‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ แนะรัฐบาลชี้แจงสหรัฐ กรณีการออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน ชี้ ควรให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้ามาช่วยจัดการ เตือนหากเกิดช่องว่างของปัญหามากเกินไป ‘ไทย’ อาจเป็นเหยื่อได้
จากกรณีที่กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ออกรายงานข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปีพ.ศ.2547 โดยวิจารณ์ประเทศไทยในด้านสิทธิมนุษยชนในหลายเรื่อง ทั้งนี้ยังได้มุ่งไปที่หลายเหตุการณ์ในจังหวัดภาคใต้ เช่น การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ตากใบ รวมถึงการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมนั้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'ข่าวยามเช้า' ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกะเฮิรต์ ถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลต้องดูรายงานฉบับนี้ แล้วอะไรที่คิดว่าเป็นปัญหาและข้อเท็จจริง และส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าเราให้ความสำคัญในการแก้ไข ส่วนอะไรที่คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง ก็ต้องชี้แจงออกไป และต้องให้ทางสหรัฐชี้แจงต่อสาธารณชนด้วย อย่างไรก็ตามเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนี้คือ ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทำงานอย่างเต็มที่ในการแก้ไข หรือนำข้อเท็จจริงต่างๆออกมา และขอย้ำว่าการแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ควรมองข้ามเรื่องของต่างประเทศด้วย
‘เรื่องสถานการณ์ใต้ มิติที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่องของต่างประเทศ ผมคิดว่าการจะแก้ปัญหานี้ได้ ขณะนี้เราต้องยืนยันและบอกว่าปัญหานี้เป็นเรื่องภายในที่เราจัดการได้ แต่การที่เราจะทำอย่างนั้น เราต้องขจัดเงื่อนไขที่จะทำให้องค์กรที่ไม่หวังดีที่อยู่ในระดับนานาชาติ เข้ามาแทรกแซงหรือทำให้ปัญหามีการแทรกซ้อนเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือความโปร่งใส และการทำความเข้าใจ เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลจะมีปฏิกิริยาต่อการที่ต่างชาติมองเรื่องนี้ ต้องทำด้วยความระมัดระวังและชาญฉลาดพอสมควร ผมยกตัวอย่างกรณีกลุ่มประเทศมุสลิม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมามากขึ้น โดยมีการประชุมที่เรียกว่า โอไอซี ผมว่าต้องใช้สถานะของผู้สังเกตการณ์ ช่องทางการการฑูตให้เป็นประโยชน์ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดช่องว่างให้มากขึ้น บางทีการที่เราพูดเพื่อให้เกิดความสะใจในประเทศ แต่เกิดช่องว่างมากขึ้น เราต้องไม่ลืมว่าข้างนอก เขาไม่ได้รับข่าวสารจากรัฐบาลไทยอย่างเดียว เขารับจากที่อื่นค่อนข้างมาก และหากว่าช่องว่างเกิดขึ้นเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่จะทำให้องค์กรต่างๆมาแทรกแซงได้’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-
จากกรณีที่กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ออกรายงานข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปีพ.ศ.2547 โดยวิจารณ์ประเทศไทยในด้านสิทธิมนุษยชนในหลายเรื่อง ทั้งนี้ยังได้มุ่งไปที่หลายเหตุการณ์ในจังหวัดภาคใต้ เช่น การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ตากใบ รวมถึงการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมนั้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'ข่าวยามเช้า' ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกะเฮิรต์ ถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลต้องดูรายงานฉบับนี้ แล้วอะไรที่คิดว่าเป็นปัญหาและข้อเท็จจริง และส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าเราให้ความสำคัญในการแก้ไข ส่วนอะไรที่คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง ก็ต้องชี้แจงออกไป และต้องให้ทางสหรัฐชี้แจงต่อสาธารณชนด้วย อย่างไรก็ตามเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนี้คือ ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทำงานอย่างเต็มที่ในการแก้ไข หรือนำข้อเท็จจริงต่างๆออกมา และขอย้ำว่าการแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ควรมองข้ามเรื่องของต่างประเทศด้วย
‘เรื่องสถานการณ์ใต้ มิติที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่องของต่างประเทศ ผมคิดว่าการจะแก้ปัญหานี้ได้ ขณะนี้เราต้องยืนยันและบอกว่าปัญหานี้เป็นเรื่องภายในที่เราจัดการได้ แต่การที่เราจะทำอย่างนั้น เราต้องขจัดเงื่อนไขที่จะทำให้องค์กรที่ไม่หวังดีที่อยู่ในระดับนานาชาติ เข้ามาแทรกแซงหรือทำให้ปัญหามีการแทรกซ้อนเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือความโปร่งใส และการทำความเข้าใจ เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลจะมีปฏิกิริยาต่อการที่ต่างชาติมองเรื่องนี้ ต้องทำด้วยความระมัดระวังและชาญฉลาดพอสมควร ผมยกตัวอย่างกรณีกลุ่มประเทศมุสลิม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมามากขึ้น โดยมีการประชุมที่เรียกว่า โอไอซี ผมว่าต้องใช้สถานะของผู้สังเกตการณ์ ช่องทางการการฑูตให้เป็นประโยชน์ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดช่องว่างให้มากขึ้น บางทีการที่เราพูดเพื่อให้เกิดความสะใจในประเทศ แต่เกิดช่องว่างมากขึ้น เราต้องไม่ลืมว่าข้างนอก เขาไม่ได้รับข่าวสารจากรัฐบาลไทยอย่างเดียว เขารับจากที่อื่นค่อนข้างมาก และหากว่าช่องว่างเกิดขึ้นเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่จะทำให้องค์กรต่างๆมาแทรกแซงได้’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-