1. สถานการณ์ปัจจุบัน
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2547 มีประมาณ 12,667,591 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก ) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.88 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กขั้นปลายมีการขยายตัวมากที่สุด ร้อยละ 41.82 รองลงมาคือเหล็กแผ่นเคลือบชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 36.39 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.14
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วง ปี 2547 ประมาณ 12,416,920 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 19.39 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเหล็กทรงยาวมีการขยายตัว ร้อยละ 22.01 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งต้องเร่งก่อสร้างให้เสร็จทันกำหนดเวลาเปิดบริการใช้ในเดือนกันยายน 2548 ขณะที่เหล็กทรงแบนขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.47 เนื่องจากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในช่วง ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 209,436 ล้านบาท และ 10,368,392 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของมูลค่าและปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 59.19 และ 19.27 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต เหล็กแท่งแบน และเหล็กแผ่นบางรีดร้อน คิดเป็นมูลค่า 40,930 32,843 และ 30,186 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการนำเข้าในปีนี้เทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 128.69 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ชนิดเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต เพิ่มขึ้น ร้อยละ 124.95 และ เหล็กแผ่นหนารีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 96.07
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าใน ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 48,690 ล้านบาท และ 1,837,504 ตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงมูลค่าและปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.61และ 11.13 ตามลำดับ ซึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงปีนี้คือ อเมริกา แคนาดา และฮ่องกง ผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิมและเหล็กแผ่นบางรีดร้อน โดยมีมูลค่า 9,281 7,892 และ 6,882 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกในปีนี้เทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 591.01 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของผลิตภัณฑ์นี้ คือ อเมริกา รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 130.05
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กในปี 2547 ขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวขึ้น ทั้งธุรกิจภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนในช่วงปีนี้ โดยการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.88 การใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.61 โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวมีการขยายตัวของการใช้ในประเทศ ร้อยละ 22.01 จากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เ หล็กทรงแบนมีปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.18 สำหรับปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.27 และ 59.19 ตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าเหล็กกึ่งสำเร็จรูปจากประเทศยูเครนและบราซิลเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ขณะเดียวกันการส่งออกในปีนี้มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นร้อยละ 11.13 และ 43.61 ตามลำดับ โดยเฉพาะเหล็กแผ่นบางรีดร้อนซึ่งมีการขยายตัวของการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์เหล็กในตลาดโลก นั้น จากรายงานของ IISI (International Iron & Steel Institute) พบว่าผลผลิตเหล็กกล้าของโลก (จนถึง 20 ธันวาคม 2547) มีปริมาณเกิน 1,000 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่มีการผลิตเกินระดับดังกล่าวในระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้การผลิตในปี 2548 คาดว่าจะเกิน 1,000 ล้านตันเช่นเดียวกัน ในช่วงระยะเวลา 11 เดือน ของปี 2547 การผลิตเหล็กอยู่ที่ระดับ 945.2 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9 โดยประเทศในเอเชียเพียงทวีปเดียว สามารถผลิตได้มากถึง 439.2 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของผลผลิตเหล็กทั่วโลก
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของ ปี 2547 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและโครงการก่อสร้างต่างๆ ภายในประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายภูมิภาคของโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กโดยเฉลี่ยโดยประมาณในปี 2547 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วของผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญเป็น ดังนี้ ราคาเศษเหล็ก ชนิด Shredded จาก EU เพิ่มขึ้นจาก 150 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 245 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่าทะเลดำ เพิ่มขึ้นจาก 245 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 356 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาเหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่าทะเลดำ เพิ่มขึ้นจาก 248 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 458 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นต้น
3.แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2547 เนื่องจากปัจจัยทางด้านบวกจากความต้องการทั้งตลาดในประเทศจากนโยบายการช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก คือ นโยบายการทำโครงการเมกกะโปรเจ็คด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างถนน สะพานเพื่อเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน และนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยโดยมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นหน่วยงานหลักในการสานต่อนโยบายด้านที่อยู่อาศัยเพื่อจัดสร้างบ้านให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยภาครัฐจะอนุมัติให้ทำโครงการต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการบ้านมั่นคง และมีโครงการที่ผ่านทางธนาคารอาคารสงเคราะห์อีก 2 โครงการ คือ โครงการธอส.-กบข. ที่ให้ข้าราชการสมาชิกกบข.ซื้อที่อยู่อาศัย และโครงการที่ ธอส.เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเองกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบกับการฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและโรงแรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 6 จังหวัดภาคใต้อันเนื่องจากเหตุภัยธรณีพิบัติ (คลื่นยักษ์สึนามิ) ซึ่งจากปัจจัยบวกเหล่านี้ล้วนทำให้ต้องมีการใช้เหล็กก่อสร้างเป็นปริมาณมาก ขณะเดียวกันความต้องการของตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนจากการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศลดภาษีนำเข้าเหล็กรีดร้อน (HR carbon steel) ที่กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันการอุดหนุนในสินค้า HR carbon steel ของไทยลงเหลือร้อยละ 1.8 หลังจากที่ตรวจสอบพบว่าประเทศไทยไม่มีการอุดหนุนสินค้าที่ส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้\มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2547 จึงมีผลให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยทางด้านลบที่พึงระวังได้แก่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการผลิตเหล็กลวด ( wire rod ) น๊อตและสกรู ( fastener) ในปี 2548 คาดว่าจะเพิ่มปริมาณสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตในประเทศวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตภายในช่วงต้นปี โดยกำลังการผลิต wire rod จะเพิ่มขึ้นจาก 95,000 ตันต่อปี เป็น 168,000 ตันต่อปี ทั้งนี้แผนการขยายการผลิตดังกล่าวจะรวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต fastener ด้วย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2547 มีประมาณ 12,667,591 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก ) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.88 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กขั้นปลายมีการขยายตัวมากที่สุด ร้อยละ 41.82 รองลงมาคือเหล็กแผ่นเคลือบชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 36.39 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.14
