แท็ก
อุตสาหกรรมอาหาร
อุตสาหกรรมอาหาร
1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทราย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2548 เนื่องจากการผลิตในกลุ่มปศุสัตว์และกลุ่มอาหารสัตว์ขยายตัวเพิ่มขึ้นและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 1 (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้ง แต่หากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวลดลงอย่างมาก ประมาณร้อยละ 56 เนื่องจากเป็นช่วงปิดหีบการผลิต สำหรับภาวะการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 พบว่า อัตราการผลิตหดตัวลง ร้อยละ 56.3 ตามการลดลงของผลผลิตอ้อยจากสภาวะแห้งแล้ง
การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตพืชผลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักลดลง ได้แก่ กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูการผลิต แต่ปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 11.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และ ธัญพืช ลดลงร้อยละ 32.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 12.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลเชื่อมโยงให้การผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน สำหรับการผลิตสินค้าแปรรูปปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหา ไข้หวัดนกลดลง และสามารถส่งออกไก่ต้มสุกได้เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป จากปัญหาโรคระบาดไก่ของประเทศบราซิล ส่งผลให้ราคาส่งออกไก่ต้มสุกเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาไก่เป็นหน้าฟาร์มขยับสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรลงทุนเลี้ยงไก่ มากขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนสินค้าอาหารกลุ่มแปรรูปประมง พบว่า มีการผลิตลดลงร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากราคากุ้งกุลาดำลดลง จากข่าวการเลื่อนคืน GSP กุ้งไทยของสหภาพยุโรปออกไปอีก 6 เดือน ประกอบกับสหรัฐฯ ได้เพิ่มวงเงินค้ำประกันการนำเข้ากุ้งสู่ตลาดสหรัฐฯ นอกจากนี้ผลจากราคา น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ชาวประมงงดออกหาปลา ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตามจากความชัดเจนของอัตราภาษีการตอบโต้มการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ ไม่สูงมากนักและมีการแก้ไขปัญหาการวางเงินค้ำประกันโดยกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ได้จัดตั้วบริษัทกระจายสินค้าที่สหรัฐฯ ทำให้ปริมาณการผลิตสินค้าแปรรูปประมงในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอาหารเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบและบริโภคในประเทศ กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 อัตราการผลิตของน้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมันกลับลดลงร้อยละ 5.1 เป็นผลจากปาล์มน้ำมันมีผลผลิต ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ผลิตภัณฑ์นมขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.6 เนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียนทำให้ความต้องการบริโภคนมเพิ่มขึ้น
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศ (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากไตรมาสก่อน และลดลงเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 2) เป็นผลมาจากปัจจัยด้านปริมาณการผลิตในกลุ่มสินค้าปศุสัตว์ อาหารสัตว์ ผักและผลไม้ และกลุ่มน้ำมันพืชขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่โรคไข้หวัดนกคลี่คลาย ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าไก่มากขึ้น ราคาขยับตัวสูงขึ้นจูงในให้เกษตรกรเลี้ยงเพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารสัตว์จึงเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน
สำหรับตลาดสินค้าแปรรูปประมงอยู่ในภาวะหดตัว โดยมีปริมาณการจำหน่ายลดลง ร้อยละ 10.22 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาจำหน่ายสัตว์น้ำมีแนวโน้มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้ชาวประมงงดออกหาปลาทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลง ประกอบกับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่มีการจำหน่ายลดลง ตามปริมาณการผลิตที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช ลดลงร้อยละ 16.3 และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 4.4 จากปัญหาความแห้งแล้งทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ
เมื่อเปรียบเทียบการจำหน่ายในประเทศระหว่างครึ่งปี 47และ 48 พบว่าภาพรวมการจำหน่ายในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 3.6 และเมื่อพิจารณาเป็นหมวดสินค้าส่วนใหญ่ ลดลง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประมงลดลงมากที่สุดร้อยละ 16.1 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 9.1 และน้ำตาล ร้อยละ 7.9 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประชาชนเริ่มลดลง โดยมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ขยับตัวสูงขึ้นในขณะนี้
2.2 ตลาดต่างประเทศ
1) การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 การส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่ารวม 95,800.7 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จาก
ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 3) ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 จะพบว่าภาวะการส่งออกในรูปของมูลค่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ขณะที่ปริมาณส่งออกกลับลดลง จึงสรุปได้ว่ามูลค่าส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ อันเนื่องจากค่าเงินบาทลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อน โดยเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 จะเห็นว่า
อุตสาหกรรมอาหารโดยรวมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 สำหรับการส่งออกในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
-กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 40,558.3 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอาหารทะเลกระป๋อง ร้อยละ 17.0 และอาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 11.6 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการ ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 ในขณะที่ครึ่งปี 2548 มีมูลค่าการส่งออก 76,845.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 7 เป็นผลจากการส่งออกอาหารทะเลประเภทกระป๋องเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 โดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋องที่มีการสำรองวัตถุดิบไว้ตามภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงไตรมาสแรก นอกจากนี้มีการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
-กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 16,974.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสูงเทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำให้สามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ประกอบกับราคาส่งออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผักผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตในตลาดโลกลดลง ในขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ปัญหาภัยแล้งยังผลักดันให้ระดับราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดที่ใช้ในการผลิตเป็นผลไม้กระป๋องมากที่สุด มีราคาส่งออกสูงขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงก็ตาม และเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 พบว่ามูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8
-กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 6,237.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไก่แปรรูปที่มีการขยายตัวสูงขึ้น และได้มีการรับรองโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจากประเทศผู้นำเข้าหลักสินค้าไก่แปรรูป คือ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ ประกอบกับได้เกิดโรคระบาดไก่ในประเทศบราซิล ทำให้ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป มาซื้อไก่ต้มสุกจากไทยแทน นอกจากนี้หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 โดยที่เป็นการขยายตัวของการส่งออกไก่แปรรูปถึงร้อยละ 57.3
-กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช มีมูลค่าการส่งออก 16,425.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.8 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการปรับราคาส่งออกสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง และความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในการ ส่งออกมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งมีตลาดรองรับอื่นที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย โดยมีอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญ และหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้า เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และแป้งข้าวเจ้า เป็นต้น และเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นผลจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ปริมาณวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังลดลง
-กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีมูลค่าการส่งออก 9,625.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปัจจัยด้านราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 18.5 จากอุปทานที่ลดลงเพราะประสบปัญหาภาวะภัยแล้ง ขณะที่เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 พบว่ามูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 11.2
-กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 5,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นของเครื่องเทศและสมุนไพรในอัตราร้อยละ 72 สิ่งปรุงรส ร้อยละ 8 และซุปและอาหารทารก ร้อยละ 7 โดยหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
จะพบว่าการส่งออกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.6 แต่เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 1.2 เป็นผลจากการส่งออกเครื่องเทศและสมุนไพรลดลง กว่าร้อยละ 29.8 เนื่องจากภาวะภัยแล้งทำให้วัตถุดิบลดลง
2) การนำเข้า
การนำเข้าสินค้าอาหารของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีมูลค่ารวม 55,150.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากไตรมาสก่อน (ตารางที่ 4) โดยเป็นการขยายตัวของทั้งกลุ่มสินค้า
วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 และ 19.6 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณนำเข้าเพื่อทดแทนผลผลิตวัตถุดิบในประเทศที่ลดลงจากภาวะ
ภัยแล้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างไรก็ดี แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น แต่จากราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง เช่น อาหารปรุงแต่งสำหรับทารก และเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค เป็นต้น
เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.0 จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในอัตราร้อยละ 27.2 โดยมีการนำเข้าสินค้านมและผลิตภัณฑ์นม คิดเป็นมูลค่ามากที่สุด เพิ่มขึ้นร้อยละ13.7 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีกับออสเตรเลีย ในขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากพืชมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 โดยเป็นการนำเข้าเมล็ดพืชน้ำมันและกากพืชน้ำมัน (ถั่วเหลือง) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 และ 51.4 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและตอบสนองความต้องการในประเทศ
เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2547 และ 2548 จะพบว่ามีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 โดยเป็นการนำเข้าสินค้ากลุ่มอุปโภค บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 11.1
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับ
อุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่
- การตรวจรับรองโรงงานไก่แปรรูปเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น
กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานผลการตรวจรับรองโรงงานไก่แปรรูปของไทย ซึ่งกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์มาตรวจโรงงานไก่แปรรูปของไทย จำนวน 17 โรงงาน โดยมี 15 โรงงานผ่านการรับรองให้สามารถส่งออกไปญี่ปุ่นได้ ส่วนอีก 2 โรงงาน ไม่ผ่านการตรวจรับรอง ทำให้ขณะนี้มีโรงงานไก่แปรรูปทั้งหมด 48 โรงงาน ที่สามารถส่งออกไก่แปรรูป ไปญี่ปุ่นได้ ทั้งนี้ ปริมาณและมูลค่าการส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นในปี 2547 มีการขยายตัวจากปี 2546 ร้อยละ 66 และร้อยละ 67 ตามลำดับ
- กรณีสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการการทุ่มตลาดกับสินค้ากุ้งของไทย กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดทำข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมีหนังสือถึง ITC (International Trade Commission) และหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (Department of Commerce)และ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อโน้มน้าวและผลักดันให้มีการยกเลิกการใช้มาตรการดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2548 ITC ได้ประกาศเปิดทบทวน CCR สำหรับไทยและอินเดีย โดย ITC จะประกาศรายละเอียดกำหนดการและขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องลงใน Federal Register ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ตามระเบียบ ITC จะทบทวนให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน (ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2548)
สำหรับแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไป กระทรวงพาณิชย์จะจัดประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการไต่สวน โดยเน้นการจัดเตรียมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อพิสูจน์ที่มีหลักฐานยืนยัน และเตรียมการสำหรับคณะผู้แทน ITC ที่คาดว่าจะเดินทางมาตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง (Verification) นอกจากนี้จะจัดให้มีการหารือระดับนโยบาย รวมทั้งยกประเด็นหารือผ่านช่องทางการทูต ผู้แทนการค้า สมาชิกรัฐสภา และอื่นๆ ในโอกาสต่าง ๆ ก่อนประกาศผลการทบทวนเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โน้มน้าวและผลักดันให้สหรัฐฯ ยกเลิกการใช้มาตรการ AD กับสินค้ากุ้งของไทย
- การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ภัยแล้งปี 2547/48
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (War Room) ที่เพื่อรวบรวม ข้อมูลและบริหารจัดการทรัพยากรให้มีระบบและมีเอกภาพ กำหนดให้ x-ray ทุกพื้นที่ จำแนกพื้นที่ที่มีแนวโน้มขาดแคลนน้ำเป็นพื้นที่สีแดง สีเหลือง และสีเขียว บรรจุลงในแผนที่ GIS เพื่อจัดลำดับ ความ เร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ส่วนในพื้นที่เขตชลประทาน ได้มีการเฝ้าระวังและควบคุมการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพต่อการเกษตร และสอดคล้องกับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ สำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทานให้เร่งระดมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำของกรมชลประทานเข้าไป ช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ฝนหลวงหัวหิน เป็นคณะปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษกู้ภัยแล้ง ซึ่งผลจากการบริหารจัดการน้ำและปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อ แก้ไขภัยแล้งส่งผลให้มีการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยด้านการเกษตร โดยปรับปรุงโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งปัจจุบันให้เป็นองค์กรถาวร เพื่อทำหน้าที่ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ ภัยทางเศรษฐกิจ สร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าทางการเกษตรและติดตามสถานการณ์ แผนปฏิบัติการฝนหลวง โดยปฏิบัติงานสนองพระบรมราโชบายในการวางแผนปฏิบัติงานตลอดปี จัดทำแผนแม่บทพัฒนา 25 ลุ่มน้ำ แบบบูรณาการ รวมถึงการปรับปรุงแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการจัดระบบการจัดสรรน้ำ การระบาย และการส่งน้ำ เพื่อให้เกษตรกรจะมีงานทำตลอดปี ปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่มีคุณภาพและแข่งขันได้ สร้างอาชีพที่ยั่งยืน และใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า ปรับแผนการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าหรือหน่วยเคลื่อนที่เร็วในเรื่องอุปกรณ์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ
4. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ แต่ก็ได้รับการชดเชยจากระดับราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของผลิตภัรฑ์อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป เป็นต้น เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยแล้งเช่นกัน และโรคระบาด ภาวะอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น(ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง) นอกจากนี้การปรับเปลี่ยน โครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิตและส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ ที่มีปัจจัยสนับสนุนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการที่ทางการจีนประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น การลดความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตของประเทศคู่ค้า การทบทวนการประกาศการเลื่อนการคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่สินค้ากุ้งไทยของสหภาพยุโรป (EU) ให้เร็วขึ้นจากที่ได้ประกาศจะเริ่มปี 2549 และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยสึนามิ ซึ่งจะมีการประกาศผลในเดือนสิงหาคม-กันยายน รวมถึงการให้การรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทยสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น จากประเทศญี่ปุ่น และรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและ ค่าขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงรายย่อย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่ ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และมาตรการกีดกันการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่ประเทศ ผู้นำเข้าจะประกาศใช้ในอนาคต เช่น มาตรการการบังคับปิดฉลากเพิ่มเติมของสหรัฐฯ และการประกาศมาตรการด้านสวัสดิภาพสัตว์
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทราย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2548 เนื่องจากการผลิตในกลุ่มปศุสัตว์และกลุ่มอาหารสัตว์ขยายตัวเพิ่มขึ้นและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 1 (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้ง แต่หากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวลดลงอย่างมาก ประมาณร้อยละ 56 เนื่องจากเป็นช่วงปิดหีบการผลิต สำหรับภาวะการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 พบว่า อัตราการผลิตหดตัวลง ร้อยละ 56.3 ตามการลดลงของผลผลิตอ้อยจากสภาวะแห้งแล้ง
การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตพืชผลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักลดลง ได้แก่ กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูการผลิต แต่ปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 11.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และ ธัญพืช ลดลงร้อยละ 32.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 12.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลเชื่อมโยงให้การผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน สำหรับการผลิตสินค้าแปรรูปปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหา ไข้หวัดนกลดลง และสามารถส่งออกไก่ต้มสุกได้เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป จากปัญหาโรคระบาดไก่ของประเทศบราซิล ส่งผลให้ราคาส่งออกไก่ต้มสุกเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาไก่เป็นหน้าฟาร์มขยับสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรลงทุนเลี้ยงไก่ มากขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนสินค้าอาหารกลุ่มแปรรูปประมง พบว่า มีการผลิตลดลงร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากราคากุ้งกุลาดำลดลง จากข่าวการเลื่อนคืน GSP กุ้งไทยของสหภาพยุโรปออกไปอีก 6 เดือน ประกอบกับสหรัฐฯ ได้เพิ่มวงเงินค้ำประกันการนำเข้ากุ้งสู่ตลาดสหรัฐฯ นอกจากนี้ผลจากราคา น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ชาวประมงงดออกหาปลา ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตามจากความชัดเจนของอัตราภาษีการตอบโต้มการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ ไม่สูงมากนักและมีการแก้ไขปัญหาการวางเงินค้ำประกันโดยกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ได้จัดตั้วบริษัทกระจายสินค้าที่สหรัฐฯ ทำให้ปริมาณการผลิตสินค้าแปรรูปประมงในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอาหารเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบและบริโภคในประเทศ กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 อัตราการผลิตของน้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมันกลับลดลงร้อยละ 5.1 เป็นผลจากปาล์มน้ำมันมีผลผลิต ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ผลิตภัณฑ์นมขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.6 เนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียนทำให้ความต้องการบริโภคนมเพิ่มขึ้น
