ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 4/2547 ยังคงเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งความเสี่ยงจากสถานการณ์การก่อการร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ สถานการณ์ความไม่สงบในอิรัก ราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง เป็นต้น แต่ญี่ปุ่นยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น เนื่องจากภาวะ เงินฝืดยังตึงตัวไม่คลี่คลาย ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ส่งผลให้เงินตราสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น เช่น ยูโร เยน ไทย เป็นต้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ เพื่อสกัดไม่ให้เงินสกุลของตนแข็งค่าเร็วเกินไปจนกระทบต่อการส่งออก ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาวะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ผลิตในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัว ต่อเนื่องจากภาวะการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป และประเทศต่าง ๆ ใน เอเชีย ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย เกาหลีใต้ ได้ขยายตัวดีขึ้น ในขณะที่อินโดนีเซียเศรษฐกิจค่อนข้างทรงตัว แต่มีเพียงฟิลิปปินส์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ชะลอตัวลงจากการใช้จ่ายภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลง อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น อัตราการว่างงานที่ยังไม่ฟื้นตัวแต่ภาคการผลิตยังคงขยายตัวช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2547 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 4 และชะลอลงเป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2548
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2547 เริ่มชะลอตัวลงบ้าง เป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการที่เร่งตัวมากขึ้นมากขึ้นกว่าปริมาณการส่งออก ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น การระบาดของไข้หวัดนกและสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ทำให้ภาคเอกชนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนออกไป โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2547 จากการประมาณการผลิตภัณฑ์ประชาชาติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2547 อยู่ในระดับร้อยละ 6.7, 6.4 และ 6.0 ตามลำดับ โดยภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.0, 7.0 และ 7.8 ในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ของปี 2547 ตามลำดับ คาดว่าทั้งปี 2547 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 6.2
ในปี 2548 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงและจะมีการลอยตัวค่าน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน รวมทั้งในไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ (สินามิ) ด้วย
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม (ในระดับ ISIC 4 หลัก) พบว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 9.5 ซึ่งดัชนีเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 มีค่า 145.11 เทียบกับ 132.54 ในไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ล้วนมีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงขึ้น อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2546 เนื่องจากความกังวลในปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ยังปรากฎอยู่
ส่วนสถานการณ์ด้านการค้าต่างประเทศ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2547 มูลค่าการส่งออกมีการปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสสามของปี คิดเป็นร้อยละ 4.54 และร้อยละ 20.14 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีการลดลงร้อยละ 1.05 ส่งผลให้ ในไตรมาสที่ 4 การค้าของไทยมีดุลการค้าเกินดุล ในส่วนมูลค่าการส่งออกในไตรมาส 4 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือนแล้ว พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกิน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุกเดือน และเฉพาะในเดือนตุลาคม การส่งออกสูงถึง 9,014.7 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในช่วง 12 เดือน การส่งออกของประเทศไทยมีการ เพิ่มขึ้นในตลาดหลักทุกตลาด โดยเฉพาะในตลาดจีนและอาเซียน มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ ข้อมูลการไหลเข้าสุทธิของการลงทุนโดยตรงจากธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงว่า การลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนตุลาคม 2547 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน แต่ในเดือนพฤศจิกายนกลับมีการลดลงมา อย่างไรก็ตามสถิติการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แสดงว่า การลงทุนจากต่างประเทศในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมได้รับอนุมัติในช่วง 12 เดือนของปี 2547 มีจำนวนโครงการและมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อน
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาวะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยใน ไตรมาสที่ 4 ปี 2547 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตของ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าร้อยละ 7.0 ส่วนสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ดัชนีผลผลิตลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.2 สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในไตรมาสแรกของปี 2548 คาดว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ได้ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ พัดลม รวมถึงตู้เย็นและตู้แช่ เนื่องจากอยู่ในช่วงเตรียมการผลิตเพื่อขายในช่วงฤดูร้อนส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว
เคมีภัณฑ์ ไตรมาส 4 ปี 2547 การนำเข้าเคมีภัณฑ์อนินทรีย์มีมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.81 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ดมีมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 12.48 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30.69 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 4 ปี 2547 การส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.88 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ดมีมูลค่าส่งออก ลดลงร้อยละ 1.14 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเครื่องสำอางหรือสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกายมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 4.97 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี ไตรมาส 4 ปี 2547 การส่งออกปิโตรขั้นต้นมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.61 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ156.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 156.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.90 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับตลาดเม็ดพลาสติกในปี 2548 นี้น่าจะมีแนวโน้มที่สดใดมากขึ้นเนื่องจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกของจีนเริ่มมีผลบังคับใช้ รวมทั้งในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาได้มีการชะลอการสั่งซื้อเม็ดพลาสติกออกไป จึงคาดการณ์ว่าใน ไตรมาส 1 ปี 2548 ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของจีน จะต้องมีคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกกันอย่างมาก
