เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ธ.ค.ที่โรงแรมเจริญศรีแกรนด์รอยัล จ.อุดรธานี มีการจัดสัมมนาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดการประชุมสัมมนาว่า ขณะนี้ใกล้การปิดสมัยประชุมแล้ว ซึ่งถือว่าเราทำงานในสภาครบ 2 สมัยเกือบ 1 ปีแล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่จะมองย้อนกลับไปถึงการทำงาน ที่เราเคยพูดไว้ชัดเจนตั้งแต่วันที่ผ่านการเลือกตั้งและเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค สิ่งที่เรายืนยันว่าจุดแข็งความเข้มแข็งของเรายังคงรักษามาตรฐานการทำงานอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นสมัยประชุมแรกที่ตรวจสอบการทำงานมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนถือเป็นมาตรฐานการทำงานในปีต่อ ๆ ไป รวมถึงการอภิปรายกฎหมายสำคัญ ๆ ก็สามารถทำได้อย่างเข้มข้น อย่างคณะทำงานด้านสาธารณสุขของพรรคก็สามารถอภิปรายเรื่องกฎหมายสุขภาพได้ครบถ้วนทุกประเด็น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2549 นี้ถือว่าเป็นปีที่สำคัญ คือเป็นปีฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้ทรงย้ำความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเราจะต้องระดมสมองเพื่อหาแนวทางว่าในฐานะฝ่ายการเมืองจะดำเนินการอย่างไรเพื่อเป็นการสนองพระราชดำรัสได้ ซึ่งในการบริหารงานของพรรคประธิปัตย์ผ่านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นเราจะต้องระดมสมองเพื่อหาแนวทางออกมาให้เป็นรูปธรรม
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในปีหน้ายังจะเป็นปีที่พรรคประชาธิปัตย์มีอายุครบ 60 ปี เราจึงต้องระดมสมองเพื่อหากิจกรรมให้สอดครองกับวาระโอกาสที่เราเป็นสถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งตนอยากให้สมาชิกพรรคมองประวัติศาสตรของพรรคในเชิงอุดมการณ์ เพราะการยึดมั่นในอุดมการณ์จึงทำให้เรามีวันนี้ ไม่ว่าจะมีสถานการณ์อย่างไรในบ้านเมือง ทั้งเรื่องความผันผวนทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่เพราะอุดมการณ์ของเราทำให้เรายังอยู่ได้ ที่ผ่านมาเราต่อสู้มาตอลด 60 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 61 ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างไร วันนี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องต่อสู้การเป็นประชาธิปไตยอยู่ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราจะต้องต้อสู้ในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองที่สามารถแสดงออกทางการเมืองในสังคมไทย ต่อสู้ในเรื่องของการกระจายอำนาจที่เราจะต้องทบทวนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง เราต้องต่อสู้ในความเชื่อเกี่ยวกับการแข่งขันอย่างเสรีของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลพยายามเข้าไปแทรกแซงการทำงานทุกส่วน ดังนั้นเราจะต้องรื้อฟื้นอุดมการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา 60 ปีของเราเพื่อให้สมกับสิ่งที่ผู้ก่อตั้งพรรคตั้งชื่อพรรคว่าประชาธิปัตย์ให้สอดคล้องกับคำว่าเดโมแครตของสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นเรายืนอยู่ข้างคนด้อยโอกาสในสังคม
“หลังจาก 4- 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอ้างว่าทำสงครามกับความยากจน แต่ข้อเท็จจริงก็แสดงให้เห็นว่าคนยากจนหมดไปจริงหรือไม่ เว้นแต่มีความพยายามที่จะนิยามคำว่าความยากจนใหม่ เพราะมีความพยายามออกมาบอกว่าคนยากจนหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนที่มีไม่พอใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่รัฐบาลพยายามให้ยากระตุ้น แต่ก้เป็นเพียงยาที่กระตุ้นชั่วครั้งชั่วคราว นำไปสู่ภาวะเสพติด และไม่ได้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง ยังไม่รวมถึงอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมที่ดี ความมีสมดุล ความหลากหลายในเรื่องวัฒนธรรมที่นำพาสังคมไทยสู่ภาวะความแตกแยก ซึ่งเราต้องมองย้อนกลับไป 60 ปีจะรู้ว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในทางการเมืองเราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน เพราะปีหน้าสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคมเคลื่อนไปอีก เพราะรัฐบาลมีการดำเนินการอันส่งให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อประเทศ อาทิ การเร่งลงนามในเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯและญี่ปุ่น อันจะส่งผลกระทบกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งความพยายามที่จะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นการโอนอำนาจผูกขาดจากมือของรัฐไปสู่เอกชนบางกลุ่มครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเชื่อว่าจะเป็นปีที่มีความพยายามที่จะครอบงำสื่อ และฝืนกฎหมายกระจายอำนาจก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเตรียมความพร้อม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวทางที่เราเตรียมความพร้อมไปแล้วอย่างเช่นเรื่องรัฐวิสาหกิจ ที่เราจะทำสมุดปกดำและสมุดปกขาว โดยจะเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงทุกอย่างเกี่ยวกับการแปรรุปรัฐวิสหากิจ โดยสมุดปกดำจะอธิบายว่าสิ่งที่รัฐบาลทำจะสร้างความเสียหายอย่างไรบ้าง และต่อจากนั้นอีก 2 เดือนก็จะออกสมุดปกขาวออกมาเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจนี้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แต่ต่อไปจะยังมีคณะทำงานด้านสาธารณสุขที่กำลังเตรียมความพร้อมที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาความล้มเหลว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันพร้อมจัดทำข้อเสนอต่าง ๆ ออกมาว่ากรณีของพรรคมีจุดยืน มีนโยบายเพื่อนำไปใช้ในการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้หรือหยิบยื่นสิ่งทีดีกว่าแก่ประชาชนอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในทางการเมืองในวันข้างหน้า แต่สิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ ไม่ว่างานในสภาหรืองานในภาพกว้างจะเป็นอย่างไร ก็คือการเตรียมความพร้อมในเขตพื้นที่ต่าง ๆ
“ที่เรามาที่นี้ส่วนหนึ่งเพราะเรายอมรับว่าภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีช่องโหว่ช่องว่างอยู่มาก เราต้องคิดอย่างจริงจังที่จะร่วมเข้ามาเพื่อที่จะให้การแข่งขันในวันข้างหน้าที่นี้ไม่เป็นจุดอ่อนของเราต่อไป ยืนยันอีกครั้งเหมือนที่เคยยืนยันว่าการต่อสู้ในวันข้างหน้าไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มผู้แทนราษฎรเล็ก ๆ น้อย ๆในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป้าหมายของเราคือต้องกลับเข้ากอบกู้ ฟื้นฟูบ้านเมือง กลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการเดียวที่ทำได้คือชนะการเลือกตั้งที่เด็ดขาดเราไม่มีเวลามาก เราต้องเริ่มต้นอย่างเข้มข้นและทำงานอย่างต่อเนื่อง อย่างหนัก ทั้งในภาพกว้างและในพื้นที่ ผมเชื่อมั่นในคุณภาพของพวกเราทุกคนที่จะช่วยกันนำความคิด ข้อเสนอที่ดีมาช่วยกันสังเคราะห์กลั่นกรองเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานสำหรับปีข้างหน้า ซึ่งเป็นปีที่มีความหมายอย่างยิ่งของพวกเราชาวประชาธิปัตย์ และยังเป็นปีที่แสดงออกถึงศักยภาพความเข้มแข็งของเราว่าเราฟื้นขึ้นมาจากสภาพความพ่ายแพ้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีความพร้อมเพื่อตอบสนองความคาดหวังของสังคมที่มีสูงขึ้นโดยลำดับ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดสัมมนาอีกครั้งว่า สำหรับหนังสือปกดำเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น พรรคจะดูช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะออกมาเปิดเผยกับประชาชนอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะออกได้ในเดือนม.ค. 49 โดยจะมีเนื้อหาสรุปปัญหาและความพยายามที่จะแปรรูปกฟผ.ว่าที่จริงแล้วรัฐบาลไม่ได้ต้องการประโยชน์อะไรเลยนอกเหนือจากเพิ่มความคึกคักให้ตลาดทุนเท่านั้น และต่อจากนี้เราจะดูสถานการณ์ที่เหมาะสมจะออกสมุดปกดำออกมาอีกครั้ง และต่อจากนั้นจึงจะเป้นแนวทางปฏิบัติของพรรคในสมุดปกขาวต่อไป เพื่อยืนยันให้ประชาชนเข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับพรรคไทยรักไทย
นายวิทูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ให้สัมภาษณ์ว่า การสัมมนาในวันที่ 17 ธ.ค.พรรคจะระดมสมองเรื่องการเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ เพื่อสู่สนามการเลือกตั้งในปี 2552 หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเมืองพรรคก็พร้อมทันที เพราะข้อสรุปว่าการหาผู้สมัครช่วงใกล้เลือกตั้งจะไม่ทันการณ์และต้องเตรียมล่วงหน้า 3-4 ปี โดยเฉพาะเขตที่ไม่มีส.ส.จะได้ดูไม่ห่างเหินของประชาชนและสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาที่ฝ่ายตรงข้ามใส่ร้าย ป้ายสี พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพรรคจะมีการเปิดตัวผู้สมัครกว่า 80% ในเดือนพ.ค. 2549 พร้อมทั้งเปิดศูนย์ประสายนงานพรรคในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย นอกจากนี้จะมีการตั้งผอ.อำนวยการเลือกตั้งเขตพื้นที่รับผิดชอบโซนเลือกตั้ง โดยผอ.หนึ่งคนรับผิดชอบ 10 เขตเลือกตั้ง ซึ่งจะมีทั้งคนนอก กรรมการบริหารพรรคและคนนอกเข้ามาเป็น ผอ.