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศ (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากไตรมาสก่อน และลดลงเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 2) เป็นผลมาจากปัจจัยด้านปริมาณการผลิตในกลุ่มสินค้าปศุสัตว์ อาหารสัตว์ ผักและผลไม้ และกลุ่มน้ำมันพืชขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่โรคไข้หวัดนกคลี่คลาย ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าไก่มากขึ้น ราคาขยับตัวสูงขึ้นจูงในให้เกษตรกรเลี้ยงเพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารสัตว์จึงเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน
สำหรับตลาดสินค้าแปรรูปประมงอยู่ในภาวะหดตัว โดยมีปริมาณการจำหน่ายลดลง ร้อยละ 10.22 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาจำหน่ายสัตว์น้ำมีแนวโน้มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้ชาวประมงงดออกหาปลาทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลง ประกอบกับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่มีการจำหน่ายลดลง ตามปริมาณการผลิตที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช ลดลงร้อยละ 16.3 และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 4.4 จากปัญหาความแห้งแล้งทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ
เมื่อเปรียบเทียบการจำหน่ายในประเทศระหว่างครึ่งปี 47และ 48 พบว่าภาพรวมการจำหน่ายในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 3.6 และเมื่อพิจารณาเป็นหมวดสินค้าส่วนใหญ่ ลดลง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประมงลดลงมากที่สุดร้อยละ 16.1 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 9.1 และน้ำตาล ร้อยละ 7.9 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประชาชนเริ่มลดลง โดยมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ขยับตัวสูงขึ้นในขณะนี้
2.2 ตลาดต่างประเทศ
1) การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 การส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่ารวม 95,800.7 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จาก
ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 3) ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 จะพบว่าภาวะการส่งออกในรูปของมูลค่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ขณะที่ปริมาณส่งออกกลับลดลง จึงสรุปได้ว่ามูลค่าส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ อันเนื่องจากค่าเงินบาทลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อน โดยเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 จะเห็นว่า
อุตสาหกรรมอาหารโดยรวมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 สำหรับการส่งออกในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
-กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 40,558.3 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอาหารทะเลกระป๋อง ร้อยละ 17.0 และอาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 11.6 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการ ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 ในขณะที่ครึ่งปี 2548 มีมูลค่าการส่งออก 76,845.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 7 เป็นผลจากการส่งออกอาหารทะเลประเภทกระป๋องเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 โดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋องที่มีการสำรองวัตถุดิบไว้ตามภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงไตรมาสแรก นอกจากนี้มีการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
-กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 16,974.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสูงเทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำให้สามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ประกอบกับราคาส่งออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผักผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตในตลาดโลกลดลง ในขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ปัญหาภัยแล้งยังผลักดันให้ระดับราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดที่ใช้ในการผลิตเป็นผลไม้กระป๋องมากที่สุด มีราคาส่งออกสูงขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงก็ตาม และเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 พบว่ามูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8
-กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 6,237.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไก่แปรรูปที่มีการขยายตัวสูงขึ้น และได้มีการรับรองโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจากประเทศผู้นำเข้าหลักสินค้าไก่แปรรูป คือ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ ประกอบกับได้เกิดโรคระบาดไก่ในประเทศบราซิล ทำให้ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป มาซื้อไก่ต้มสุกจากไทยแทน นอกจากนี้หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 โดยที่เป็นการขยายตัวของการส่งออกไก่แปรรูปถึงร้อยละ 57.3
-กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช มีมูลค่าการส่งออก 16,425.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.8 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการปรับราคาส่งออกสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง และความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในการ ส่งออกมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งมีตลาดรองรับอื่นที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย โดยมีอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญ และหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้า เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และแป้งข้าวเจ้า เป็นต้น และเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นผลจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ปริมาณวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังลดลง
-กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีมูลค่าการส่งออก 9,625.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปัจจัยด้านราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 18.5 จากอุปทานที่ลดลงเพราะประสบปัญหาภาวะภัยแล้ง ขณะที่เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 พบว่ามูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 11.2
-กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 5,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นของเครื่องเทศและสมุนไพรในอัตราร้อยละ 72 สิ่งปรุงรส ร้อยละ 8 และซุปและอาหารทารก ร้อยละ 7 โดยหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
จะพบว่าการส่งออกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.6 แต่เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2548 และ 2547 มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 1.2 เป็นผลจากการส่งออกเครื่องเทศและสมุนไพรลดลง กว่าร้อยละ 29.8 เนื่องจากภาวะภัยแล้งทำให้วัตถุดิบลดลง
2) การนำเข้า
การนำเข้าสินค้าอาหารของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีมูลค่ารวม 55,150.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากไตรมาสก่อน (ตารางที่ 4) โดยเป็นการขยายตัวของทั้งกลุ่มสินค้า
วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 และ 19.6 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณนำเข้าเพื่อทดแทนผลผลิตวัตถุดิบในประเทศที่ลดลงจากภาวะ
ภัยแล้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างไรก็ดี แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น แต่จากราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง เช่น อาหารปรุงแต่งสำหรับทารก และเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค เป็นต้น
เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.0 จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในอัตราร้อยละ 27.2 โดยมีการนำเข้าสินค้านมและผลิตภัณฑ์นม คิดเป็นมูลค่ามากที่สุด เพิ่มขึ้นร้อยละ13.7 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีกับออสเตรเลีย ในขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากพืชมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 โดยเป็นการนำเข้าเมล็ดพืชน้ำมันและกากพืชน้ำมัน (ถั่วเหลือง) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 และ 51.4 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและตอบสนองความต้องการในประเทศ
เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปี 2547 และ 2548 จะพบว่ามีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 โดยเป็นการนำเข้าสินค้ากลุ่มอุปโภค บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 11.1
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับ
อุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่
- การตรวจรับรองโรงงานไก่แปรรูปเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น
กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานผลการตรวจรับรองโรงงานไก่แปรรูปของไทย ซึ่งกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์มาตรวจโรงงานไก่แปรรูปของไทย จำนวน 17 โรงงาน โดยมี 15 โรงงานผ่านการรับรองให้สามารถส่งออกไปญี่ปุ่นได้ ส่วนอีก 2 โรงงาน ไม่ผ่านการตรวจรับรอง ทำให้ขณะนี้มีโรงงานไก่แปรรูปทั้งหมด 48 โรงงาน ที่สามารถส่งออกไก่แปรรูป ไปญี่ปุ่นได้ ทั้งนี้ ปริมาณและมูลค่าการส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นในปี 2547 มีการขยายตัวจากปี 2546 ร้อยละ 66 และร้อยละ 67 ตามลำดับ
- กรณีสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการการทุ่มตลาดกับสินค้ากุ้งของไทย กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดทำข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมีหนังสือถึง ITC (International Trade Commission) และหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (Department of Commerce)และ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อโน้มน้าวและผลักดันให้มีการยกเลิกการใช้มาตรการดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2548 ITC ได้ประกาศเปิดทบทวน CCR สำหรับไทยและอินเดีย โดย ITC จะประกาศรายละเอียดกำหนดการและขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องลงใน Federal Register ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ตามระเบียบ ITC จะทบทวนให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน (ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2548)
สำหรับแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไป กระทรวงพาณิชย์จะจัดประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการไต่สวน โดยเน้นการจัดเตรียมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อพิสูจน์ที่มีหลักฐานยืนยัน และเตรียมการสำหรับคณะผู้แทน ITC ที่คาดว่าจะเดินทางมาตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง (Verification) นอกจากนี้จะจัดให้มีการหารือระดับนโยบาย รวมทั้งยกประเด็นหารือผ่านช่องทางการทูต ผู้แทนการค้า สมาชิกรัฐสภา และอื่นๆ ในโอกาสต่าง ๆ ก่อนประกาศผลการทบทวนเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โน้มน้าวและผลักดันให้สหรัฐฯ ยกเลิกการใช้มาตรการ AD กับสินค้ากุ้งของไทย
- การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ภัยแล้งปี 2547/48
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (War Room) ที่เพื่อรวบรวม ข้อมูลและบริหารจัดการทรัพยากรให้มีระบบและมีเอกภาพ กำหนดให้ x-ray ทุกพื้นที่ จำแนกพื้นที่ที่มีแนวโน้มขาดแคลนน้ำเป็นพื้นที่สีแดง สีเหลือง และสีเขียว บรรจุลงในแผนที่ GIS เพื่อจัดลำดับ ความ เร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ส่วนในพื้นที่เขตชลประทาน ได้มีการเฝ้าระวังและควบคุมการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพต่อการเกษตร และสอดคล้องกับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ สำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทานให้เร่งระดมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำของกรมชลประทานเข้าไป ช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ฝนหลวงหัวหิน เป็นคณะปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษกู้ภัยแล้ง ซึ่งผลจากการบริหารจัดการน้ำและปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อ แก้ไขภัยแล้งส่งผลให้มีการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยด้านการเกษตร โดยปรับปรุงโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งปัจจุบันให้เป็นองค์กรถาวร เพื่อทำหน้าที่ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ ภัยทางเศรษฐกิจ สร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าทางการเกษตรและติดตามสถานการณ์ แผนปฏิบัติการฝนหลวง โดยปฏิบัติงานสนองพระบรมราโชบายในการวางแผนปฏิบัติงานตลอดปี จัดทำแผนแม่บทพัฒนา 25 ลุ่มน้ำ แบบบูรณาการ รวมถึงการปรับปรุงแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการจัดระบบการจัดสรรน้ำ การระบาย และการส่งน้ำ เพื่อให้เกษตรกรจะมีงานทำตลอดปี ปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่มีคุณภาพและแข่งขันได้ สร้างอาชีพที่ยั่งยืน และใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า ปรับแผนการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าหรือหน่วยเคลื่อนที่เร็วในเรื่องอุปกรณ์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ
4. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ แต่ก็ได้รับการชดเชยจากระดับราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของผลิตภัรฑ์อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป เป็นต้น เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยแล้งเช่นกัน และโรคระบาด ภาวะอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น(ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง) นอกจากนี้การปรับเปลี่ยน โครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิตและส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ ที่มีปัจจัยสนับสนุนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการที่ทางการจีนประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น การลดความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตของประเทศคู่ค้า การทบทวนการประกาศการเลื่อนการคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่สินค้ากุ้งไทยของสหภาพยุโรป (EU) ให้เร็วขึ้นจากที่ได้ประกาศจะเริ่มปี 2549 และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยสึนามิ ซึ่งจะมีการประกาศผลในเดือนสิงหาคม-กันยายน รวมถึงการให้การรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทยสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น จากประเทศญี่ปุ่น และรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและ ค่าขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงรายย่อย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่ ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และมาตรการกีดกันการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่ประเทศ ผู้นำเข้าจะประกาศใช้ในอนาคต เช่น มาตรการการบังคับปิดฉลากเพิ่มเติมของสหรัฐฯ และการประกาศมาตรการด้านสวัสดิภาพสัตว์
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-