ไม่เคยมี’
ผู้สื่อข่าวถามว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กังวลเรื่องการส่งข้อมูลหรือไม่ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เราจะไปเรียกร้องให้นายกฯแสดงท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรปัญหาจึงแก้ไขได้ ดังนั้นนายกฯต้อทบทวนและเปิดใจให้กว้าง ‘สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้คือ การสร้างสมานฉันท์ และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นท่าทีที่นุ่มนวล โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีผลประโยชน์ อย่างนักวิชาการที่นำเสนอด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นการเปิดใจกว้างก็จะเป็นประโยชน์ให้การแก้ปัญหาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องมากขึ้น’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนอยากเห็นนายกฯเปิดรับฟังให้มากกว่านี้ เพราะดูจากการตอบโต้นักวิชาการอย่ารุนแรง อยากให้รัฐบาลมั่นใจว่าไม่มีใครปรารถนาให้เกิดความแตกแยก การนำเสนอทั้งหมดคือความเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับแนวทางของรัฐาล แต่ก็ถือเป็น็มุมมองที่ควรรับฟัง ‘ความคิดของเราผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ท่านนายกฯอย่าไปมองว่าการที่คนไม่มีกลไกราชการ แปลว่าเขาขาดข้อมูล ความจริงข้อเท็จจริงหลายอย่างมีหลายแง่มุม และในบางแง่มุม ผมคิดว่าทางราชการอาจจะไม่ครบถ้วน หรือมีความแตกต่างจากรัฐบาล’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะยื่นข้อมูลกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการเมื่อใด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ก.พ.นี้ ตนจะนำทีมงานของพรรคลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นจะเหลือจังหวัดนราธิวาสเพียงจังหวัดเดียว ทั้งนี้คิดว่าข้อมูลทั้งหมดจะส่งให้กับรัฐบาลได้ ก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายรัฐบายชุดใหม่
ส่วนกรณีที่ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ออกมาเสนอแนวความคิดให้รัฐบาลแต่งตั้งบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นรัฐมนตรี เพื่อดูแลพื้นที่ภาคใต้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนขอขอบคุณ น.พ.ประเวศที่คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะที่จะช่วยงานรัฐบาลได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ยินดีที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ แต่ระบบการบริหาร ในเรื่องของบุคลากร เรื่องของนโยบาย เรื่องงบประมาณ ต้องไปด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดคือความชอบธรรมของรัฐบาลหรือนายกฯ ทั้งนี้ขอให้รัฐบาลสบายใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ข้อมูลที่รับรู้ ข้อมูลที่ได้ รวมถึงความรู้สึกของประชาชนที่ให้ความไว้วางใจ นำเสนอต่อรัฐบาลอย่างดีที่สุด เพื่อช่วยงานรัฐบาลอีกทางหนึ่ง แต่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนายกฯด้วยว่าจะรับฟังมากแค่ไหน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-