‘ทีมเศรษฐกิจปชป.’ ชี้จุดแตกต่างนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่าง ‘รบ. — ปชป.’ พร้อมตั้งข้อสังเกต รัฐบาลเร่งทำ ’ร่างพรบ.เขตศก.พิเศษ’ เกินเหตุ หวั่นอำนาจตกอยู่ในมือนายกฯ ผลกระทบตกอยู่กับประชาชน ระบุเนื้อหาร่างกำลังกลายพันธุ์เป็นเขตปกครองพิเศษ
เมื่อเวลา 10.40 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเกียรติ สิทธิอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 ที่ผ่านมาว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคฯได้นำมาศึกษาแล้วพบว่า อาจจะขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งเป็นรายมาตราได้ดังนี้ 1.ในมาตราที่ 3 ที่ระบุให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 3 ฉบับ คือฉบับต้นและฉบับแก้ไข ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าการนิคมอุตสาหกรรมที่ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว จะมีการจัดการต่อไปอย่างไรโดยที่ไม่มีกฎหมายมากำกับ ทั้งนี้หากมองการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในหลายประเทศ จะพบว่ายังไม่มีประเทศใดยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าวเลย 2.ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายกว่า 13 ฉบับ เช่น เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การดูแลสิ่งแวดล้อม การจัดสรรที่ดิน หรือการประกาศให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ธรณีสงฆ์ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า จากการศึกษายังพบข้อบกพร่องคือความสอดคล้องกับกติกาขององค์การการค้าโลก หรือ WTO คือในเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่ไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน สิทธิประโยชน์ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ ซึ่งถือว่าแปลกมาก และตนคิดว่าอาจจะหมิ่นเหม่ต่อข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าสิทธิประโยชน์ที่จะให้มีค่อนข้างจำกัด เช่นเรื่องภาษี ที่ต้องมีการประกาศทั่วไปและใช้ทั่วทั้งเขต ไม่ใช่ได้สิทธิประโยชน์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นข้อกำหนดนี้ก็เห็นชัดว่ายังมีข้อกังวล รวมทั้งไม่มีความชัดเจนในเรื่องสิทธิประโยชน์ ยกเว้นเรื่องการครอบครองที่ดินของคนต่างชาติ
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโครงร่างและแนวนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเห็นว่ามีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง โดย 1.พรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีการยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของประชาชน 2.กฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะมุ่งอำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการในเรื่องของระบบรัฐ 3.สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงในระบบขนส่ง ทั้งการพัฒนาการขนส่งระบบรางเข้าสู่แหล่งผลิต และการเชื่อมโยงระบบทั้งแหล่งนำเข้าและรับขนส่ง 4.พัฒนาศักยภาพพื้นที่หรือกิจกรรมบางประเภทเป็นการเฉพาะ เช่นภาคเหนือจะมีเขตเศรษฐกิจชายแดนพิเศษ , ทุ่งกุลาร้องไห้ จัดเป็นเขตเกษตรอินทรีย์พิเศษ เป็นต้น 5.เขตเศรษฐกิจพิเศษจะไม่ถือเป็นเขตปกครองพิเศษ โดยกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าไปก้างก่ายองคฺกรปกครองส่วนท้องถิ่น และอำนาจของเขตปกครองจะไม่มีเกินกว่าการดูแลตามข้อกฎหมาย 6.สิทธิประโยชน์ทางภาษีชัดเจน บังคับใช้อย่างเสมอภาค 7. เปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วมการพัฒนา และ 8.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และสอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก
‘โดยสรุปแล้วดูเหมือนว่าเมื่อศึกษาเทียบเคียงกับกฎหมายของประเทศอื่นๆแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ร่างฉบับนี้ทำอย่างรีบเร่ง แม้ว่าชื่อจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่เนื้อหาดูเหมือนกลายพันธุ์ไปแล้ว กลายเป็นเขตปกครองพิเศษไป เพราะอำนาจสูงมาก และกรอบความคิดต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ทุกประการ และการให้อำนาจลักษณะนี้ก็จะทำให้การบังคับใช้หรือการให้สิทธิประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เกิดความลักลั่นเลือกปฏิบัติได้ แล้วร่างนี้ก็เป็นการเน้นการรวมศูนย์อำนาจของการดำเนินกรทั้งหมด อยู่กับมือของนายกรัฐมนตรี และถ้านำไปบังคับใช้ ไม่มีการแก้ไข ประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก’ นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-
