นายองอาจ คล้ามไพบูลญ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาตัวบุคคลที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งคาดว่าวันที่ 26 มิ.ย. พรรคประชาธิปัตย์จะได้ข้อสรุป
จากกรณีที่รัฐบาลออกมากลับลำว่าจะไม่มีการลงมติไว้วางใจล่วงหน้า โดยจะฟังการอภิปรายของฝ่ายค้านก่อน ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มองว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า 1. ไม่กล้าฝืนกระแสของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถยอมรับวิธีการแบบเผด็จการด้วยการลงมติล่วงหน้าทั้งที่ยังไม่มีการอภิปรายได้ 2. เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าคนในรัฐบาลเริ่มมีความไม่มั่นใจ หรือเชื่อมั่นในตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งเดิมเคยบอกว่า มั่นใจและเชื่อมั่นว่าจะสามารถชี้แจงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริตซีทีเอ็กซ์ได้ พร้อมทั้งบอกว่าเชื่อมั่นผลการสอบสวนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นำมาแถลงข่าว จึงได้มีการลงมติล่วงหน้า
‘ตนคิดว่าการที่รัฐบาลลงมติล่วงหน้ากลับไปกลับมาชี้ให้เห็นว่ารัฐบาล และส.ส. ที่สนับสนุนรัฐบาลนั้นเปรียบเสมือนหุ่นยนต์พร้อมที่จะให้ผู้มีอำนาจเหนือกว่ากดปุ่มให้ลงมติอย่างไรก็ได้ และพร้อมที่จะซ้ายหันขวาหันอยู่ตลอดเวลา’ นายองอาจ กล่าว
นอกจากนี้นายองอาจ ยังกล่าวว่า รัฐบาลได้พยายามที่จะฟอกเรื่องนี้ให้ขาวก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยการทำหนังสือสอบถามไปยังสหรัฐอเมริกา และให้สหรัฐอเมริกาตอบกลับมาว่าไม่มีการทุจริต โดยส่งถึงนายคัมภีร์ แก้วเจริญ อัยการสูงสุดของประเทศไทย ล่าสุดทีมงานของอัยการสูงสุดได้แถลงชี้แจงว่า สำนักงานอัยการสูงสุดไม่ได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ และหนังสือที่ตอบกลับมาไม่ได้ส่งถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะฉะนั้นคำถามที่สังคมนี้สงสัยคือ ในเมื่อคุณคัมภีร์ ไม่ได้ทำหนังสือถามไป ทำไมจึงมีหนังสือตอบกลับมา เป็นไปได้หรือไม่ว่า รัฐบาลชุดนี้หลอกต้มคนดูที่กำลังติดตามเรื่องซีทีเอ็กซ์ ด้วยการแอบอ้างทำหนังสือไปยังสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยหลายฉบับ และเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางการทูตด้วย
พรรคประชาธิปัตย์จึงอยากจะขอให้รัฐบาล แถลงชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะถ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมหลอกต้มคนดูขนานใหญ่ของประเทศไทย หลอกต้มพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวเนื่องกับการช่วยเหลือกันในกระบวนการยุติธรรม
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สั่งปิดเว็บไซด์ 92.25 และWWW.THAI-INSIDER.COM โดยอ้างว่า เป็นเว็บไซด์ที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ อันนำมาสู่ภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ถ้ารัฐบาลเห็นว่าเว็บไซด์ทั้ง 2 นำมาสู่ภัยต่อความมั่นคงของชาติก็ควรดำเนินการจับกุมคุมขังตามกฎหมายแต่ปรากฏว่า รัฐบาลใช้วิธีการปิดเว็บไซด์
ข่าวการปิดเว็บไซด์ได้แพร่ไปทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลอาจจะมองเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องทำลายสิทธิเสรีภาพภายในประเทศ เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและมั่นใจในสิทธิเสรีภาพ ก่อให้เกิดผลลบต่อประเทศ ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของสังคมโลก การสั่งปิดเว็บไซด์ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลต่อการให้อันดับความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในอนาคตต่อไป
‘เว็บไซด์ทั้ง 2 ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาของรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะถ้าเว็บนี้เป็นภัย ไม่ทราบว่ารัฐบาลมองภัยความมั่นคงต่อชาติอย่างไรสงสัยว่ารัฐบาลอาจจะเกรงกลัวต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งของรัฐบาลเองมากกว่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ควรจะมีสิทธิ ในการพูด เขียน แสดงความคิดเห็น ใดๆ ที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือไปละเมิดสิทธิบุคคลอื่น’นายองอาจ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวมีเจ้าหน้าที่เข้าไปขอตรวจค้นคอนโดของผู้ดำเนินรายการ นายองอาจ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นโดยไม่มีหมายค้นถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่ว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปอย่างไรรัฐาลก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบที่จะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เช่น กรณีคุณอัญชลี ที่ถูกเตือนให้ระวังตัว เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะเอาจริง จนต้องเลิกจัดรายการ ซึ่งถือเป็นการข่มขู่คุกคามผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้รัฐบาลยุติการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ของพี่น้องประชาชน ถ้าเว็บไซด์เหล่านี้ไปดำเนินการอะไรที่ไปกระทบหรือละเมิดต่อรัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาล รัฐบาลควรจะใช้วิถีทางกฎหมาย มากกว่าที่จะใช้วิธีการสั่งปิดโดยไม่มีความชัดเจนว่าใช้อำนาจอะไร ซึ่งน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 มิ.ย. 2548--จบ--
