ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. คาดว่า
ธ.กลาง สรอ. จะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีกร้อยละ 0.25 จากเดิมร้อย 3.00 เป็น
ร้อยละ 3.25 ในการประชุมวันที่ 29-30 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นเป็นรอบที่ 9 ติดต่อกัน และคาดว่าในการ
ประชุมอย่างน้อยอีก 1 หรือ 2 รอบในปีนี้อาจจะมีการขยับอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ขึ้นไปอยู่ที่ระดับร้อยละ
3.50 — 3.75 โดยปัจจัยที่จะทำให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยประกอบด้วย ภาพรวมเศรษฐกิจของ สรอ. ยังสนับสนุน
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้สัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิต สรอ. จะเริ่มมีความเด่นชัด
มากขึ้น แต่ภาคบริการยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงดำเนินไป แม้
ผู้บริโภคจะถูกกดันจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกและทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ด้านอัตราการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของ สรอ. ยังคงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะไม่ร้อนแรงมากเท่าที่
คาดหวัง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ ซึ่งศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่า หากเฟดตัดสินใจปรับ
ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ผลต่างดอกเบี้ยของไทยและ สรอ. เพิ่มขึ้น และอาจมีน้ำหนักมากขึ้นสำหรับการพิจารณาทิศ
ทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงและดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนว
โน้มขาดดุลในปีนี้ โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. จะยังคงให้น้ำหนักปัจจัยพื้นฐานทาง
เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวนสูง การทยอยลดการอุดหนุนราคา
น้ำมันดีเซล รวมทั้งแนวโน้มการขยับขึ้นราคาสินค้าทั่วไปยังคงเป็นปัจจัยกดดันแนวโน้มเงินเฟ้อของไทยในช่วงที่เหลือ
ของปี และคงจะทำให้วัฎจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มต้องเดินหน้าต่อไป(โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เมกะโปรเจ็คต์อาจส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มสูงขึ้น บล. ภัทร จก. ได้เผยแพร่
รายงานสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ระบุว่า รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์การลงทุนโครงการขนาดใหญ่
หรือเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวตามกรอบของนโยบายที่วางไว้ที่ 1.7 ล้านล้านบาท แต่เม็ด
เงินลงทุนปี 48 จะถูกปรับลดลงจาก 140,000 ล้านบาท เหลือเพียง 60,000 ล้านบาท เพื่อสะท้อนภาวะที่แท้
จริง โดยคาดว่าการดำเนินตามโครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มได้อย่างเร็วที่สุดในปี 49 ทั้งนี้ รัฐบาลเริ่มยอมรับแล้ว
ว่า เมกะโปรเจ็คต์จะส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 3 ของจีดีพี แม้ว่ารัฐบาลจะคาดหวัง
ว่าสามารถใช้นโยบายการซื้อแบบบาร์เตอร์เทรดและการนำเข้าสินค้าทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยลดการขาดุล
บัญชีเดินสะพัดลงเหลือร้อยละ 2 อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะบริหารจัดการปัญหาขาดดุลบัญชีเดิน
สะพัดอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาสูงถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่ง
ผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือ 56,000 ล้านบาท (มติชน)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือน นายสันติ วิลาสศักดา
นนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาค
อุตสาหกรรมไทยในเดือน พ.ค.48 ปรับตัวลดลงอย่างมากอยู่ที่ระดับ 90.5 จากเดือน เม.ย.48 อยู่ที่ระดับ
97.2 ซึ่งถือว่าค่าดัชนีดังกล่าวเป็นระดับที่ต่ำกว่า 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 31
เดือน เนื่องจากค่าดัชนีหลักที่นำมาคำนวณ 4 ใน 5 ตัว ได้ปรับลดลง ประกอบด้วย ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม
ของยอดคำสั่งซื้อ จาก 120.8 เหลือ 111.5 ยอดขาย จาก 116.4 เหลือ 110.3 ต้นทุนผลประกอบการ
จาก 43.4 เหลือ 40.3 และกำไรสุทธิจาก 101.7 เหลือ 91.8 ส่วนที่ปรับเพิ่มคือ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม
ของปริมาณการผลิต จาก 109.4 เป็น 112.7 และประมาณการดัชนีฯ เดือน มิ.ย. คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับ
ต่ำกว่า 100 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าดัชนีรายอุตสาหกรรมเปรียบเทียบจากเดือน เม.ย. และ พ.ค. จากกลุ่ม
อุตสาหกรรมทั้งหมด 33 กลุ่ม พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นลดลง 19 กลุ่ม เพิ่มขึ้น 14 กลุ่ม ขณะเดียวกันพบว่ามีกลุ่ม