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2547 ขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการขยายตัวขึ้น ทั้งภาคการก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณการส่งออกที่มีการขยายตัวมากขึ้น แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดในประเทศโดยเฉพาะเหล็กก่อสร้างเพิ่มมากขึ้นจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐบาล ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างถนน และสะพานเพื่อเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น รวมทั้งการฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและ โรงแรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 6 จังหวัดภาคใต้อันเนื่องจากเหตุภัยธรณีพิบัติ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2547 เริ่มชะลอตัวลงบ้าง เป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการที่เร่งตัวมากขึ้นมากขึ้นกว่าปริมาณการส่งออก ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น การระบาดของไข้หวัดนกและสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ทำให้ภาคเอกชนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนออกไป โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2547 จากการประมาณการผลิตภัณฑ์ประชาชาติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2547 อยู่ในระดับร้อยละ 6.7, 6.4 และ 6.0 ตามลำดับ โดยภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.0, 7.0 และ 7.8 ในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ของปี 2547 ตามลำดับ คาดว่าทั้งปี 2547 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 6.2
ในปี 2548 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงและจะมีการลอยตัวค่าน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน รวมทั้งในไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ (สินามิ) ด้วย
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม (ในระดับ ISIC 4 หลัก) พบว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 9.5 ซึ่งดัชนีเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 มีค่า 145.11 เทียบกับ 132.54 ในไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ล้วนมีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงขึ้น อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2546 เนื่องจากความกังวลในปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ยังปรากฎอยู่
ส่วนสถานการณ์ด้านการค้าต่างประเทศ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2547 มูลค่าการส่งออกมีการปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสสามของปี คิดเป็นร้อยละ 4.54 และร้อยละ 20.14 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีการลดลงร้อยละ 1.05 ส่งผลให้ ในไตรมาสที่ 4 การค้าของไทยมีดุลการค้าเกินดุล ในส่วนมูลค่าการส่งออกในไตรมาส 4 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือนแล้ว พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกิน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุกเดือน และเฉพาะในเดือนตุลาคม การส่งออกสูงถึง 9,014.7 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในช่วง 12 เดือน การส่งออกของประเทศไทยมีการ เพิ่มขึ้นในตลาดหลักทุกตลาด โดยเฉพาะในตลาดจีนและอาเซียน มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ ข้อมูลการไหลเข้าสุทธิของการลงทุนโดยตรงจากธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงว่า การลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนตุลาคม 2547 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน แต่ในเดือนพฤศจิกายนกลับมีการลดลงมา อย่างไรก็ตามสถิติการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แสดงว่า การลงทุนจากต่างประเทศในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมได้รับอนุมัติในช่วง 12 เดือนของปี 2547 มีจำนวนโครงการและมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อน
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาวะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยใน ไตรมาสที่ 4 ปี 2547 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตของ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าร้อยละ 7.0 ส่วนสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ดัชนีผลผลิตลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.2 สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในไตรมาสแรกของปี 2548 คาดว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ได้ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ พัดลม รวมถึงตู้เย็นและตู้แช่ เนื่องจากอยู่ในช่วงเตรียมการผลิตเพื่อขายในช่วงฤดูร้อนส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว
เคมีภัณฑ์ ไตรมาส 4 ปี 2547 การนำเข้าเคมีภัณฑ์อนินทรีย์มีมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.81 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ดมีมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 12.48 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30.69 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 4 ปี 2547 การส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.88 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ดมีมูลค่าส่งออก ลดลงร้อยละ 1.14 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเครื่องสำอางหรือสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกายมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 4.97 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี ไตรมาส 4 ปี 2547 การส่งออกปิโตรขั้นต้นมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.61 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ156.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 156.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.90 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับตลาดเม็ดพลาสติกในปี 2548 นี้น่าจะมีแนวโน้มที่สดใดมากขึ้นเนื่องจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกของจีนเริ่มมีผลบังคับใช้ รวมทั้งในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาได้มีการชะลอการสั่งซื้อเม็ดพลาสติกออกไป จึงคาดการณ์ว่าใน ไตรมาส 1 ปี 2548 ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของจีน จะต้องมีคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกกันอย่างมาก
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2547 ขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการขยายตัวขึ้น ทั้งภาคการก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณการส่งออกที่มีการขยายตัวมากขึ้น แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดในประเทศโดยเฉพาะเหล็กก่อสร้างเพิ่มมากขึ้นจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐบาล ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างถนน และสะพานเพื่อเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น รวมทั้งการฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและ โรงแรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 6 จังหวัดภาคใต้อันเนื่องจากเหตุภัยธรณีพิบัติ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-