จีนเป็นประเทศที่มีการบริโภคเนื้อสุกรมากที่สุดในโลก ในบรรดาเมืองต่าง ๆ ของจีนนั้น เซี่ยงไฮ้เป็นตลาดเนื้อสุกรที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของจีน เพราะนอกจากเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้ารวมถึงเนื้อสุกรไปยังมณฑลอื่น ๆ ทั่วประเทศแล้ว เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าสูงถึงเกือบครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในจีน ซึ่งมีส่วนผลักดันให้
ชาวเซี่ยงไฮ้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมาก นอกเหนือจากปัจจัยสนับสนุนข้างต้นแล้ว ตลาดเซี่ยงไฮ้ที่มีขนาดใหญ่ด้วยจำนวน
ประชากรสูงถึงเกือบ 20 ล้านคน ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคเนื้อสุกรในเซี่ยงไฮ้ที่เพิ่มขึ้นมากหลังจีนเกิด
การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีก และสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าเนื้อวัวสำคัญของจีนประสบปัญหา
โรควัวบ้า เซี่ยงไฮ้จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพค่อนข้างสูงในการเข้าไปเจาะตลาดเนื้อสุกร
ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจสำหรับการส่งออกเนื้อสุกรไปเซี่ยงไฮ้ มีดังนี้
* รสนิยมของผู้บริโภค ชาวเซี่ยงไฮ้นิยมใช้เนื้อสุกรเป็นส่วนประกอบในอาหารที่รับประทานประจำวัน
อาทิ ลูกชิ้น ซาลาเปา ตุ๋น และซุป เช่นเดียวกับชาวจีนทั่วไป เนื่องจากเนื้อสุกรหาซื้อง่าย และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย อีกทั้งชาวจีนมีความเชื่อว่าบางส่วนของสุกร อาทิ หู เท้า และเครื่องใน เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ นอกจากนี้ เนื้อสุกรคุณภาพดีมีแนวโน้มได้รับการตอบรับจากชาวเซี่ยงไฮ้มากขึ้น เนื่องจาก
- จำนวนชนชั้นกลางในเซี่ยงไฮ้มีมากขึ้น ผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพ และ
สุขอนามัยของเนื้อสุกรที่ใช้บริโภค จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นหลัก
- ชาวเซี่ยงไฮ้หันมานิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารทั่วไป
และร้านอาหารในโรงแรม ส่งผลให้ในปี 2547 ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมมีความต้องการใช้เนื้อหมูเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 20 ทั้งนี้ เนื้อหมูที่นิยมใช้ คือ เนื้อหมูคุณภาพดี โดยนำมาประกอบอาหารทั้งอาหารจีน และอาหารของ
ชาติตะวันตก
- การขยายตัวอย่างรวดเร็วของไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต ด้วยจำนวนสาขาที่
มากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคเดินทางไปซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีสินค้าคุณภาพดีให้เลือก
อย่างหลากหลาย ส่งผลให้ชาวเซี่ยงไฮ้เริ่มหันมาซื้อเนื้อสุกรคุณภาพดีจากไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต
มากขึ้นแทนการซื้อจากตลาดสดซึ่งแม้เป็นแหล่งจำหน่ายเนื้อสุกรใหญ่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้แต่ยังมีปัญหาเรื่องสุขอนามัย
* แหล่งสุกรนำเข้าสำคัญของจีน คือ สหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 43 ของปริมาณเนื้อสุกรที่จีนนำเข้า
ทั้งหมดในปี 2547) และแคนาดา (สัดส่วนร้อยละ 33)
* ภาษีนำเข้า ภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนตกลง
ลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกรประเภทต่าง ๆ ที่จีนตกลงลดภาษีให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน
ดังนี้ เนื้อสุกรสดแช่เย็นลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติ (Most Favored Nation Rate : MFN Rate) ร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 5 ในปี 2548 และร้อยละ 0 ในปี 2549 เนื้อสุกรสดแช่แข็งลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติร้อยละ 13.6 เหลือร้อยละ 0 ในปี 2548 และเนื้อสุกรแปรรูปลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2548 ร้อยละ 12 ในปี 2549 ร้อยละ 5 ในปี 2551 และร้อยละ 0 ในปี 2553
* มาตรการด้านสุขอนามัย โรงงานผลิตเนื้อสุกรและเนื้อสุกรที่นำเข้ามาจำหน่ายในจีนต้องได้รับ
ใบรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศผู้ส่งออก (ในกรณีของประเทศไทยหน่วยงาน
ที่เป็นผู้ให้การรับรอง คือ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ขณะเดียวกันผู้นำเข้าก็ต้องยื่นขอรับ
การตรวจสอบด้านสุขอนามัยที่องค์กรควบคุมสุขอนามัยของจีนด้วย นอกจากนี้ จีนยังกำหนดให้เนื้อสัตว์รวมถึง
เนื้อสุกรที่นำเข้าผ่านฮ่องกงต้องผ่านการตรวจสอบจาก China - Hong Kong Inspection Company ก่อน ทั้งนี้นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547
* การปิดฉลากสินค้า ฉลากสินค้าเนื้อสุกรต้องแสดงชื่อสินค้า น้ำหนัก ประเภท ชื่อบริษัท
วันเดือนปีที่ผลิต และเงื่อนไขการเก็บรักษา
แม้ปัจจุบันไทยยังไม่มีการส่งออกเนื้อสุกรไปจีน อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการไทยเร่งพัฒนาคุณภาพ
เนื้อสุกรอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากการที่จีนลดภาษีนำเข้าเนื้อสุกรให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน
รวมทั้งไทยภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ขณะที่แหล่งนำเข้าเนื้อสุกรสำคัญของจีน อาทิ สหรัฐฯ และ แคนาดา ยังคงถูกจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง จึงเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกเนื้อสุกรคุณภาพดีไปจีน โดยเฉพาะตลาดที่น่าสนใจอย่างเซี่ยงไฮ้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กรกฎาคม 2548--
-พห-
ชาวเซี่ยงไฮ้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมาก นอกเหนือจากปัจจัยสนับสนุนข้างต้นแล้ว ตลาดเซี่ยงไฮ้ที่มีขนาดใหญ่ด้วยจำนวน
ประชากรสูงถึงเกือบ 20 ล้านคน ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคเนื้อสุกรในเซี่ยงไฮ้ที่เพิ่มขึ้นมากหลังจีนเกิด
การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีก และสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าเนื้อวัวสำคัญของจีนประสบปัญหา
โรควัวบ้า เซี่ยงไฮ้จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพค่อนข้างสูงในการเข้าไปเจาะตลาดเนื้อสุกร
ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจสำหรับการส่งออกเนื้อสุกรไปเซี่ยงไฮ้ มีดังนี้
* รสนิยมของผู้บริโภค ชาวเซี่ยงไฮ้นิยมใช้เนื้อสุกรเป็นส่วนประกอบในอาหารที่รับประทานประจำวัน
อาทิ ลูกชิ้น ซาลาเปา ตุ๋น และซุป เช่นเดียวกับชาวจีนทั่วไป เนื่องจากเนื้อสุกรหาซื้อง่าย และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย อีกทั้งชาวจีนมีความเชื่อว่าบางส่วนของสุกร อาทิ หู เท้า และเครื่องใน เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ นอกจากนี้ เนื้อสุกรคุณภาพดีมีแนวโน้มได้รับการตอบรับจากชาวเซี่ยงไฮ้มากขึ้น เนื่องจาก
- จำนวนชนชั้นกลางในเซี่ยงไฮ้มีมากขึ้น ผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพ และ
สุขอนามัยของเนื้อสุกรที่ใช้บริโภค จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นหลัก
- ชาวเซี่ยงไฮ้หันมานิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารทั่วไป