อุตสาหกรรมถึง 24 กลุ่ม ที่มีค่าดัชนีต่ำกว่า 100 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การ
ประกอบธุรกิจที่ไม่ดีนัก ซึ่งค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ปรับตัวลดลงเพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใดเข้ามากระตุ้น และผู้
ประกอบการยังกังวลที่ภาครัฐเตรียมปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล โดยไม่ทราบว่าราคาจะปรับขึ้นไปสูงสุดที่เท่าใด
ขณะที่ผู้ประกอบการมีความเห็นสอดคล้องกันว่าต้องการให้รัฐกระตุ้นลดการใช้พลังงาน ดูแลระดับราคาน้ำมันให้อยู่ใน
ระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งจัดระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และต้องการให้ภาครัฐดูแลเรื่องวัตถุดิบที่ขาดแคลน และ
บางประเภทที่ปรับราคาขึ้นค่อนข้างสูง (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
4. อียูเลื่อนคืนจีเอสพีให้ไทยเป็นวันที่ 1 ม.ค.49 นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่าง
ประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะมนตรีสหภาพยุโรป (อียู) ได้พิจารณการคืนสิทธิพิเศษทาง
ภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ให้กับไทย โดยประกาศคืนจีเอสพีให้กับไทยในวันที่ 1 ม.ค.49 จากเดิมที่ประกาศจะคืนจี
เอสพีให้ในวันที่ 1 เม.ย.48 ส่งผลให้สินค้ากุ้งไทยยังต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึงร้อยละ 12 คาดว่าจะทำให้การส่ง
ออกกุ้งไทยลดลงแน่นอน อย่างไรก็ตาม อียูยืนยันที่จะหามาตรการพิเศษให้ความช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยสึนามิ
เช่น อาจจะเพิ่มโควตานำเข้าสินค้ากุ้งให้เป็นพิเศษ โดยคาดว่าจะประกาศได้ก่อนสิ้นปีนี้ (ไทยรัฐ, บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้ที่ร้อยละ 1.0 รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 28 มิ.ย.48 แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยกับ
รอยเตอร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ในรายงานฉบับหน้าของไอเอ็มเอฟ ซึ่งจะเผยแร่ประมาณเดือน ก.ค.จะมีการ
ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้ที่ร้อยละ 1.0 จากที่ประมาณการเมื่อเดือน เม.ย.48
ว่าจะเติบโตร้อยละ 0.8 สอดคล้องกับที่รัฐบาลเยอรมนีประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ในปีนี้ และร้อย
ละ 1.6 ในปี 49 ทั้งนี้ สาเหตุที่ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี เนื่องมาจาก
เศรษฐกิจของเยอรมนีในไตรมาสแรกของปี 48 ขยายตัวแข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับไตร
มาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟได้มีการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปี 49 ลง
เหลือร้อยละ 1.3 จากประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 1.8 ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากไอเอ็มเอฟที่ประจำเยอรมนีใน
สัปดาห์นี้ได้เตรียมจัดทำรายงานมุมมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเยอรมนีที่เรียกกันว่า ”Article IV” และจะ
เผยแพร่ประมาณต้นเดือน ก.ค.48 (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวเยอรมนีลดลงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.48 นี้ รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 มิ.ย.48 ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ชาวเยอรมนีล่วงหน้าสำหรับเดือน ก.ค.48 โดยบริษัทวิจัยตลาด GfK ลดลงมากสุดในรอบ 11 เดือนมาอยู่ที่
ระดับ 3.5 จากระดับ 4.3 ในเดือน มิ.ย.48 และต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.2 จากผลสำรวจ
ความเห็นของคนเยอรมนีจำนวน 2,000 คนโดยรอยเตอร์ อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการ
เลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.48 นี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าเพราะไม่แน่ใจว่า
พรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งหากพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้เป็นรัฐบาลก็จะมีการขึ้นภาษีการค้าจาก
ร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 18 ตามนโยบายของพรรคที่ได้ประกาศไว้ ในขณะที่ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนีจาก
ผลสำรวจโดย Ifo เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนเมื่อธุรกิจในเยอรมนีคาดว่าหลังการ
เลือกตั้งจะมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจ แต่ในขณะนี้ความกลัวว่าภาระค่าใช้จ่ายจะเพิ่ม
ขึ้นมีมากกว่าความหวังที่มากับการเลือกตั้ง ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดค้าปลีกใน
เดือน เม.ย.48 อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี คาดว่าหลังการเลือกตั้งทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ
การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. เดือน พ.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 2.3 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 29 มิ.ย.48 The Ministry of Economy, Trade and Industry เปิดเผยว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial output) ของญี่ปุ่นในเดือน พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
หน้าซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.5 โดยเป็น
การลดลงของผลผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และกล้องถ่ายรูปดิจิตอล โดยเฉพาะการลดลงของผลผลิตรถ
ยนต์ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกไปยังอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางชะลอตัวอย่างมาก นอกจากนี้ มีการคาดการณ์
ว่า ผลผลิตโรงงานซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลผลิตรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในเดือน มิ.ย. และลดลงร้อย
ละ 1.2 ในเดือน ก.ค.48 ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของการส่งออก
โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของญี่ปุ่น โดยการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังจีนในเดือน
พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแนวโน้มที่ดีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการใช้
จ่ายภายในประเทศยังคงมีเสถียรภาพ โดยการใช้จ่ายภายในประเทศได้ช่วยสนับสนุนให้ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ขยายตัวร้อยละ 1.2 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของการส่งออกซึ่งขยายตัวลดลงต่อเนื่อง
เป็นไตรมาสที่ 3 อนึ่ง บรรดานักวิเคราะห์มีความเห็นว่าการขยายตัวของการส่งออกยังคงมีความจำเป็นเนื่องจาก
เป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
4. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกระทบต่อรายได้ของผู้บริโภคอังกฤษ รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 28 มิ.ย
48 บรรดาผู้บริโภคชาวอังกฤษต่างกำลังเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวมทั้งค่าใช้จ่ายในช่วงวัน
หยุดฤดูร้อนที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ประมาณบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ สรอ.นั้นธ.กลางอังกฤษคาดการณ์ว่าจะ
ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคได้เริ่มประหยัดการใช้จ่ายมาตั้งแต่ปลายปี 47 เมื่อธ.กลาง
อังกฤษได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 5 ครั้งในรอบปีครึ่ง เพื่อสิ้นสุดภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบัน
ภาคครัวเรือนกำลังเผชิญกับภาวะงบประมาณจำกัดรอบใหม่ ทั้งนี้โดยเฉลี่ยครอบครัวชาวอังกฤษ 1 ครอบครัวต้อง
จ่ายเกือบ 100 ปอนด์ในทุกๆเดือนเพื่อที่จะเติมน้ำมันคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 จากเมื่อต้นปี และยังมี
แนวโน้มว่าสถานีบริการน้ำมันจะปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Centrica Plc ชี้ว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันในประเทศอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 12
ขณะที่ทั้ง Birtish Airway และ Virgin Atlantic Airway ต่างปรับเพิ่มราคาตั๋วเครื่องบินโดยสารเพื่อให้
เป็นไปตามต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและพลังงานจะทำ
ให้ผู้บริโภคตัดลดงบประมาณการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและการสันทนาการบันเทิงลง ซึ่งคาดว่าธ.กลางอังกฤษจะวิตก
ในผลกระทบดังกล่าวมากกว่าความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ทำให้คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลงในเดือนนี้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายบริโภค(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 มิ.ย. 48 28 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.163 39.263
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 9602/41.2480 39.0915/39.3765
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5625 1.1875 - 1.2800
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 684.68/11.46 698.90/29.26
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,450/8,550 7,400/7,500
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.28 53.92 28.18
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 24.54*/20.59** 24.54*/20.59** 16.99/14.59
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 27 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 27 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. คาดว่า