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ธ.ค. 2548--จบ--
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2549 นี้ถือว่าเป็นปีที่สำคัญ คือเป็นปีฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้ทรงย้ำความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเราจะต้องระดมสมองเพื่อหาแนวทางว่าในฐานะฝ่ายการเมืองจะดำเนินการอย่างไรเพื่อเป็นการสนองพระราชดำรัสได้ ซึ่งในการบริหารงานของพรรคประธิปัตย์ผ่านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นเราจะต้องระดมสมองเพื่อหาแนวทางออกมาให้เป็นรูปธรรม
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในปีหน้ายังจะเป็นปีที่พรรคประชาธิปัตย์มีอายุครบ 60 ปี เราจึงต้องระดมสมองเพื่อหากิจกรรมให้สอดครองกับวาระโอกาสที่เราเป็นสถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งตนอยากให้สมาชิกพรรคมองประวัติศาสตรของพรรคในเชิงอุดมการณ์ เพราะการยึดมั่นในอุดมการณ์จึงทำให้เรามีวันนี้ ไม่ว่าจะมีสถานการณ์อย่างไรในบ้านเมือง ทั้งเรื่องความผันผวนทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่เพราะอุดมการณ์ของเราทำให้เรายังอยู่ได้ ที่ผ่านมาเราต่อสู้มาตอลด 60 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 61 ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างไร วันนี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องต่อสู้การเป็นประชาธิปไตยอยู่ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราจะต้องต้อสู้ในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองที่สามารถแสดงออกทางการเมืองในสังคมไทย ต่อสู้ในเรื่องของการกระจายอำนาจที่เราจะต้องทบทวนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง เราต้องต่อสู้ในความเชื่อเกี่ยวกับการแข่งขันอย่างเสรีของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลพยายามเข้าไปแทรกแซงการทำงานทุกส่วน ดังนั้นเราจะต้องรื้อฟื้นอุดมการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา 60 ปีของเราเพื่อให้สมกับสิ่งที่ผู้ก่อตั้งพรรคตั้งชื่อพรรคว่าประชาธิปัตย์ให้สอดคล้องกับคำว่าเดโมแครตของสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นเรายืนอยู่ข้างคนด้อยโอกาสในสังคม
“หลังจาก 4- 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอ้างว่าทำสงครามกับความยากจน แต่ข้อเท็จจริงก็แสดงให้เห็นว่าคนยากจนหมดไปจริงหรือไม่ เว้นแต่มีความพยายามที่จะนิยามคำว่าความยากจนใหม่ เพราะมีความพยายามออกมาบอกว่าคนยากจนหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนที่มีไม่พอใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่รัฐบาลพยายามให้ยากระตุ้น แต่ก้เป็นเพียงยาที่กระตุ้นชั่วครั้งชั่วคราว นำไปสู่ภาวะเสพติด และไม่ได้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง ยังไม่รวมถึงอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมที่ดี ความมีสมดุล ความหลากหลายในเรื่องวัฒนธรรมที่นำพาสังคมไทยสู่ภาวะความแตกแยก ซึ่งเราต้องมองย้อนกลับไป 60 ปีจะรู้ว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในทางการเมืองเราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน เพราะปีหน้าสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคมเคลื่อนไปอีก เพราะรัฐบาลมีการดำเนินการอันส่งให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อประเทศ อาทิ การเร่งลงนามในเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯและญี่ปุ่น อันจะส่งผลกระทบกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งความพยายามที่จะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นการโอนอำนาจผูกขาดจากมือของรัฐไปสู่เอกชนบางกลุ่มครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเชื่อว่าจะเป็นปีที่มีความพยายามที่จะครอบงำสื่อ และฝืนกฎหมายกระจายอำนาจก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเตรียมความพร้อม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวทางที่เราเตรียมความพร้อมไปแล้วอย่างเช่นเรื่องรัฐวิสาหกิจ ที่เราจะทำสมุดปกดำและสมุดปกขาว โดยจะเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงทุกอย่างเกี่ยวกับการแปรรุปรัฐวิสหากิจ โดยสมุดปกดำจะอธิบายว่าสิ่งที่รัฐบาลทำจะสร้างความเสียหายอย่างไรบ้าง และต่อจากนั้นอีก 2 เดือนก็จะออกสมุดปกขาวออกมาเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจนี้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แต่ต่อไปจะยังมีคณะทำงานด้านสาธารณสุขที่กำลังเตรียมความพร้อมที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาความล้มเหลว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันพร้อมจัดทำข้อเสนอต่าง ๆ ออกมาว่ากรณีของพรรคมีจุดยืน มีนโยบายเพื่อนำไปใช้ในการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้หรือหยิบยื่นสิ่งทีดีกว่าแก่ประชาชนอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในทางการเมืองในวันข้างหน้า แต่สิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ ไม่ว่างานในสภาหรืองานในภาพกว้างจะเป็นอย่างไร ก็คือการเตรียมความพร้อมในเขตพื้นที่ต่าง ๆ
“ที่เรามาที่นี้ส่วนหนึ่งเพราะเรายอมรับว่าภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีช่องโหว่ช่องว่างอยู่มาก เราต้องคิดอย่างจริงจังที่จะร่วมเข้ามาเพื่อที่จะให้การแข่งขันในวันข้างหน้าที่นี้ไม่เป็นจุดอ่อนของเราต่อไป ยืนยันอีกครั้งเหมือนที่เคยยืนยันว่าการต่อสู้ในวันข้างหน้าไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มผู้แทนราษฎรเล็ก ๆ น้อย ๆในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป้าหมายของเราคือต้องกลับเข้ากอบกู้ ฟื้นฟูบ้านเมือง กลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการเดียวที่ทำได้คือชนะการเลือกตั้งที่เด็ดขาดเราไม่มีเวลามาก เราต้องเริ่มต้นอย่างเข้มข้นและทำงานอย่างต่อเนื่อง อย่างหนัก ทั้งในภาพกว้างและในพื้นที่ ผมเชื่อมั่นในคุณภาพของพวกเราทุกคนที่จะช่วยกันนำความคิด ข้อเสนอที่ดีมาช่วยกันสังเคราะห์กลั่นกรองเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานสำหรับปีข้างหน้า ซึ่งเป็นปีที่มีความหมายอย่างยิ่งของพวกเราชาวประชาธิปัตย์ และยังเป็นปีที่แสดงออกถึงศักยภาพความเข้มแข็งของเราว่าเราฟื้นขึ้นมาจากสภาพความพ่ายแพ้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีความพร้อมเพื่อตอบสนองความคาดหวังของสังคมที่มีสูงขึ้นโดยลำดับ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดสัมมนาอีกครั้งว่า สำหรับหนังสือปกดำเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น พรรคจะดูช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะออกมาเปิดเผยกับประชาชนอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะออกได้ในเดือนม.ค. 49 โดยจะมีเนื้อหาสรุปปัญหาและความพยายามที่จะแปรรูปกฟผ.ว่าที่จริงแล้วรัฐบาลไม่ได้ต้องการประโยชน์อะไรเลยนอกเหนือจากเพิ่มความคึกคักให้ตลาดทุนเท่านั้น และต่อจากนี้เราจะดูสถานการณ์ที่เหมาะสมจะออกสมุดปกดำออกมาอีกครั้ง และต่อจากนั้นจึงจะเป้นแนวทางปฏิบัติของพรรคในสมุดปกขาวต่อไป เพื่อยืนยันให้ประชาชนเข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับพรรคไทยรักไทย
นายวิทูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ให้สัมภาษณ์ว่า การสัมมนาในวันที่ 17 ธ.ค.พรรคจะระดมสมองเรื่องการเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ เพื่อสู่สนามการเลือกตั้งในปี 2552 หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเมืองพรรคก็พร้อมทันที เพราะข้อสรุปว่าการหาผู้สมัครช่วงใกล้เลือกตั้งจะไม่ทันการณ์และต้องเตรียมล่วงหน้า 3-4 ปี โดยเฉพาะเขตที่ไม่มีส.ส.จะได้ดูไม่ห่างเหินของประชาชนและสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาที่ฝ่ายตรงข้ามใส่ร้าย ป้ายสี พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพรรคจะมีการเปิดตัวผู้สมัครกว่า 80% ในเดือนพ.ค. 2549 พร้อมทั้งเปิดศูนย์ประสายนงานพรรคในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย นอกจากนี้จะมีการตั้งผอ.อำนวยการเลือกตั้งเขตพื้นที่รับผิดชอบโซนเลือกตั้ง โดยผอ.หนึ่งคนรับผิดชอบ 10 เขตเลือกตั้ง ซึ่งจะมีทั้งคนนอก กรรมการบริหารพรรคและคนนอกเข้ามาเป็น ผอ.
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ธ.ค. 2548--จบ--