ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะกลับมาเกินดุลได้ในบางเดือน นางอัจนา
ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัด
น่าจะกลับมาเกินดุลได้ในบางเดือน หลังจากที่ขาดดุลไปมากในช่วงครึ่งปีแรก และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส
สุดท้าย (ต.ค.-ธ.ค.48) น่าจะออกมาดีที่สุด เพราะโดยปกติแล้วไตรมาสสุดท้ายของทุกปี เป็นช่วงฤดูการท่อง
เที่ยวและการส่งออกจะดี ในส่วนของดุลการค้าครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะขาดดุลน้อยลง หรือบางเดือนอาจไม่ขาดดุลก็ได้
เนื่องจากตัวเลขการส่งออกดีขึ้น และตัวเลขการนำเข้าที่จะลดน้อยลง หลังจากที่ครึ่งปีแรกตัวเลขการนำเข้ามากผิด
ปกติ เพราะรายการนำเข้าบางอย่างสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะน้ำมันที่นำเข้ามากถึง 3,300 ล้านดอลลาร์
สรอ. รวมไปถึงเหล็กและทองคำ นำเข้าสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, แนวหน้า)
2. ธปท.คาดความสามารถทำกำไรของ ธพ.ในครึ่งหลังของปีนี้จะไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่
ชะลอตัว รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.ได้ประเมิน
ภาพการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในช่วงครึ่งหลังของปี 48 ภายหลังพบว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2 ของระบบ ธพ.
ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 6.2 โดย ธปท.ยังมองว่าความสามารถทำกำไรในครึ่งหลังของปีนี้ของระบบ
ธพ.จะไม่ถูกกระทบจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
แต่ยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ ธพ.ส่วนใหญ่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเร่งแก้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด
รายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ ธปท.มีความเป็นห่วงคือ อัตรา
ดอกเบี้ยที่แท้จริงของระบบ ธพ. ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนจากการฝากเงินของประชาชนยังอยู่ในระดับต่ำมาก โดย
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือนที่แท้จริง ยังติดลบร้อยละ 4.04 ต่อปี และอัตรา
ดอกเบี้ยออมทรัพย์ติดลบร้อยละ 4.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 29 (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้, แนวหน้า)
3. ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบต่อเดือน ขณะที่เทียบต่อปีเพิ่มขึ้น
ถึงร้อยละ 5.3 สูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป
ของประเทศ (เงินเฟ้อ) ประจำเดือน ก.ค.48 ว่าเท่ากับ 110.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 จากเดือนก่อนหน้า แต่
เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.3 สูงสุดในรอบกว่า 6 ปี นับจากปี 41 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ขณะ
ที่เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.48) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 สำหรับสาเหตุที่
เงินเฟ้อเดือน ก.ค.48 เทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
ร้อยละ 0.6 และดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 อย่างไรก็ตาม ก.
พาณิชย์ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวของเงินเฟ้อปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 3.8-4.2 จากเดิม
ร้อยละ 3.5-4.0 โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 40-42 บาท/ดอลลาร์ สรอ. อัตราดอกเบี้ยซื้อ
คืนเฉลี่ยร้อยละ 2.75 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยกว่า 50 ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล และราคาสินค้าเกษตรเฉลี่ยทั้งปี
อยู่ระหว่างร้อยละ 8-10 (ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์, โลกวันนี้, บ้านเมือง, สยามรัฐ, แนวหน้า, ข่าวสด)
4. การจัดงานเอ็นพีเอ แกรนด์เซลสามารถขายสินทรัพย์ได้สูงกว่าเป้าหมาย ประธานสมาคมสินเชื่อที่
อยู่อาศัย เปิดเผยว่า การจัดงานเอ็นพีเอ แกรนด์เซล ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 29-31 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้าชม
งานมากกว่า 150,000 คน และสามารถขายสินทรัพย์ภายในงานได้ถึง 3,200 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้
ประมาณการไว้ที่ 1,000-2,200 ล้านบาท และสูงกว่าการจัดงานทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าความ
ต้องการและกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยยังมีอยู่อีกมาก ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่ขายสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพี
เอ) ได้มากที่สุด คือ ธ.นครหลวงไทย 630 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นธนาคารที่มียอดขายเอ็นพีเอติดอันดับ 1 ติดต่อกัน
4 ปี รองลงมา คือ ธ.อาคารสงเคราะห์ 350 ล้านบาท และ ธ.กรุงไทย 290 ล้านบาท (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ)
5. การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้ข้อยุติคาดจะมีผลบังคับใช้เดือน ก.ย.49 หัวหน้า
คณะเจรจา (นายพิศาล มาณวพัฒน์) เปิดเผยว่า วานนี้ (1 ส.ค.48) รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม
ของญี่ปุ่น ได้หารือร่วมกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รอง นรม. และรมว.คลัง และ รมว.พาณิชย์ เพื่อหาข้อยุติการ
จัดทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยและญี่ปุ่น เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะลงนามอย่างเป็นทางการใน
เดือน เม.ย.49 ก่อนมีผลบังคับใช้เดือน ก.ย.49 และในเดือน ส.ค.นี้ นรม.ไทยจะเดินทางไปญี่ปุ่น และจะ
ประกาศการทำเอฟทีเอร่วมกันอย่างเป็นทางการ (ไทยรัฐ, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อุตสาหกรรมการผลิตของสรอ. ในเดือน ก.ค.ขยายตัวอย่างรวดเร็ว รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 48 ผลการสำรวจของ Institute for Supply Management — ISM ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัด
กิจกรรมโรงงานของสรอ. ในเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 56.6 เพิ่มขึ้นจาก 53.8 ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากการขยาย
ตัวของยอดคำสั่งซื้อใหม่ รวมทั้งราคาที่ลดลง การขยายตัวดังกล่าวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะ
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 54.5 ส่วนในยุโรปการอ่อนค่าของเงินยูโรและอุปสงค์โลกที่แข็งแกร่งส่งผลให้อุตสาหกรรม
การผลิตในเดือนก.ค. ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น โดย PMI ของยูโรโซนในเดือน ก.ค. ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ
50.8 อย่างไรก็ตามกิจการยังลดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนอังกฤษและฝรั่งเศส PMI อยู่ที่ 49.2 และ
51.9 ตามลำดับ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตของโลกฟื้นตัวโดย PMI ในเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 53.4 จากระดับ
52.3 ในเดือนมิ.ย. (รอยเตอร์)
2. การเปลี่ยนแปลงค่าเงินหยวนอาจทำให้จีดีพีของจีนลดลงร้อยละ 0.5 ภายในสิ้นปี 49 รายงาน
จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 ส.ค.48 State Information Centre ของจีน เปิดเผยว่า การ
ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ในทางทฤษฎีอาจทำให้อัตราการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจของจีนลดลงประมาณร้อยละ 0.5 ในสิ้นปี 49 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปรับค่าเงินหยวนครั้งนี้อยู่ใน
ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอาจจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ ธ.
เพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้คาดการณ์ไว้เช่นกันว่าการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนอาจทำให้เศรษฐกิจของจีนในปี
49 ขยายตัวลดลงร้อยละ 0.25 — 0.50 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของจีนขยายตัวร้อยละ 9.5 ในปี 46 และ 47 และ
ขยายตัวในอัตราเดียวกันในไตรมาส 2 ปี 48 เทียบกับปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเหลือร้อยละ 1.6 ต่อปี
ในเดือน มิ.ย.48 คาดว่าจะลดลงมากกว่าร้อยละ 0.4 ภายในสิ้นปี 49 อันเป็นผลจากการปรับค่าเงินหยวน ด้าน
การส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยคาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.5 ขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
0.2 รวมถึงการจ้างงานที่อาจจะลดลงกว่า 5 แสนคน ในขณะที่อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่าง
รุนแรงจากการปรับค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมเครื่องจักร
กล เป็นต้น ทางด้านการขยายตัวของปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะลดลงร้อยละ 0.4 ภายในสิ้นปี
49 อนึ่ง National Development and Reform Commission ของจีนได้ให้ความเห็นว่า การที่ ธ.กลางจีน
เข้าแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อต้องการดูแลให้เงินหยวนมีเสถียรภาพ ในขณะที่นโยบาย
เศรษฐกิจก็จำเป็นต้องปรับเพื่อให้ความต้องการบริโภคภายในประเทศมีเสถียรภาพเช่นกัน (รอยเตอร์)
3. คาดว่าภาคการผลิตของสิงคโปร์จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 48 รายงานจากสิงคโปร์
เมื่อ 1 ส.ค.48 The Economic Development Board (EDB) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้
ประกอบการภาคอุตสาหกรรม พบว่า ผู้ประกอบการร้อยละ 24 มีมุมมองต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 48
ในแง่ดี เทียบกับผลการสำรวจล่าสุดซึ่งพบว่าผู้ประกอบการร้อยละ 13 มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วง 6
เดือน (เม.ย.-ก.ย.48) และผู้ประกอบการร้อยละ 5 มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาสแรก ทั้งนี้ การ
ที่ผู้ประกอบการเห็นว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 48 จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์มี
แนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 ในเดือน มิ.ย.48 เทียบต่อเดือน โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของผลผลิตโรงงานขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เทียบต่อปี ประกอบกับความคาดหวังว่า
ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ล้วนเป็นเหตุผลให้ผู้ประกอบการมีมุมมองต่อแนว
โน้มธุรกิจในด้านดี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะการแข่งขัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องลดต้น
ทุนการผลิตด้วยการลดกำลังแรงงานลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี อนึ่ง ผลการสำรวจของ EDB สะท้อนความเชื่อ
