กรุงเทพ--18 มี.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่16 มีนาคม 2548 ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนภายหลังเป็นประธานการประชุมร่วมกับข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ ที่กระทรวงการต่างประเทศ สาระสำคัญของการแถลงข่าวสรุปได้ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีความผูกพันธ์กับกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอดเนื่องจากบิดาเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตในหลายประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนลาออกไปดำเนินการทางด้านการเมือง จึงมีความยินดีที่ได้กลับมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศซึ่งเปรียบเสมือนบ้านอีกครั้งหนึ่ง และมีความตั้งใจที่จะทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตามที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในกระทรวงฯ หรือประจำการในต่างประเทศก็ถือว่าเสมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกันที่มีความอบอุ่น แม้ภารกิจอาจมีความแตกต่างกัน แต่ข้าราชการทุกคนมีความสำคัญเหมือนร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ทุกส่วนย่อมมีความสำคัญ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วร่างกายก็ไม่สามารถทำงานที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะให้ความยุติธรรมแก่ข้าราชการโดยพิจารณาจากผลงานเป็นหลัก
3. สำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะสานต่อจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาภายใต้การนำของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้มีความต่อเนื่อง โดยอาจจะมีการปรับปรุงบางส่วนให้มีความเหมาะสมตามความจำเป็นในแต่ละสถานการณ์ ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศดังนี้
- การทูตเพื่อประชาชน การทูตเพื่อประชาชนเป็นหัวใจของนโยบายการต่างประเทศโดยจะทำให้โลกซึ่งมีสมาชิกเกินกว่า 200 ประเทศ เป็นประโยชน์ สำหรับคนไทยอย่างทั่วถึง รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับภาคเอกชน ในการนี้กระทรวงการต่างประเทศจะมีการศึกษาเจาะลึกในแต่ละประเทศในโลกว่าประเทศไทยควรจะมีบทบาทกับแต่ละประเทศอย่างไร ซึ่งอาจจะแตกต่างกัน อาทิบางประเทศอาจร่วมมือกันทางการเมือง การค้า บางประเทศอาจร่วมมือกันในทางการศึกษา การเกษตร วิทยาศาสตร์ หรือสาธารณสุข โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างนโยบายภายในประเทศของไทยกับนโยบายต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
- ประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน จะให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะเน้นความเข้าใจระหว่างกัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดการที่จะเดินทางไปเยือนและทำความรู้จักกับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดในโอกาสแรก
- ACD จะให้ความสำคัญกับ ACD ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่ ซึ่งรวมถึงตะวันออกกลางด้วย (ตามที่เรียกว่า Asia-Wide) ควรมีเวทีความร่วมมือกันที่เหมาะสม ACD จึงเป็นเวทีที่ไม่เป็นทางการแต่มีกลไกการหารือกันระหว่างสมาชิกซึ่งเป็นความคิดริเริ่มที่ดี กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินนโยบายส่งเสริมความร่วมมือในกรอบ ACD อย่างเต็มที่ต่อไป
- ความสัมพันธ์กับภูมิภาคต่างๆ จะให้ความสำคัญกับภูมิภาคแอฟริกาและ
ละตินอเมริกาซึ่งมีขนาดใหญ่และประชากรจำนวนมาก ซึ่งในอดีตประเทศไทยยังไม่มีบทบาทในภูมิภาคดังกล่าวเท่าที่ควร โดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ได้ริเริ่มดำเนินการใน 4 ปีที่ผ่านมา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเพิ่มความสำคัญกับภูมิภาคดังกล่าวต่อไป ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ที่ความสัมพันธ์อยู่ในระดับปกติแล้วก็จะกระชับความสัมพันธ์ต่อไป
- ความสัมพันธ์ในกรอบพหุภาคี จะทำให้ประเทศไทยอยู่ในจอเรดาห์ของนานาประเทศเพื่อให้เกิดความทรงจำในทางที่ดีโดยจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมบทบาทของไทยในกรอบพหุภาคีต่างๆ อาทิในกรอบของสหประชาชาติ
- การสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการรณรงค์สนับสนุนให้ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งจากบทบาทของประเทศไทยในเวทีสหประชาชาติที่มีมาอย่างช้านาน ควบคู่กับความสามารถและประสบการณ์ของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ทำให้รองนายกรัฐมนตรีมีคุณสมบัติความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ
4. นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ได้อยู่ในวงการการเมืองมานาน โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมา 2 สมัย การได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าต่อไปนี้กระทรวงการต่างประเทศน่าจะมีนโยบายเชิงรุกในเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น และจากการได้รับฟังการบรรยายสรุปจากข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศตลอดจนการแนะนำ การแสดงความเห็นของข้าราชการในระหว่างการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับข้าราชการระดับสูงในวันนี้แล้ว มีความสบายใจว่าได้ผู้บังคับบัญชาที่ดี ได้เพื่อนร่วมงานที่ดีในการดูแลกระทรวงการต่างประเทศให้ไปในแนวทางที่เป็นไปได้ในยุคสมัยใหม่กล่าวคือมีนโยบายที่ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรวมถึงความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับจะเป็นผู้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานผู้แทนการค้า สถานทูตสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ สถานทูตสถานกงสุลต่างประเทศในไทย ในการรวบรวมทรัพยากรและสินค้าที่มีค่าของไทย และนำเสนอประเทศคู่ค้าของไทยในเวทีโลก และเห็นว่าสินค้า OTOP และสินค้า SME ของรัฐบาลน่าจะตอบสนองต่อนโยบายเจาะลึกเกี่ยวกับความต้องการสินค้าของตลาดของประเทศต่างๆ ในโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
5. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- สถานะของประเทศไทยใน OIC เกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการไปส่วนหนึ่งแล้วโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มอบหมายให้คณะผู้แทน (Special Envoy) นำโดยนายนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำมาเลเซียเดินทางไปชี้แจงและอธิบายข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ OIC ทราบ ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศก็ได้รับรายงานว่า OIC มีความเข้าใจพร้อมทั้งได้ออกแถลงการณ์แสดงความเข้าใจการดำเนินการของไทยด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการสานต่อเรื่องนี้ให้มีความสืบเนื่องต่อไป โดยเห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ที่ผ่านมามีความโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นการปฏิบัติตามกฏหมายและในฐานะประเทศผู้สังเกตุการณ์ของ OIC กระทรวงการต่างประเทศจะเน้นความสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ OIC อย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับประเทศสมาชิก OIC ด้วย
- ประเด็นสิทธิมนุษยชนในภาคใต้กับการสมัครเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะอธิบายให้ประเทศต่างๆ เข้าใจว่าการดำเนินการของไทยต่อเหตุการณ์ในภาคใต้สามารถอธิบายได้ โดยรัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าวให้มีความยุติธรรมและโปร่งใส ดังนั้นจึงเชื่อว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนจะไม่กระทบต่อกระบวนการการรณรงค์หาเสียงให้ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งในเรื่องนี้แม้ว่าไทยจะไม่ส่งผู้สมัครในตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐบาลก็จะดำเนินการในเรื่องนี้ให้มีความยุติธรรมและโปร่งใสอยู่แล้ว
- นโยบายต่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเด็นทางด้านเศรษฐกิจมีความสำคัญมากกว่าในอดีตอย่างมากและในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนการค้าไทยมีโอกาสได้ทำงานทางด้านเศรษฐกิจซึ่งมีความสำคัญอย่างสูงในเวทีโลก และเห็นว่าในปัจจุบันไทยจึงควรมีนโยบายต่างประเทศที่เน้นความสำคัญทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายทางด้านการเมืองด้วยทั้งนี้ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย
- FTA ไทยจะยังคงดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาต่อไป โดยจะเน้นหลักการที่ว่าการค้าเสรีจะต้องมีความเป็นธรรม (Fair) ซึ่งมีประเทศคู่เจรจาในขณะนี้ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ บาห์เรน อินเดีย เปรู จีน นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ ที่แสดงความสนใจที่จะเจรจา FTA กับไทย อาทิ สหภาพยุโรป กลุ่มประเทศ Mercosur (ซึ่งประกอบด้วยบราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย อูรุกวัย) และชิลี ในการนี้ไทยจะพิจารณาคัดเลือกประเทศคู่เจรจาต่อไป และในขณะเดียวกันไทยจะยังคงความสัมพันธ์ทางด้านการค้ากับ WTO อย่างแข็งขันต่อไปด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจของไทยกับต่างประเทศในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับพหุภาคีจะยังคงดำเนินควบคู่พร้อมกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ภาคเอกชนของไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ และโลกของการค้าเสรี
- สถานะของ FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยความรอบคอบ โดยจะให้ความสำคัญของความยุติธรรมของ FTA มีความสำคัญมากกว่าการเร่งการลงนามแต่ก็จะพยายามไม่ให้ช้า ดังนั้นจะมีการลงนามก็ต่อเมื่อการเจรจามีความสมบูรณ์และความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายแล้ว
- ความสัมพันธ์กับพม่า การดำเนินนโยบายของไทยต่อพม่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นนโยบายเชิงสร้างสรรค์ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งคล้ายกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในอดีต ซึ่งในขณะนั้นหากสหรัฐฯ บังคับให้จีนเปลี่ยนประเทศทันทีก็คงไม่สามารถคงความสัมพันธ์ได้ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ ดังนั้นนโยบายของไทยกับพม่า ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือควรให้โอกาสพม่าในการแก้ไขปัญหาภายใน ประเทศของตนเอง ซึ่งในขณะนี้มีสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศเริ่มเห็นด้วยว่านโยบายต่อพม่าดังกล่าวเป็นนโยบายที่ถูกต้องแล้ว
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันที่16 มีนาคม 2548 ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนภายหลังเป็นประธานการประชุมร่วมกับข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ ที่กระทรวงการต่างประเทศ สาระสำคัญของการแถลงข่าวสรุปได้ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีความผูกพันธ์กับกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอดเนื่องจากบิดาเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตในหลายประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนลาออกไปดำเนินการทางด้านการเมือง จึงมีความยินดีที่ได้กลับมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศซึ่งเปรียบเสมือนบ้านอีกครั้งหนึ่ง และมีความตั้งใจที่จะทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตามที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในกระทรวงฯ หรือประจำการในต่างประเทศก็ถือว่าเสมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกันที่มีความอบอุ่น แม้ภารกิจอาจมีความแตกต่างกัน แต่ข้าราชการทุกคนมีความสำคัญเหมือนร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ทุกส่วนย่อมมีความสำคัญ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วร่างกายก็ไม่สามารถทำงานที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะให้ความยุติธรรมแก่ข้าราชการโดยพิจารณาจากผลงานเป็นหลัก
3. สำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะสานต่อจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาภายใต้การนำของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้มีความต่อเนื่อง โดยอาจจะมีการปรับปรุงบางส่วนให้มีความเหมาะสมตามความจำเป็นในแต่ละสถานการณ์ ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศดังนี้