เมื่อเวลา 10.40 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเกียรติ สิทธิอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 ที่ผ่านมาว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคฯได้นำมาศึกษาแล้วพบว่า อาจจะขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งเป็นรายมาตราได้ดังนี้ 1.ในมาตราที่ 3 ที่ระบุให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 3 ฉบับ คือฉบับต้นและฉบับแก้ไข ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าการนิคมอุตสาหกรรมที่ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว จะมีการจัดการต่อไปอย่างไรโดยที่ไม่มีกฎหมายมากำกับ ทั้งนี้หากมองการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในหลายประเทศ จะพบว่ายังไม่มีประเทศใดยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าวเลย 2.ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายกว่า 13 ฉบับ เช่น เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การดูแลสิ่งแวดล้อม การจัดสรรที่ดิน หรือการประกาศให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ธรณีสงฆ์ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า จากการศึกษายังพบข้อบกพร่องคือความสอดคล้องกับกติกาขององค์การการค้าโลก หรือ WTO คือในเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่ไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน สิทธิประโยชน์ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ ซึ่งถือว่าแปลกมาก และตนคิดว่าอาจจะหมิ่นเหม่ต่อข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าสิทธิประโยชน์ที่จะให้มีค่อนข้างจำกัด เช่นเรื่องภาษี ที่ต้องมีการประกาศทั่วไปและใช้ทั่วทั้งเขต ไม่ใช่ได้สิทธิประโยชน์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นข้อกำหนดนี้ก็เห็นชัดว่ายังมีข้อกังวล รวมทั้งไม่มีความชัดเจนในเรื่องสิทธิประโยชน์ ยกเว้นเรื่องการครอบครองที่ดินของคนต่างชาติ
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโครงร่างและแนวนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเห็นว่ามีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง โดย 1.พรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีการยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของประชาชน 2.กฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะมุ่งอำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการในเรื่องของระบบรัฐ 3.สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงในระบบขนส่ง ทั้งการพัฒนาการขนส่งระบบรางเข้าสู่แหล่งผลิต และการเชื่อมโยงระบบทั้งแหล่งนำเข้าและรับขนส่ง 4.พัฒนาศักยภาพพื้นที่หรือกิจกรรมบางประเภทเป็นการเฉพาะ เช่นภาคเหนือจะมีเขตเศรษฐกิจชายแดนพิเศษ , ทุ่งกุลาร้องไห้ จัดเป็นเขตเกษตรอินทรีย์พิเศษ เป็นต้น 5.เขตเศรษฐกิจพิเศษจะไม่ถือเป็นเขตปกครองพิเศษ โดยกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าไปก้างก่ายองคฺกรปกครองส่วนท้องถิ่น และอำนาจของเขตปกครองจะไม่มีเกินกว่าการดูแลตามข้อกฎหมาย 6.สิทธิประโยชน์ทางภาษีชัดเจน บังคับใช้อย่างเสมอภาค 7. เปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วมการพัฒนา และ 8.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และสอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก
‘โดยสรุปแล้วดูเหมือนว่าเมื่อศึกษาเทียบเคียงกับกฎหมายของประเทศอื่นๆแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ร่างฉบับนี้ทำอย่างรีบเร่ง แม้ว่าชื่อจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่เนื้อหาดูเหมือนกลายพันธุ์ไปแล้ว กลายเป็นเขตปกครองพิเศษไป เพราะอำนาจสูงมาก และกรอบความคิดต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ทุกประการ และการให้อำนาจลักษณะนี้ก็จะทำให้การบังคับใช้หรือการให้สิทธิประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เกิดความลักลั่นเลือกปฏิบัติได้ แล้วร่างนี้ก็เป็นการเน้นการรวมศูนย์อำนาจของการดำเนินกรทั้งหมด อยู่กับมือของนายกรัฐมนตรี และถ้านำไปบังคับใช้ ไม่มีการแก้ไข ประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก’ นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-