มั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในด้านดีตั้งแต่ช่วงปลายปี 46 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
4. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ใน
ระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงานจากโซล เมื่อ 1 ส.ค.48 ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้รายงานตัวเลขเบื้องต้นยอดส่ง
ออกในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี
และเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.48 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคา
น้ำมันที่สูงขึ้นโดยเกาหลีใต้ต้องนำเข้าน้ำมันทั้งหมดจากต่างประเทศเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้เป็นผลจากภาวะ
เศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันก็ตาม ทำให้ชิปคอมพิวเตอร์และรถยนต์ซึ่งมีสัด
ส่วน 1 ใน 5 ของยอดส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในเดือน ก.ค.48 เมื่อเทียบกับปีก่อน ใน
ขณะที่ สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานอัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี เพิ่มขึ้น
ในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.45 และอยู่ในระดับต่ำกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี โดยเป็นผล
จากราคาอาหารลดลงซึ่งช่วยชดเชยราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้หลัง
ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสก่อน สูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่งโดยเป็นผลการ
ใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้จาก
ร้อยละ 4.4 เป็น 4.5 ต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 ส.ค. 48 1 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.632 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.5033/41.7867 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.8 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 674.99/ 9.44 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,450/8,550 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 54.11 54.63 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะกลับมาเกินดุลได้ในบางเดือน นางอัจนา
ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัด
น่าจะกลับมาเกินดุลได้ในบางเดือน หลังจากที่ขาดดุลไปมากในช่วงครึ่งปีแรก และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส
สุดท้าย (ต.ค.-ธ.ค.48) น่าจะออกมาดีที่สุด เพราะโดยปกติแล้วไตรมาสสุดท้ายของทุกปี เป็นช่วงฤดูการท่อง
เที่ยวและการส่งออกจะดี ในส่วนของดุลการค้าครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะขาดดุลน้อยลง หรือบางเดือนอาจไม่ขาดดุลก็ได้
เนื่องจากตัวเลขการส่งออกดีขึ้น และตัวเลขการนำเข้าที่จะลดน้อยลง หลังจากที่ครึ่งปีแรกตัวเลขการนำเข้ามากผิด
ปกติ เพราะรายการนำเข้าบางอย่างสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะน้ำมันที่นำเข้ามากถึง 3,300 ล้านดอลลาร์
สรอ. รวมไปถึงเหล็กและทองคำ นำเข้าสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, แนวหน้า)
2. ธปท.คาดความสามารถทำกำไรของ ธพ.ในครึ่งหลังของปีนี้จะไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่
ชะลอตัว รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.ได้ประเมิน
ภาพการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในช่วงครึ่งหลังของปี 48 ภายหลังพบว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2 ของระบบ ธพ.
ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 6.2 โดย ธปท.ยังมองว่าความสามารถทำกำไรในครึ่งหลังของปีนี้ของระบบ
ธพ.จะไม่ถูกกระทบจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
แต่ยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ ธพ.ส่วนใหญ่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเร่งแก้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด
รายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ ธปท.มีความเป็นห่วงคือ อัตรา
ดอกเบี้ยที่แท้จริงของระบบ ธพ. ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนจากการฝากเงินของประชาชนยังอยู่ในระดับต่ำมาก โดย
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือนที่แท้จริง ยังติดลบร้อยละ 4.04 ต่อปี และอัตรา
ดอกเบี้ยออมทรัพย์ติดลบร้อยละ 4.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 29 (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้, แนวหน้า)
3. ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบต่อเดือน ขณะที่เทียบต่อปีเพิ่มขึ้น
ถึงร้อยละ 5.3 สูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป
ของประเทศ (เงินเฟ้อ) ประจำเดือน ก.ค.48 ว่าเท่ากับ 110.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 จากเดือนก่อนหน้า แต่
เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.3 สูงสุดในรอบกว่า 6 ปี นับจากปี 41 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ขณะ
ที่เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.48) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 สำหรับสาเหตุที่
เงินเฟ้อเดือน ก.ค.48 เทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
ร้อยละ 0.6 และดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 อย่างไรก็ตาม ก.
