น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ กล่าวอภิปรายนโยบายรัฐบาลในส่วนกระทรวงสาธารณสุข ว่าตนเห็นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำเรื่อง โครงการ 30 บาทฯ และเรื่องการสร้างสุขภาพ ให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในทางปฏิบัติแล้วอยากให้เกิดความเป็นธรรมทั้งโรงพยาบาลขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไข โดยงบประมาณที่ใช้ในการแก้ปัญหาก็เพียง 20,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับโครงการเมกะโปรเจคที่รัฐบาลจะทำใน 4 ปีข้างแล้วน้อยมาก
และการพัฒนาจัดการระบบของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้าง เพราะระบบภายในกระทรวงสาธารณสุขมีช่องโหว่ ปัญหาที่ต้องแก้ไขคือไม่มีโรงพยาบาลอำเภอเมือง จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการรับคนไข้ และปัญหาเรื่องส่งต่อคนไข้ที่มีอาการหนัก เพราะปัจจุบันสถานพยาบาลมีเพียงสถานีอนามัย โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยบาลจังหวัด เท่านั้น
‘โรงพยาบาลจังหวัดก็จรับคนไข้ที่ ส่งต่อมาจากสถานีอนามัย จากโรงพยบาลอำเภอ และยังต้องทำงานดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนัก และต้องดูแลผู้ป่วยในบริเวณอำเภอเมือง ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างแยกแยะ และเป็นระบบ’
หากสามารถแยกส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลจังหวัดออกมาเป็นโรงพยาบาลอำเภอเมือง เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ไปรักษาผู้ป่วยที่ส่งมาจากสถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลอำเภอ และเพื่อนำไปสู่การพัฒนาโรงพยาบาลจังหวัด ยกระดับเป็นโรงพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะทางก็จะมีมากขึ้น
อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการ 30 บาท คือการส่งต่อคนไข้จากที่ทุรกันดาร จำเป็นต้องมีเครื่องมือและยานพาหนะที่พร้อม ทั้งคนไข้คนภูเขา และประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดทั้งการดูแลเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และอสม. ให้มีศักยภาพที่ดีด้วย
การสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิต ปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีผลคือการมีสวนสาธารณะ ในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ตลอดทั้งในชุมชน ซึ่งตนไม่อยากให้มีเพียงการสร้างภาพในเว็ปไซน์ว่ามีการออกกำลังกายในประเทศกว่า80 -90-100% เท่านั้น
และประการหนึ่งคือการป้องกันโรค ปัจุบันมีคนติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น วัณโรค ไข้เลือกออก จำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงจึงต้องเร่งดำเนินการ ตลอดทั้งการส่งเสริมให้บุตรดื่มนมมารดา โดยเพิ่มศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพขึ้นมาเพื่อสอดรับกันด้วย
ด้าน น.พ.วรงค์ เดชกิตวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่าปัญหาหลักของการดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคว่าปัญหาหลักของการดำเนินโครงการคือปัญหาด้านงบประมาณ เช่นในจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นศูนย์กลางของจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง มีโรงพยาบาล 9 โรงส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลติดลบ ซึ่งสวนใหญ่เป็นโรงพยบาลในระดับอำเภอ ที่อยู่ในพื้นที่ยากจน โดย 6 ใน 9 โรงพยบาลมีรายได้ติดลบ
หากดูข้อมูลในหน้าหนังสือพิมพืจะพบว่าประชาชนนิยมใช้บริหารรักษาพยาบาลกับคลินิกเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ยอดการรักษากับโรงพยบาลรัฐบาลลดลง
โดยตนเป็นผู้ปฏิบัติจึงขอแบ่งปัญหาให้เห็นชัดเจน เป็น 2 ส่วนคือปัญหาของเจ้าหน้าที และปัญหาของประชาชน
ปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐบาลควรสำรวจความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่บุคลลากร ในโครงการ 30 บาทฯ เพราะขณะนี้อยู่ภายใต้ภาวะกดดันว่าทุกอย่างต้องประหยัด ส่วนผลกระทบภาคประชาชนในการปฏิบัติมีความจำเป็นต้องลดมาตรฐานยา ทำให้คนไข้ต้องไปซื้อยาข้างนอกโรงพยาบาล ตลอดทั้งไปรับการบริการสถานพยาบาลอื่นนอกโรงพยาบาลของภาครัฐ ซึ่งอันดับแรกในการแก้ปัญหาควรแก้ที่การจัดสรรงบ รัฐบาลประชาสัมพันธ์ เอาความชอบทางสื่อโทรทัศน์ ส่วนภาคปฏิบัติ การบริหการ ที่มีความจำกัดด้านงบประมาณ บุคคลากรต้องเป็นผู้รับกรรมแทน
‘รัฐบาลทำโครงการแก้ปัญหาความยากจน รัฐบาลก็ให้ อสม.เข้าไปดูแลในเรื่องปัญหาความยากจน ไม่กลุ่มบุคคลากรใหนเข้มแข็งเหมือนกลุ่มอสม. ผมอ่านนโยบายรัฐบาลไม่มีการพูดถึง ผมอยากให้รัฐบาลดูแลเรื่องสวัสดิการของอสม. ถ้าเป็นไปได้ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ มีร่างพรบ.อสม. ถ้ารัฐบาลไม่คิดจะเพิ่มสวัสดิการให้อมส.ไม่ป็นไร พรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เข้ามา ขอให้รัฐบาลสนับสนุนด้วย ส.ส.ฝ่ายค้านก็รักประชาชนมากเหมือนกัน ได้โปรดแบ่งปันความรัก ความห่วงใย แก่ประชาชนให้แก่ฝ่ายค้าน กล่าวคือเพียงแต่รับฟังความคิดเห็น และนำไปปฏิบัติเท่านั้นก็พอ’ น.พ.วรงค์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-
และการพัฒนาจัดการระบบของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้าง เพราะระบบภายในกระทรวงสาธารณสุขมีช่องโหว่ ปัญหาที่ต้องแก้ไขคือไม่มีโรงพยาบาลอำเภอเมือง จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการรับคนไข้ และปัญหาเรื่องส่งต่อคนไข้ที่มีอาการหนัก เพราะปัจจุบันสถานพยาบาลมีเพียงสถานีอนามัย โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยบาลจังหวัด เท่านั้น
‘โรงพยาบาลจังหวัดก็จรับคนไข้ที่ ส่งต่อมาจากสถานีอนามัย จากโรงพยบาลอำเภอ และยังต้องทำงานดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนัก และต้องดูแลผู้ป่วยในบริเวณอำเภอเมือง ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างแยกแยะ และเป็นระบบ’
หากสามารถแยกส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลจังหวัดออกมาเป็นโรงพยาบาลอำเภอเมือง เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ไปรักษาผู้ป่วยที่ส่งมาจากสถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลอำเภอ และเพื่อนำไปสู่การพัฒนาโรงพยาบาลจังหวัด ยกระดับเป็นโรงพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะทางก็จะมีมากขึ้น
อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการ 30 บาท คือการส่งต่อคนไข้จากที่ทุรกันดาร จำเป็นต้องมีเครื่องมือและยานพาหนะที่พร้อม ทั้งคนไข้คนภูเขา และประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดทั้งการดูแลเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และอสม. ให้มีศักยภาพที่ดีด้วย
การสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิต ปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีผลคือการมีสวนสาธารณะ ในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ตลอดทั้งในชุมชน ซึ่งตนไม่อยากให้มีเพียงการสร้างภาพในเว็ปไซน์ว่ามีการออกกำลังกายในประเทศกว่า80 -90-100% เท่านั้น
และประการหนึ่งคือการป้องกันโรค ปัจุบันมีคนติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น วัณโรค ไข้เลือกออก จำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงจึงต้องเร่งดำเนินการ ตลอดทั้งการส่งเสริมให้บุตรดื่มนมมารดา โดยเพิ่มศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพขึ้นมาเพื่อสอดรับกันด้วย
ด้าน น.พ.วรงค์ เดชกิตวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่าปัญหาหลักของการดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคว่าปัญหาหลักของการดำเนินโครงการคือปัญหาด้านงบประมาณ เช่นในจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นศูนย์กลางของจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง มีโรงพยาบาล 9 โรงส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลติดลบ ซึ่งสวนใหญ่เป็นโรงพยบาลในระดับอำเภอ ที่อยู่ในพื้นที่ยากจน โดย 6 ใน 9 โรงพยบาลมีรายได้ติดลบ
หากดูข้อมูลในหน้าหนังสือพิมพืจะพบว่าประชาชนนิยมใช้บริหารรักษาพยาบาลกับคลินิกเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ยอดการรักษากับโรงพยบาลรัฐบาลลดลง
โดยตนเป็นผู้ปฏิบัติจึงขอแบ่งปัญหาให้เห็นชัดเจน เป็น 2 ส่วนคือปัญหาของเจ้าหน้าที และปัญหาของประชาชน
ปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐบาลควรสำรวจความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่บุคลลากร ในโครงการ 30 บาทฯ เพราะขณะนี้อยู่ภายใต้ภาวะกดดันว่าทุกอย่างต้องประหยัด ส่วนผลกระทบภาคประชาชนในการปฏิบัติมีความจำเป็นต้องลดมาตรฐานยา ทำให้คนไข้ต้องไปซื้อยาข้างนอกโรงพยาบาล ตลอดทั้งไปรับการบริการสถานพยาบาลอื่นนอกโรงพยาบาลของภาครัฐ ซึ่งอันดับแรกในการแก้ปัญหาควรแก้ที่การจัดสรรงบ รัฐบาลประชาสัมพันธ์ เอาความชอบทางสื่อโทรทัศน์ ส่วนภาคปฏิบัติ การบริหการ ที่มีความจำกัดด้านงบประมาณ บุคคลากรต้องเป็นผู้รับกรรมแทน
‘รัฐบาลทำโครงการแก้ปัญหาความยากจน รัฐบาลก็ให้ อสม.เข้าไปดูแลในเรื่องปัญหาความยากจน ไม่กลุ่มบุคคลากรใหนเข้มแข็งเหมือนกลุ่มอสม. ผมอ่านนโยบายรัฐบาลไม่มีการพูดถึง ผมอยากให้รัฐบาลดูแลเรื่องสวัสดิการของอสม. ถ้าเป็นไปได้ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ มีร่างพรบ.อสม. ถ้ารัฐบาลไม่คิดจะเพิ่มสวัสดิการให้อมส.ไม่ป็นไร พรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เข้ามา ขอให้รัฐบาลสนับสนุนด้วย ส.ส.ฝ่ายค้านก็รักประชาชนมากเหมือนกัน ได้โปรดแบ่งปันความรัก ความห่วงใย แก่ประชาชนให้แก่ฝ่ายค้าน กล่าวคือเพียงแต่รับฟังความคิดเห็น และนำไปปฏิบัติเท่านั้นก็พอ’ น.พ.วรงค์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-