วันนี้(3 ธ.ค.48) ที่โรงแรมทวิน โลตัส จ.นครศรีธรรมราช นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ“วันนี้และวันหน้าของพรรคประชาธิปัตย์” ว่า สถานการณ์การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถที่จะแยกออกจากสถานการณ์ของประเทศได้ และ60 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือการรับใช้ประชาชนได้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะพยายามยึดพื้นที่สื่อ แต่พรรคจะต้องไม่ท้อถอยในแนวทางประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากรัฐบาลพยายามบิดเบือนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่เบื้องหลังและไปสมคบกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งเป็นการเล่นการเมืองที่หวังพลังนอกสภาเพื่อได้มาสู่ชัยชนะ หวังอำนาจมาอยู่ที่ตัวเอง ดังนั้นขอยืนยันว่าการที่ตนไปพบนายสนธิตามคำเชื้อเชิญ ของนายสนธิในฐานะสื่อมวลชน และประชาชนคนหนึ่ง เพราะพรรคให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิเสรีภาพว่าเป็นสิ่งจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย ถ้าหากไม่มีก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังนั้นขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้ปกป้องนายสนธิ แต่ปกป้องสิทธิเสรีภาพ ประชาชนและสื่อมวลชนทุกคน
“ ถ้าเราคิดสมคบเพื่อล้มล้างรัฐบาลจริงเราจะแจ้งให้สื่อมวลชนไปทำข่าวทำไม และผมเคยพบกับนายสนธิไม่เกิน 2-3 ครั้งเท่านั้น แต่ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกับนายสนธิตลอดชีวิตในอดีตพวกท่านเคยคบค้าทำอะไรกันมาบ้าง ขอให้ท่านนึกย้อนกลับไปดูหน่อย ซึ่งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจเพราะท่านไม่เคยซาบซึ้งไม่เคยถูกบ่มเพาะในเรื่องประชาธิปไตยมาก่อน ขณะนี้คู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดคำนึงถึงหลักการ ความถูกต้องแต่นึกถึงเพียงการใช้อำนาจรัฐ ทุนมาครอบงำยึดพื้นที่สื่อเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้นเราต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ไปอีกนาน รัฐบาลบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปโหนกระแสสนธิ แต่บอกว่ามีคนไปฟังสนธิไม่กี่พันคน ไม่รู้ว่าจะเชื่อตัวเองตอนไหน หากต้องการโหนกระแสจริง ในวันที่รัฐบาลมีปัญหากับสารพัดม็อบ ไม่ว่าจะเป็นม็อบครู ม็อบครู ม็อบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เคยเห็นพรรคประชาธิปัตย์เคยเข้าไปยั่วยุไหม”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วรัฐบาลควรที่จะขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่เดินทางไปพูดคุยกับนายสนธิ และเรียกร้องให้ดำเนินการทุกอย่างตามกระบวนการทางกฎหมาย เพราะพรรคเองก็ไม่ต้องการให้บ้านเมืองเสียหาย และที่สำคัญพรรคต้องการให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยที่นายกฯเองไม่เข้าใจ ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนายสนธิเองก็ดำเนินไป แต่ประชาธิปัตย์เองก็มีแนวทางของพรรคเอง ถ้าระบบมีปัญหาก็ควรที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และภายใน 1 สัปดาห์ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่เสนอแก้ไขมาตรา 313 ก็จะเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คนในรัฐบาลกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์โหนกระแสของนายสนธิ แต่บางครั้งก็บอกว่าคนไปฟังนายสนธิไม่กี่คน ดังนั้นไม่มีกระแส จึงไม่รู้ว่าคนในรัฐบาลจะเลือกเชื่อตัวเองตอนไหน หรือการที่นายกฯบอกว่าประเมินคนที่มาฟังนายสนธิประมาณ 7 พันคน โดยอ้างว่าประเมินจากเว็บไซต์กูเกิ้ลเอิร์ธ ทำให้ประชาชนที่ฟังเกิดความสับสน คิดว่านายกฯเข้าเว็บไซต์ภาพถ่ายทางดาวเทียม ไปนับหัวของประชาชนที่มารวมตัวในสวนลุมฯ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงใช้พื้นที่คำนวนจำนวนคนเท่านั้น หากเป็นอย่างนั้นก็ใช้แผนที่ธรรมดาคำนวนก็ได้ ไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ แต่ไม่รู้ว่านายกฯทำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็สามารถมาขอให้คนประชาธิปัตย์สอนให้ก็ได้