- การทูตเพื่อประชาชน การทูตเพื่อประชาชนเป็นหัวใจของนโยบายการต่างประเทศโดยจะทำให้โลกซึ่งมีสมาชิกเกินกว่า 200 ประเทศ เป็นประโยชน์ สำหรับคนไทยอย่างทั่วถึง รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับภาคเอกชน ในการนี้กระทรวงการต่างประเทศจะมีการศึกษาเจาะลึกในแต่ละประเทศในโลกว่าประเทศไทยควรจะมีบทบาทกับแต่ละประเทศอย่างไร ซึ่งอาจจะแตกต่างกัน อาทิบางประเทศอาจร่วมมือกันทางการเมือง การค้า บางประเทศอาจร่วมมือกันในทางการศึกษา การเกษตร วิทยาศาสตร์ หรือสาธารณสุข โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างนโยบายภายในประเทศของไทยกับนโยบายต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
- ประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน จะให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะเน้นความเข้าใจระหว่างกัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดการที่จะเดินทางไปเยือนและทำความรู้จักกับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดในโอกาสแรก
- ACD จะให้ความสำคัญกับ ACD ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่ ซึ่งรวมถึงตะวันออกกลางด้วย (ตามที่เรียกว่า Asia-Wide) ควรมีเวทีความร่วมมือกันที่เหมาะสม ACD จึงเป็นเวทีที่ไม่เป็นทางการแต่มีกลไกการหารือกันระหว่างสมาชิกซึ่งเป็นความคิดริเริ่มที่ดี กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินนโยบายส่งเสริมความร่วมมือในกรอบ ACD อย่างเต็มที่ต่อไป
- ความสัมพันธ์กับภูมิภาคต่างๆ จะให้ความสำคัญกับภูมิภาคแอฟริกาและ
ละตินอเมริกาซึ่งมีขนาดใหญ่และประชากรจำนวนมาก ซึ่งในอดีตประเทศไทยยังไม่มีบทบาทในภูมิภาคดังกล่าวเท่าที่ควร โดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ได้ริเริ่มดำเนินการใน 4 ปีที่ผ่านมา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเพิ่มความสำคัญกับภูมิภาคดังกล่าวต่อไป ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ที่ความสัมพันธ์อยู่ในระดับปกติแล้วก็จะกระชับความสัมพันธ์ต่อไป
- ความสัมพันธ์ในกรอบพหุภาคี จะทำให้ประเทศไทยอยู่ในจอเรดาห์ของนานาประเทศเพื่อให้เกิดความทรงจำในทางที่ดีโดยจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมบทบาทของไทยในกรอบพหุภาคีต่างๆ อาทิในกรอบของสหประชาชาติ
- การสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการรณรงค์สนับสนุนให้ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งจากบทบาทของประเทศไทยในเวทีสหประชาชาติที่มีมาอย่างช้านาน ควบคู่กับความสามารถและประสบการณ์ของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ทำให้รองนายกรัฐมนตรีมีคุณสมบัติความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ
4. นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ได้อยู่ในวงการการเมืองมานาน โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมา 2 สมัย การได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าต่อไปนี้กระทรวงการต่างประเทศน่าจะมีนโยบายเชิงรุกในเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น และจากการได้รับฟังการบรรยายสรุปจากข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศตลอดจนการแนะนำ การแสดงความเห็นของข้าราชการในระหว่างการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับข้าราชการระดับสูงในวันนี้แล้ว มีความสบายใจว่าได้ผู้บังคับบัญชาที่ดี ได้เพื่อนร่วมงานที่ดีในการดูแลกระทรวงการต่างประเทศให้ไปในแนวทางที่เป็นไปได้ในยุคสมัยใหม่กล่าวคือมีนโยบายที่ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรวมถึงความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับจะเป็นผู้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานผู้แทนการค้า สถานทูตสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ สถานทูตสถานกงสุลต่างประเทศในไทย ในการรวบรวมทรัพยากรและสินค้าที่มีค่าของไทย และนำเสนอประเทศคู่ค้าของไทยในเวทีโลก และเห็นว่าสินค้า OTOP และสินค้า SME ของรัฐบาลน่าจะตอบสนองต่อนโยบายเจาะลึกเกี่ยวกับความต้องการสินค้าของตลาดของประเทศต่างๆ ในโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
5. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- สถานะของประเทศไทยใน OIC เกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการไปส่วนหนึ่งแล้วโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มอบหมายให้คณะผู้แทน (Special Envoy) นำโดยนายนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำมาเลเซียเดินทางไปชี้แจงและอธิบายข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ OIC ทราบ ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศก็ได้รับรายงานว่า OIC มีความเข้าใจพร้อมทั้งได้ออกแถลงการณ์แสดงความเข้าใจการดำเนินการของไทยด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการสานต่อเรื่องนี้ให้มีความสืบเนื่องต่อไป โดยเห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ที่ผ่านมามีความโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นการปฏิบัติตามกฏหมายและในฐานะประเทศผู้สังเกตุการณ์ของ OIC กระทรวงการต่างประเทศจะเน้นความสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ OIC อย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับประเทศสมาชิก OIC ด้วย
- ประเด็นสิทธิมนุษยชนในภาคใต้กับการสมัครเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะอธิบายให้ประเทศต่างๆ เข้าใจว่าการดำเนินการของไทยต่อเหตุการณ์ในภาคใต้สามารถอธิบายได้ โดยรัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าวให้มีความยุติธรรมและโปร่งใส ดังนั้นจึงเชื่อว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนจะไม่กระทบต่อกระบวนการการรณรงค์หาเสียงให้ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งในเรื่องนี้แม้ว่าไทยจะไม่ส่งผู้สมัครในตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐบาลก็จะดำเนินการในเรื่องนี้ให้มีความยุติธรรมและโปร่งใสอยู่แล้ว
- นโยบายต่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเด็นทางด้านเศรษฐกิจมีความสำคัญมากกว่าในอดีตอย่างมากและในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนการค้าไทยมีโอกาสได้ทำงานทางด้านเศรษฐกิจซึ่งมีความสำคัญอย่างสูงในเวทีโลก และเห็นว่าในปัจจุบันไทยจึงควรมีนโยบายต่างประเทศที่เน้นความสำคัญทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายทางด้านการเมืองด้วยทั้งนี้ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย
- FTA ไทยจะยังคงดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาต่อไป โดยจะเน้นหลักการที่ว่าการค้าเสรีจะต้องมีความเป็นธรรม (Fair) ซึ่งมีประเทศคู่เจรจาในขณะนี้ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ บาห์เรน อินเดีย เปรู จีน นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ ที่แสดงความสนใจที่จะเจรจา FTA กับไทย อาทิ สหภาพยุโรป กลุ่มประเทศ Mercosur (ซึ่งประกอบด้วยบราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย อูรุกวัย) และชิลี ในการนี้ไทยจะพิจารณาคัดเลือกประเทศคู่เจรจาต่อไป และในขณะเดียวกันไทยจะยังคงความสัมพันธ์ทางด้านการค้ากับ WTO อย่างแข็งขันต่อไปด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจของไทยกับต่างประเทศในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับพหุภาคีจะยังคงดำเนินควบคู่พร้อมกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ภาคเอกชนของไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ และโลกของการค้าเสรี
- สถานะของ FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยความรอบคอบ โดยจะให้ความสำคัญของความยุติธรรมของ FTA มีความสำคัญมากกว่าการเร่งการลงนามแต่ก็จะพยายามไม่ให้ช้า ดังนั้นจะมีการลงนามก็ต่อเมื่อการเจรจามีความสมบูรณ์และความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายแล้ว
- ความสัมพันธ์กับพม่า การดำเนินนโยบายของไทยต่อพม่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นนโยบายเชิงสร้างสรรค์ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งคล้ายกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในอดีต ซึ่งในขณะนั้นหากสหรัฐฯ บังคับให้จีนเปลี่ยนประเทศทันทีก็คงไม่สามารถคงความสัมพันธ์ได้ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ ดังนั้นนโยบายของไทยกับพม่า ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือควรให้โอกาสพม่าในการแก้ไขปัญหาภายใน ประเทศของตนเอง ซึ่งในขณะนี้มีสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศเริ่มเห็นด้วยว่านโยบายต่อพม่าดังกล่าวเป็นนโยบายที่ถูกต้องแล้ว
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-