และร้านอาหารในโรงแรม ส่งผลให้ในปี 2547 ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมมีความต้องการใช้เนื้อหมูเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 20 ทั้งนี้ เนื้อหมูที่นิยมใช้ คือ เนื้อหมูคุณภาพดี โดยนำมาประกอบอาหารทั้งอาหารจีน และอาหารของ
ชาติตะวันตก
- การขยายตัวอย่างรวดเร็วของไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต ด้วยจำนวนสาขาที่
มากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคเดินทางไปซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีสินค้าคุณภาพดีให้เลือก
อย่างหลากหลาย ส่งผลให้ชาวเซี่ยงไฮ้เริ่มหันมาซื้อเนื้อสุกรคุณภาพดีจากไฮเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์มาร์เก็ต
มากขึ้นแทนการซื้อจากตลาดสดซึ่งแม้เป็นแหล่งจำหน่ายเนื้อสุกรใหญ่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้แต่ยังมีปัญหาเรื่องสุขอนามัย
* แหล่งสุกรนำเข้าสำคัญของจีน คือ สหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 43 ของปริมาณเนื้อสุกรที่จีนนำเข้า
ทั้งหมดในปี 2547) และแคนาดา (สัดส่วนร้อยละ 33)
* ภาษีนำเข้า ภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนตกลง
ลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกรประเภทต่าง ๆ ที่จีนตกลงลดภาษีให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน
ดังนี้ เนื้อสุกรสดแช่เย็นลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติ (Most Favored Nation Rate : MFN Rate) ร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 5 ในปี 2548 และร้อยละ 0 ในปี 2549 เนื้อสุกรสดแช่แข็งลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติร้อยละ 13.6 เหลือร้อยละ 0 ในปี 2548 และเนื้อสุกรแปรรูปลดภาษีนำเข้าจากอัตราปกติร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2548 ร้อยละ 12 ในปี 2549 ร้อยละ 5 ในปี 2551 และร้อยละ 0 ในปี 2553
* มาตรการด้านสุขอนามัย โรงงานผลิตเนื้อสุกรและเนื้อสุกรที่นำเข้ามาจำหน่ายในจีนต้องได้รับ
ใบรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศผู้ส่งออก (ในกรณีของประเทศไทยหน่วยงาน
ที่เป็นผู้ให้การรับรอง คือ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ขณะเดียวกันผู้นำเข้าก็ต้องยื่นขอรับ
การตรวจสอบด้านสุขอนามัยที่องค์กรควบคุมสุขอนามัยของจีนด้วย นอกจากนี้ จีนยังกำหนดให้เนื้อสัตว์รวมถึง
เนื้อสุกรที่นำเข้าผ่านฮ่องกงต้องผ่านการตรวจสอบจาก China - Hong Kong Inspection Company ก่อน ทั้งนี้นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547
* การปิดฉลากสินค้า ฉลากสินค้าเนื้อสุกรต้องแสดงชื่อสินค้า น้ำหนัก ประเภท ชื่อบริษัท
วันเดือนปีที่ผลิต และเงื่อนไขการเก็บรักษา
แม้ปัจจุบันไทยยังไม่มีการส่งออกเนื้อสุกรไปจีน อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการไทยเร่งพัฒนาคุณภาพ
เนื้อสุกรอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากการที่จีนลดภาษีนำเข้าเนื้อสุกรให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน
รวมทั้งไทยภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ขณะที่แหล่งนำเข้าเนื้อสุกรสำคัญของจีน อาทิ สหรัฐฯ และ แคนาดา ยังคงถูกจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง จึงเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกเนื้อสุกรคุณภาพดีไปจีน โดยเฉพาะตลาดที่น่าสนใจอย่างเซี่ยงไฮ้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กรกฎาคม 2548--
-พห-