ธ.กลาง สรอ. จะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีกร้อยละ 0.25 จากเดิมร้อย 3.00 เป็น
ร้อยละ 3.25 ในการประชุมวันที่ 29-30 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นเป็นรอบที่ 9 ติดต่อกัน และคาดว่าในการ
ประชุมอย่างน้อยอีก 1 หรือ 2 รอบในปีนี้อาจจะมีการขยับอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ขึ้นไปอยู่ที่ระดับร้อยละ
3.50 — 3.75 โดยปัจจัยที่จะทำให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยประกอบด้วย ภาพรวมเศรษฐกิจของ สรอ. ยังสนับสนุน
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้สัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิต สรอ. จะเริ่มมีความเด่นชัด
มากขึ้น แต่ภาคบริการยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงดำเนินไป แม้
ผู้บริโภคจะถูกกดันจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกและทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ด้านอัตราการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของ สรอ. ยังคงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะไม่ร้อนแรงมากเท่าที่
คาดหวัง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ ซึ่งศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่า หากเฟดตัดสินใจปรับ
ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ผลต่างดอกเบี้ยของไทยและ สรอ. เพิ่มขึ้น และอาจมีน้ำหนักมากขึ้นสำหรับการพิจารณาทิศ
ทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงและดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนว
โน้มขาดดุลในปีนี้ โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. จะยังคงให้น้ำหนักปัจจัยพื้นฐานทาง
เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวนสูง การทยอยลดการอุดหนุนราคา
น้ำมันดีเซล รวมทั้งแนวโน้มการขยับขึ้นราคาสินค้าทั่วไปยังคงเป็นปัจจัยกดดันแนวโน้มเงินเฟ้อของไทยในช่วงที่เหลือ
ของปี และคงจะทำให้วัฎจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มต้องเดินหน้าต่อไป(โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เมกะโปรเจ็คต์อาจส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มสูงขึ้น บล. ภัทร จก. ได้เผยแพร่
รายงานสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ระบุว่า รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์การลงทุนโครงการขนาดใหญ่
หรือเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวตามกรอบของนโยบายที่วางไว้ที่ 1.7 ล้านล้านบาท แต่เม็ด
เงินลงทุนปี 48 จะถูกปรับลดลงจาก 140,000 ล้านบาท เหลือเพียง 60,000 ล้านบาท เพื่อสะท้อนภาวะที่แท้
จริง โดยคาดว่าการดำเนินตามโครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มได้อย่างเร็วที่สุดในปี 49 ทั้งนี้ รัฐบาลเริ่มยอมรับแล้ว
ว่า เมกะโปรเจ็คต์จะส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 3 ของจีดีพี แม้ว่ารัฐบาลจะคาดหวัง
ว่าสามารถใช้นโยบายการซื้อแบบบาร์เตอร์เทรดและการนำเข้าสินค้าทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยลดการขาดุล
บัญชีเดินสะพัดลงเหลือร้อยละ 2 อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะบริหารจัดการปัญหาขาดดุลบัญชีเดิน
สะพัดอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาสูงถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่ง
ผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือ 56,000 ล้านบาท (มติชน)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือน นายสันติ วิลาสศักดา
นนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาค
อุตสาหกรรมไทยในเดือน พ.ค.48 ปรับตัวลดลงอย่างมากอยู่ที่ระดับ 90.5 จากเดือน เม.ย.48 อยู่ที่ระดับ
97.2 ซึ่งถือว่าค่าดัชนีดังกล่าวเป็นระดับที่ต่ำกว่า 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 31
เดือน เนื่องจากค่าดัชนีหลักที่นำมาคำนวณ 4 ใน 5 ตัว ได้ปรับลดลง ประกอบด้วย ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม
ของยอดคำสั่งซื้อ จาก 120.8 เหลือ 111.5 ยอดขาย จาก 116.4 เหลือ 110.3 ต้นทุนผลประกอบการ
จาก 43.4 เหลือ 40.3 และกำไรสุทธิจาก 101.7 เหลือ 91.8 ส่วนที่ปรับเพิ่มคือ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม
ของปริมาณการผลิต จาก 109.4 เป็น 112.7 และประมาณการดัชนีฯ เดือน มิ.ย. คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับ
ต่ำกว่า 100 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าดัชนีรายอุตสาหกรรมเปรียบเทียบจากเดือน เม.ย. และ พ.ค. จากกลุ่ม
อุตสาหกรรมทั้งหมด 33 กลุ่ม พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นลดลง 19 กลุ่ม เพิ่มขึ้น 14 กลุ่ม ขณะเดียวกันพบว่ามีกลุ่ม
