เมื่อเวลา 14.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อพิจารณาข้อเสนอของคณะผู้บริหารพรรคที่เสนอให้แก้ไขข้อบังคับพรรคในส่วนของโครงสร้างสมัชชาประชาธิปัตย์ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ว่า คณะกรรมการบริหารพรรคได้พิจารณาข้อเสนอของคณะผู้บริหารพรรคในเรื่องโครงสร้างของสมัชชาประชาธิปัตย์ ที่เสนอให้ประธานที่ปรึกษาพรรคเป็นประธานสมัชชาในตำแหน่ง และให้หัวหน้าพรรคเป็นรองประธานสมัชชาฯ โดยมีเลขาธิการพรรค เป็นเลขาธิการสมัชชา ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาแล้วเห็นว่าตำแหน่งประธานสมัชชาฯควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยให้เหตุผลว่าการประชุมสมัชชาฯนั้นจะมีคนนอกเข้ามาร่วมระดมความคิดเห็นด้วย การแสดงความคิดเห็นอย่างไรของประธานสมัชชาฯเปรียบเสมือนการแสดงจุดยืนของพรรค ดังนั้นผู้ที่เหมาะสมในการแสดงจุดยืนของพรรคจึงสมควรเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนข้อบังคับอื่นๆ เช่นให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าร่วมในสมัชชา หรือให้เลขาธิการพรรคเป็นเลขาธิการสมัชชาฯนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเห็นชอบตามที่เสนอมา อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะการแก้ไขข้อบังคับนั้นจะต้องผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่พรรค ซึ่งจะจัดประชุมในวันเสาร์ที่ 23 เม.ย. 2548นี้ ที่โรงแรมมิราเคิลเกรนด์ และในเรื่องของสัดส่วนของสมัชชาฯนั้นจะต้องร่างระเบียบออกมารองรับอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีสมาชิกสมัชชาประมาณ 1,500-2,000 คน
‘เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของเหตุผลที่จะหาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาฯซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งแม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่ก็สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ด้วยเหตุผล และยืนยันว่าไม่ใช่การไม่ให้ความสำคัญกับนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค เพราะตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคก็ยังอยู่ในส่วนประกอบของสมัชชาฯอยู่ และไม่จำเป็นที่จะต้องไปชี้แจงอะไรกับนายชวน เพราะนายชวนรู้ดีว่าระบบของพรรคเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่ไปลงว่ามีการขัดแย้งระหว่างนายชวนกลับนายอภิสิทธิ์จนมีการย้ายของออกจากห้องทำงานที่สภานั้น ผมในฐานะที่เคยเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายชวนขอบอกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะเก็บของออก เพราะห้องของท่านมีของเยอะมาก จึงต้องเก็บออกมาแยกว่าของต่างๆจะแบ่งไปบริจาคที่ใดบ้าง ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารได้เห็นชอบการเสนอแก้ไขข้อกำหนดให้สัดส่วนของคณะบริหารสาขาพรรคที่มีสาขาละ 11 คน ต้องมีผู้หญิงอยู่ไม่น้อยกว่า 2 คน เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของสตรี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ว่า คณะกรรมการบริหารพรรคได้พิจารณาข้อเสนอของคณะผู้บริหารพรรคในเรื่องโครงสร้างของสมัชชาประชาธิปัตย์ ที่เสนอให้ประธานที่ปรึกษาพรรคเป็นประธานสมัชชาในตำแหน่ง และให้หัวหน้าพรรคเป็นรองประธานสมัชชาฯ โดยมีเลขาธิการพรรค เป็นเลขาธิการสมัชชา ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาแล้วเห็นว่าตำแหน่งประธานสมัชชาฯควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยให้เหตุผลว่าการประชุมสมัชชาฯนั้นจะมีคนนอกเข้ามาร่วมระดมความคิดเห็นด้วย การแสดงความคิดเห็นอย่างไรของประธานสมัชชาฯเปรียบเสมือนการแสดงจุดยืนของพรรค ดังนั้นผู้ที่เหมาะสมในการแสดงจุดยืนของพรรคจึงสมควรเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนข้อบังคับอื่นๆ เช่นให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าร่วมในสมัชชา หรือให้เลขาธิการพรรคเป็นเลขาธิการสมัชชาฯนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเห็นชอบตามที่เสนอมา อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะการแก้ไขข้อบังคับนั้นจะต้องผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่พรรค ซึ่งจะจัดประชุมในวันเสาร์ที่ 23 เม.ย. 2548นี้ ที่โรงแรมมิราเคิลเกรนด์ และในเรื่องของสัดส่วนของสมัชชาฯนั้นจะต้องร่างระเบียบออกมารองรับอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีสมาชิกสมัชชาประมาณ 1,500-2,000 คน
‘เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของเหตุผลที่จะหาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาฯซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งแม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่ก็สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ด้วยเหตุผล และยืนยันว่าไม่ใช่การไม่ให้ความสำคัญกับนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค เพราะตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคก็ยังอยู่ในส่วนประกอบของสมัชชาฯอยู่ และไม่จำเป็นที่จะต้องไปชี้แจงอะไรกับนายชวน เพราะนายชวนรู้ดีว่าระบบของพรรคเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่ไปลงว่ามีการขัดแย้งระหว่างนายชวนกลับนายอภิสิทธิ์จนมีการย้ายของออกจากห้องทำงานที่สภานั้น ผมในฐานะที่เคยเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายชวนขอบอกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะเก็บของออก เพราะห้องของท่านมีของเยอะมาก จึงต้องเก็บออกมาแยกว่าของต่างๆจะแบ่งไปบริจาคที่ใดบ้าง ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารได้เห็นชอบการเสนอแก้ไขข้อกำหนดให้สัดส่วนของคณะบริหารสาขาพรรคที่มีสาขาละ 11 คน ต้องมีผู้หญิงอยู่ไม่น้อยกว่า 2 คน เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของสตรี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-