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วง ปี 2547 ประมาณ 12,416,920 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 19.39 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเหล็กทรงยาวมีการขยายตัว ร้อยละ 22.01 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งต้องเร่งก่อสร้างให้เสร็จทันกำหนดเวลาเปิดบริการใช้ในเดือนกันยายน 2548 ขณะที่เหล็กทรงแบนขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.47 เนื่องจากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในช่วง ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 209,436 ล้านบาท และ 10,368,392 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของมูลค่าและปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 59.19 และ 19.27 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต เหล็กแท่งแบน และเหล็กแผ่นบางรีดร้อน คิดเป็นมูลค่า 40,930 32,843 และ 30,186 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการนำเข้าในปีนี้เทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 128.69 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ชนิดเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต เพิ่มขึ้น ร้อยละ 124.95 และ เหล็กแผ่นหนารีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 96.07
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าใน ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 48,690 ล้านบาท และ 1,837,504 ตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงมูลค่าและปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.61และ 11.13 ตามลำดับ ซึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงปีนี้คือ อเมริกา แคนาดา และฮ่องกง ผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิมและเหล็กแผ่นบางรีดร้อน โดยมีมูลค่า 9,281 7,892 และ 6,882 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกในปีนี้เทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 591.01 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของผลิตภัณฑ์นี้ คือ อเมริกา รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 130.05
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กในปี 2547 ขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวขึ้น ทั้งธุรกิจภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนในช่วงปีนี้ โดยการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.88 การใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.61 โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวมีการขยายตัวของการใช้ในประเทศ ร้อยละ 22.01 จากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เ หล็กทรงแบนมีปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.18 สำหรับปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.27 และ 59.19 ตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าเหล็กกึ่งสำเร็จรูปจากประเทศยูเครนและบราซิลเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ขณะเดียวกันการส่งออกในปีนี้มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นร้อยละ 11.13 และ 43.61 ตามลำดับ โดยเฉพาะเหล็กแผ่นบางรีดร้อนซึ่งมีการขยายตัวของการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์เหล็กในตลาดโลก นั้น จากรายงานของ IISI (International Iron & Steel Institute) พบว่าผลผลิตเหล็กกล้าของโลก (จนถึง 20 ธันวาคม 2547) มีปริมาณเกิน 1,000 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่มีการผลิตเกินระดับดังกล่าวในระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้การผลิตในปี 2548 คาดว่าจะเกิน 1,000 ล้านตันเช่นเดียวกัน ในช่วงระยะเวลา 11 เดือน ของปี 2547 การผลิตเหล็กอยู่ที่ระดับ 945.2 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9 โดยประเทศในเอเชียเพียงทวีปเดียว สามารถผลิตได้มากถึง 439.2 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของผลผลิตเหล็กทั่วโลก
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของ ปี 2547 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและโครงการก่อสร้างต่างๆ ภายในประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายภูมิภาคของโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กโดยเฉลี่ยโดยประมาณในปี 2547 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วของผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญเป็น ดังนี้ ราคาเศษเหล็ก ชนิด Shredded จาก EU เพิ่มขึ้นจาก 150 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 245 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่าทะเลดำ เพิ่มขึ้นจาก 245 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 356 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาเหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่าทะเลดำ เพิ่มขึ้นจาก 248 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 458 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นต้น
3.แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2547 เนื่องจากปัจจัยทางด้านบวกจากความต้องการทั้งตลาดในประเทศจากนโยบายการช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก คือ นโยบายการทำโครงการเมกกะโปรเจ็คด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างถนน สะพานเพื่อเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน และนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยโดยมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นหน่วยงานหลักในการสานต่อนโยบายด้านที่อยู่อาศัยเพื่อจัดสร้างบ้านให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยภาครัฐจะอนุมัติให้ทำโครงการต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการบ้านมั่นคง และมีโครงการที่ผ่านทางธนาคารอาคารสงเคราะห์อีก 2 โครงการ คือ โครงการธอส.-กบข. ที่ให้ข้าราชการสมาชิกกบข.ซื้อที่อยู่อาศัย และโครงการที่ ธอส.เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเองกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบกับการฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและโรงแรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 6 จังหวัดภาคใต้อันเนื่องจากเหตุภัยธรณีพิบัติ (คลื่นยักษ์สึนามิ) ซึ่งจากปัจจัยบวกเหล่านี้ล้วนทำให้ต้องมีการใช้เหล็กก่อสร้างเป็นปริมาณมาก ขณะเดียวกันความต้องการของตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนจากการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศลดภาษีนำเข้าเหล็กรีดร้อน (HR carbon steel) ที่กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันการอุดหนุนในสินค้า HR carbon steel ของไทยลงเหลือร้อยละ 1.8 หลังจากที่ตรวจสอบพบว่าประเทศไทยไม่มีการอุดหนุนสินค้าที่ส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้\มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2547 จึงมีผลให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยทางด้านลบที่พึงระวังได้แก่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการผลิตเหล็กลวด ( wire rod ) น๊อตและสกรู ( fastener) ในปี 2548 คาดว่าจะเพิ่มปริมาณสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตในประเทศวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตภายในช่วงต้นปี โดยกำลังการผลิต wire rod จะเพิ่มขึ้นจาก 95,000 ตันต่อปี เป็น 168,000 ตันต่อปี ทั้งนี้แผนการขยายการผลิตดังกล่าวจะรวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต fastener ด้วย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-