อุตสาหกรรมถึง 24 กลุ่ม ที่มีค่าดัชนีต่ำกว่า 100 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การ
ประกอบธุรกิจที่ไม่ดีนัก ซึ่งค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ปรับตัวลดลงเพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใดเข้ามากระตุ้น และผู้
ประกอบการยังกังวลที่ภาครัฐเตรียมปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล โดยไม่ทราบว่าราคาจะปรับขึ้นไปสูงสุดที่เท่าใด
ขณะที่ผู้ประกอบการมีความเห็นสอดคล้องกันว่าต้องการให้รัฐกระตุ้นลดการใช้พลังงาน ดูแลระดับราคาน้ำมันให้อยู่ใน
ระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งจัดระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และต้องการให้ภาครัฐดูแลเรื่องวัตถุดิบที่ขาดแคลน และ
บางประเภทที่ปรับราคาขึ้นค่อนข้างสูง (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
4. อียูเลื่อนคืนจีเอสพีให้ไทยเป็นวันที่ 1 ม.ค.49 นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่าง
ประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะมนตรีสหภาพยุโรป (อียู) ได้พิจารณการคืนสิทธิพิเศษทาง
ภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ให้กับไทย โดยประกาศคืนจีเอสพีให้กับไทยในวันที่ 1 ม.ค.49 จากเดิมที่ประกาศจะคืนจี
เอสพีให้ในวันที่ 1 เม.ย.48 ส่งผลให้สินค้ากุ้งไทยยังต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึงร้อยละ 12 คาดว่าจะทำให้การส่ง
ออกกุ้งไทยลดลงแน่นอน อย่างไรก็ตาม อียูยืนยันที่จะหามาตรการพิเศษให้ความช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยสึนามิ
เช่น อาจจะเพิ่มโควตานำเข้าสินค้ากุ้งให้เป็นพิเศษ โดยคาดว่าจะประกาศได้ก่อนสิ้นปีนี้ (ไทยรัฐ, บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้ที่ร้อยละ 1.0 รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 28 มิ.ย.48 แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยกับ
รอยเตอร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ในรายงานฉบับหน้าของไอเอ็มเอฟ ซึ่งจะเผยแร่ประมาณเดือน ก.ค.จะมีการ
ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้ที่ร้อยละ 1.0 จากที่ประมาณการเมื่อเดือน เม.ย.48
ว่าจะเติบโตร้อยละ 0.8 สอดคล้องกับที่รัฐบาลเยอรมนีประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ในปีนี้ และร้อย
ละ 1.6 ในปี 49 ทั้งนี้ สาเหตุที่ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี เนื่องมาจาก
เศรษฐกิจของเยอรมนีในไตรมาสแรกของปี 48 ขยายตัวแข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับไตร
มาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟได้มีการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปี 49 ลง
เหลือร้อยละ 1.3 จากประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 1.8 ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากไอเอ็มเอฟที่ประจำเยอรมนีใน
สัปดาห์นี้ได้เตรียมจัดทำรายงานมุมมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเยอรมนีที่เรียกกันว่า ”Article IV” และจะ
เผยแพร่ประมาณต้นเดือน ก.ค.48 (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวเยอรมนีลดลงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.48 นี้ รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 มิ.ย.48 ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ชาวเยอรมนีล่วงหน้าสำหรับเดือน ก.ค.48 โดยบริษัทวิจัยตลาด GfK ลดลงมากสุดในรอบ 11 เดือนมาอยู่ที่
ระดับ 3.5 จากระดับ 4.3 ในเดือน มิ.ย.48 และต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.2 จากผลสำรวจ
ความเห็นของคนเยอรมนีจำนวน 2,000 คนโดยรอยเตอร์ อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการ
เลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.48 นี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าเพราะไม่แน่ใจว่า
พรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งหากพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้เป็นรัฐบาลก็จะมีการขึ้นภาษีการค้าจาก
ร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 18 ตามนโยบายของพรรคที่ได้ประกาศไว้ ในขณะที่ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนีจาก
ผลสำรวจโดย Ifo เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนเมื่อธุรกิจในเยอรมนีคาดว่าหลังการ
เลือกตั้งจะมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจ แต่ในขณะนี้ความกลัวว่าภาระค่าใช้จ่ายจะเพิ่ม
ขึ้นมีมากกว่าความหวังที่มากับการเลือกตั้ง ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดค้าปลีกใน
เดือน เม.ย.48 อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี คาดว่าหลังการเลือกตั้งทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ
การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. เดือน พ.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 2.3 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 29 มิ.ย.48 The Ministry of Economy, Trade and Industry เปิดเผยว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial output) ของญี่ปุ่นในเดือน พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
หน้าซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.5 โดยเป็น
การลดลงของผลผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และกล้องถ่ายรูปดิจิตอล โดยเฉพาะการลดลงของผลผลิตรถ
ยนต์ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกไปยังอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางชะลอตัวอย่างมาก นอกจากนี้ มีการคาดการณ์
ว่า ผลผลิตโรงงานซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลผลิตรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในเดือน มิ.ย. และลดลงร้อย
ละ 1.2 ในเดือน ก.ค.48 ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของการส่งออก
โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของญี่ปุ่น โดยการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังจีนในเดือน
พ.ค.48 ลดลงร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแนวโน้มที่ดีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการใช้
จ่ายภายในประเทศยังคงมีเสถียรภาพ โดยการใช้จ่ายภายในประเทศได้ช่วยสนับสนุนให้ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ขยายตัวร้อยละ 1.2 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของการส่งออกซึ่งขยายตัวลดลงต่อเนื่อง
เป็นไตรมาสที่ 3 อนึ่ง บรรดานักวิเคราะห์มีความเห็นว่าการขยายตัวของการส่งออกยังคงมีความจำเป็นเนื่องจาก
เป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
4. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกระทบต่อรายได้ของผู้บริโภคอังกฤษ รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 28 มิ.ย
48 บรรดาผู้บริโภคชาวอังกฤษต่างกำลังเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวมทั้งค่าใช้จ่ายในช่วงวัน
หยุดฤดูร้อนที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ประมาณบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ สรอ.นั้นธ.กลางอังกฤษคาดการณ์ว่าจะ
ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคได้เริ่มประหยัดการใช้จ่ายมาตั้งแต่ปลายปี 47 เมื่อธ.กลาง
อังกฤษได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 5 ครั้งในรอบปีครึ่ง เพื่อสิ้นสุดภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบัน
ภาคครัวเรือนกำลังเผชิญกับภาวะงบประมาณจำกัดรอบใหม่ ทั้งนี้โดยเฉลี่ยครอบครัวชาวอังกฤษ 1 ครอบครัวต้อง
จ่ายเกือบ 100 ปอนด์ในทุกๆเดือนเพื่อที่จะเติมน้ำมันคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 จากเมื่อต้นปี และยังมี
แนวโน้มว่าสถานีบริการน้ำมันจะปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Centrica Plc ชี้ว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันในประเทศอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 12
ขณะที่ทั้ง Birtish Airway และ Virgin Atlantic Airway ต่างปรับเพิ่มราคาตั๋วเครื่องบินโดยสารเพื่อให้
เป็นไปตามต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและพลังงานจะทำ
ให้ผู้บริโภคตัดลดงบประมาณการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและการสันทนาการบันเทิงลง ซึ่งคาดว่าธ.กลางอังกฤษจะวิตก
ในผลกระทบดังกล่าวมากกว่าความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ทำให้คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลงในเดือนนี้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายบริโภค(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 มิ.ย. 48 28 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.163 39.263
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 9602/41.2480 39.0915/39.3765
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5625 1.1875 - 1.2800
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 684.68/11.46 698.90/29.26
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,450/8,550 7,400/7,500
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.28 53.92 28.18
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 24.54*/20.59** 24.54*/20.59** 16.99/14.59
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 27 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 27 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--