จากกรณีที่รัฐบาลออกมากลับลำว่าจะไม่มีการลงมติไว้วางใจล่วงหน้า โดยจะฟังการอภิปรายของฝ่ายค้านก่อน ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มองว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า 1. ไม่กล้าฝืนกระแสของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถยอมรับวิธีการแบบเผด็จการด้วยการลงมติล่วงหน้าทั้งที่ยังไม่มีการอภิปรายได้ 2. เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าคนในรัฐบาลเริ่มมีความไม่มั่นใจ หรือเชื่อมั่นในตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งเดิมเคยบอกว่า มั่นใจและเชื่อมั่นว่าจะสามารถชี้แจงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริตซีทีเอ็กซ์ได้ พร้อมทั้งบอกว่าเชื่อมั่นผลการสอบสวนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นำมาแถลงข่าว จึงได้มีการลงมติล่วงหน้า
‘ตนคิดว่าการที่รัฐบาลลงมติล่วงหน้ากลับไปกลับมาชี้ให้เห็นว่ารัฐบาล และส.ส. ที่สนับสนุนรัฐบาลนั้นเปรียบเสมือนหุ่นยนต์พร้อมที่จะให้ผู้มีอำนาจเหนือกว่ากดปุ่มให้ลงมติอย่างไรก็ได้ และพร้อมที่จะซ้ายหันขวาหันอยู่ตลอดเวลา’ นายองอาจ กล่าว
นอกจากนี้นายองอาจ ยังกล่าวว่า รัฐบาลได้พยายามที่จะฟอกเรื่องนี้ให้ขาวก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยการทำหนังสือสอบถามไปยังสหรัฐอเมริกา และให้สหรัฐอเมริกาตอบกลับมาว่าไม่มีการทุจริต โดยส่งถึงนายคัมภีร์ แก้วเจริญ อัยการสูงสุดของประเทศไทย ล่าสุดทีมงานของอัยการสูงสุดได้แถลงชี้แจงว่า สำนักงานอัยการสูงสุดไม่ได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ และหนังสือที่ตอบกลับมาไม่ได้ส่งถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะฉะนั้นคำถามที่สังคมนี้สงสัยคือ ในเมื่อคุณคัมภีร์ ไม่ได้ทำหนังสือถามไป ทำไมจึงมีหนังสือตอบกลับมา เป็นไปได้หรือไม่ว่า รัฐบาลชุดนี้หลอกต้มคนดูที่กำลังติดตามเรื่องซีทีเอ็กซ์ ด้วยการแอบอ้างทำหนังสือไปยังสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยหลายฉบับ และเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางการทูตด้วย
พรรคประชาธิปัตย์จึงอยากจะขอให้รัฐบาล แถลงชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะถ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมหลอกต้มคนดูขนานใหญ่ของประเทศไทย หลอกต้มพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวเนื่องกับการช่วยเหลือกันในกระบวนการยุติธรรม
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สั่งปิดเว็บไซด์ 92.25 และWWW.THAI-INSIDER.COM โดยอ้างว่า เป็นเว็บไซด์ที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ อันนำมาสู่ภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ถ้ารัฐบาลเห็นว่าเว็บไซด์ทั้ง 2 นำมาสู่ภัยต่อความมั่นคงของชาติก็ควรดำเนินการจับกุมคุมขังตามกฎหมายแต่ปรากฏว่า รัฐบาลใช้วิธีการปิดเว็บไซด์
ข่าวการปิดเว็บไซด์ได้แพร่ไปทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลอาจจะมองเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องทำลายสิทธิเสรีภาพภายในประเทศ เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและมั่นใจในสิทธิเสรีภาพ ก่อให้เกิดผลลบต่อประเทศ ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของสังคมโลก การสั่งปิดเว็บไซด์ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลต่อการให้อันดับความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในอนาคตต่อไป
‘เว็บไซด์ทั้ง 2 ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาของรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะถ้าเว็บนี้เป็นภัย ไม่ทราบว่ารัฐบาลมองภัยความมั่นคงต่อชาติอย่างไรสงสัยว่ารัฐบาลอาจจะเกรงกลัวต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งของรัฐบาลเองมากกว่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ควรจะมีสิทธิ ในการพูด เขียน แสดงความคิดเห็น ใดๆ ที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือไปละเมิดสิทธิบุคคลอื่น’นายองอาจ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวมีเจ้าหน้าที่เข้าไปขอตรวจค้นคอนโดของผู้ดำเนินรายการ นายองอาจ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นโดยไม่มีหมายค้นถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่ว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปอย่างไรรัฐาลก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบที่จะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เช่น กรณีคุณอัญชลี ที่ถูกเตือนให้ระวังตัว เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะเอาจริง จนต้องเลิกจัดรายการ ซึ่งถือเป็นการข่มขู่คุกคามผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้รัฐบาลยุติการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ของพี่น้องประชาชน ถ้าเว็บไซด์เหล่านี้ไปดำเนินการอะไรที่ไปกระทบหรือละเมิดต่อรัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาล รัฐบาลควรจะใช้วิถีทางกฎหมาย มากกว่าที่จะใช้วิธีการสั่งปิดโดยไม่มีความชัดเจนว่าใช้อำนาจอะไร ซึ่งน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 มิ.ย. 2548--จบ--