พาณิชย์ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวของเงินเฟ้อปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 3.8-4.2 จากเดิม
ร้อยละ 3.5-4.0 โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 40-42 บาท/ดอลลาร์ สรอ. อัตราดอกเบี้ยซื้อ
คืนเฉลี่ยร้อยละ 2.75 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยกว่า 50 ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล และราคาสินค้าเกษตรเฉลี่ยทั้งปี
อยู่ระหว่างร้อยละ 8-10 (ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์, โลกวันนี้, บ้านเมือง, สยามรัฐ, แนวหน้า, ข่าวสด)
4. การจัดงานเอ็นพีเอ แกรนด์เซลสามารถขายสินทรัพย์ได้สูงกว่าเป้าหมาย ประธานสมาคมสินเชื่อที่
อยู่อาศัย เปิดเผยว่า การจัดงานเอ็นพีเอ แกรนด์เซล ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 29-31 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้าชม
งานมากกว่า 150,000 คน และสามารถขายสินทรัพย์ภายในงานได้ถึง 3,200 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้
ประมาณการไว้ที่ 1,000-2,200 ล้านบาท และสูงกว่าการจัดงานทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าความ
ต้องการและกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยยังมีอยู่อีกมาก ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่ขายสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพี
เอ) ได้มากที่สุด คือ ธ.นครหลวงไทย 630 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นธนาคารที่มียอดขายเอ็นพีเอติดอันดับ 1 ติดต่อกัน
4 ปี รองลงมา คือ ธ.อาคารสงเคราะห์ 350 ล้านบาท และ ธ.กรุงไทย 290 ล้านบาท (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ)
5. การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้ข้อยุติคาดจะมีผลบังคับใช้เดือน ก.ย.49 หัวหน้า
คณะเจรจา (นายพิศาล มาณวพัฒน์) เปิดเผยว่า วานนี้ (1 ส.ค.48) รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม
ของญี่ปุ่น ได้หารือร่วมกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รอง นรม. และรมว.คลัง และ รมว.พาณิชย์ เพื่อหาข้อยุติการ
จัดทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยและญี่ปุ่น เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะลงนามอย่างเป็นทางการใน
เดือน เม.ย.49 ก่อนมีผลบังคับใช้เดือน ก.ย.49 และในเดือน ส.ค.นี้ นรม.ไทยจะเดินทางไปญี่ปุ่น และจะ
ประกาศการทำเอฟทีเอร่วมกันอย่างเป็นทางการ (ไทยรัฐ, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อุตสาหกรรมการผลิตของสรอ. ในเดือน ก.ค.ขยายตัวอย่างรวดเร็ว รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 48 ผลการสำรวจของ Institute for Supply Management — ISM ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัด
กิจกรรมโรงงานของสรอ. ในเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 56.6 เพิ่มขึ้นจาก 53.8 ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากการขยาย
ตัวของยอดคำสั่งซื้อใหม่ รวมทั้งราคาที่ลดลง การขยายตัวดังกล่าวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะ
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 54.5 ส่วนในยุโรปการอ่อนค่าของเงินยูโรและอุปสงค์โลกที่แข็งแกร่งส่งผลให้อุตสาหกรรม
การผลิตในเดือนก.ค. ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น โดย PMI ของยูโรโซนในเดือน ก.ค. ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ
50.8 อย่างไรก็ตามกิจการยังลดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนอังกฤษและฝรั่งเศส PMI อยู่ที่ 49.2 และ
51.9 ตามลำดับ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตของโลกฟื้นตัวโดย PMI ในเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 53.4 จากระดับ
52.3 ในเดือนมิ.ย. (รอยเตอร์)
2. การเปลี่ยนแปลงค่าเงินหยวนอาจทำให้จีดีพีของจีนลดลงร้อยละ 0.5 ภายในสิ้นปี 49 รายงาน
จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 ส.ค.48 State Information Centre ของจีน เปิดเผยว่า การ
ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ในทางทฤษฎีอาจทำให้อัตราการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจของจีนลดลงประมาณร้อยละ 0.5 ในสิ้นปี 49 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปรับค่าเงินหยวนครั้งนี้อยู่ใน
ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอาจจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ ธ.
เพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้คาดการณ์ไว้เช่นกันว่าการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนอาจทำให้เศรษฐกิจของจีนในปี
49 ขยายตัวลดลงร้อยละ 0.25 — 0.50 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของจีนขยายตัวร้อยละ 9.5 ในปี 46 และ 47 และ
ขยายตัวในอัตราเดียวกันในไตรมาส 2 ปี 48 เทียบกับปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเหลือร้อยละ 1.6 ต่อปี
ในเดือน มิ.ย.48 คาดว่าจะลดลงมากกว่าร้อยละ 0.4 ภายในสิ้นปี 49 อันเป็นผลจากการปรับค่าเงินหยวน ด้าน
การส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยคาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.5 ขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
0.2 รวมถึงการจ้างงานที่อาจจะลดลงกว่า 5 แสนคน ในขณะที่อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่าง
รุนแรงจากการปรับค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมเครื่องจักร
กล เป็นต้น ทางด้านการขยายตัวของปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะลดลงร้อยละ 0.4 ภายในสิ้นปี
49 อนึ่ง National Development and Reform Commission ของจีนได้ให้ความเห็นว่า การที่ ธ.กลางจีน
เข้าแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อต้องการดูแลให้เงินหยวนมีเสถียรภาพ ในขณะที่นโยบาย
เศรษฐกิจก็จำเป็นต้องปรับเพื่อให้ความต้องการบริโภคภายในประเทศมีเสถียรภาพเช่นกัน (รอยเตอร์)
3. คาดว่าภาคการผลิตของสิงคโปร์จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 48 รายงานจากสิงคโปร์
เมื่อ 1 ส.ค.48 The Economic Development Board (EDB) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้
ประกอบการภาคอุตสาหกรรม พบว่า ผู้ประกอบการร้อยละ 24 มีมุมมองต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 48
ในแง่ดี เทียบกับผลการสำรวจล่าสุดซึ่งพบว่าผู้ประกอบการร้อยละ 13 มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วง 6
เดือน (เม.ย.-ก.ย.48) และผู้ประกอบการร้อยละ 5 มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาสแรก ทั้งนี้ การ
ที่ผู้ประกอบการเห็นว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 48 จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์มี
แนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 ในเดือน มิ.ย.48 เทียบต่อเดือน โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของผลผลิตโรงงานขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เทียบต่อปี ประกอบกับความคาดหวังว่า
ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ล้วนเป็นเหตุผลให้ผู้ประกอบการมีมุมมองต่อแนว
โน้มธุรกิจในด้านดี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะการแข่งขัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องลดต้น
ทุนการผลิตด้วยการลดกำลังแรงงานลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี อนึ่ง ผลการสำรวจของ EDB สะท้อนความเชื่อ
มั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในด้านดีตั้งแต่ช่วงปลายปี 46 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
4. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ใน
ระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงานจากโซล เมื่อ 1 ส.ค.48 ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้รายงานตัวเลขเบื้องต้นยอดส่ง
ออกในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี
และเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.48 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคา
น้ำมันที่สูงขึ้นโดยเกาหลีใต้ต้องนำเข้าน้ำมันทั้งหมดจากต่างประเทศเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้เป็นผลจากภาวะ
เศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันก็ตาม ทำให้ชิปคอมพิวเตอร์และรถยนต์ซึ่งมีสัด
ส่วน 1 ใน 5 ของยอดส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในเดือน ก.ค.48 เมื่อเทียบกับปีก่อน ใน
ขณะที่ สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานอัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี เพิ่มขึ้น
ในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.45 และอยู่ในระดับต่ำกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี โดยเป็นผล
จากราคาอาหารลดลงซึ่งช่วยชดเชยราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้หลัง
ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสก่อน สูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่งโดยเป็นผลการ
ใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้จาก
ร้อยละ 4.4 เป็น 4.5 ต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 ส.ค. 48 1 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.632 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.5033/41.7867 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.8 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 674.99/ 9.44 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,450/8,550 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 54.11 54.63 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--