“หากกูเกิ้ลเอิร์ธสามารถสืบหาคนได้จริง ผมจะไปยื่นเรื่องให้ประธานโภคิน เพื่อให้ใช้กูเกิ้ลเอิร์ธสืบหานายกรัฐมนตรีเพื่อให้มาประชุมสภาสักหน่อย เพราะท่านเองไม่ให้ความสำคัญกับการชี้แจงในสภา แม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีการอภิปรายเรื่องการถ่ายโอนอำนาจขององค์กรครูไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพ.ร.บ.กระจายอำนาจ แต่นายกฯเองที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจกลับไม่มาชี้แจงต่อสภา แล้วคนของรัฐบาลกลับมาเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านเล่นการเมืองในสภา ทั้งที่เราเองก็ทำหน้าที่ในภามาตลอด แต่นายกรัฐมนตรีที่เป็นนายกฯตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภากลับไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้นคนของรัฐบาลจะพูดอะไรก็ควรดูนายของตัวเองก่อน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้าความเป็นจริงจะพิสูจน์ว่าใครโหนกระแส หรือบริหารกระแสอย่างไร เพราะปัญหาเรื่องการถ่ายโอนองค์กรครูไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ก็ยังคงมีปัญหา เพราะมีบุคคลบางคนในรัฐบาลไปหาเสียงกับองค์กรครูว่าจะไม่มีการถ่ายโอนภารกิจแทนที่จะคิดถึงหลักการการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ที่น่าอายกว่านั้นคือนายกฯมีคำตอบให้กับอปท.หรือยัง ที่เป็นแบบนี้เพราะรัฐบาลใช้วิธีการทำงานโดยเน้นผลทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลกำลังอึดอัดกับองค์กรศาล เพราะไม่สามารถควบคุมได้ อย่างกรณีการสรรหากกต.แทนนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี ที่เสียชีวิตไป แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะระบุว่าหากกรรมการสรรหาฯไม่สามารถหาผู้สมควรดำรงตำแหน่งกกต.เสนอต่อวุฒิสภาได้ภายใน 30 วัน ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสรรหาแทน แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯกลับระบุว่า 30 วันนั้นนับตั้งแต่มีกรรมการสรรหาฯ ทั้งที่กรรมการสรรหาฯไม่สามารถมีได้เพราะขาดองค์กรประกอบที่ตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ก็ไม่ทราบว่านายวิษณุเป็นนักกฎหมายอย่างไรที่ตีความกฎหมายให้ไม่สามารถปฏิบัติได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังจับตาดูกกต.อยู่ เพราะทราบมาว่ามีส.ส.ของพรรคไทยรักไทยคนหนึ่ง มีปัญหาเรื่องการใช้วุฒิการศึกษาปลอมลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็เชื่อว่ากกต.จะต้องหาทางออกว่า กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยเรื่องวุฒิการศึกษา ดังนั้นใครเห็นค้านอย่างไรก็ให้ไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันเอง แต่ก็น่าสงสัยว่าการที่บุคคลที่รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่ได้จบการศึกษาตามวุฒิการศึกษาที่ตัวเองนำมาสมัครนั้น จะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนที่สมควรให้ใบแดงหรือไม่ หรือกกต.จะให้ใบแดงได้เฉพาะคนที่พูดความจริงเกี่ยวกับนายกฯอย่างนายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส. สตูล เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ธ.ค. 2548--จบ--
“ ถ้าเราคิดสมคบเพื่อล้มล้างรัฐบาลจริงเราจะแจ้งให้สื่อมวลชนไปทำข่าวทำไม และผมเคยพบกับนายสนธิไม่เกิน 2-3 ครั้งเท่านั้น แต่ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกับนายสนธิตลอดชีวิตในอดีตพวกท่านเคยคบค้าทำอะไรกันมาบ้าง ขอให้ท่านนึกย้อนกลับไปดูหน่อย ซึ่งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจเพราะท่านไม่เคยซาบซึ้งไม่เคยถูกบ่มเพาะในเรื่องประชาธิปไตยมาก่อน ขณะนี้คู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดคำนึงถึงหลักการ ความถูกต้องแต่นึกถึงเพียงการใช้อำนาจรัฐ ทุนมาครอบงำยึดพื้นที่สื่อเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้นเราต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ไปอีกนาน รัฐบาลบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปโหนกระแสสนธิ แต่บอกว่ามีคนไปฟังสนธิไม่กี่พันคน ไม่รู้ว่าจะเชื่อตัวเองตอนไหน หากต้องการโหนกระแสจริง ในวันที่รัฐบาลมีปัญหากับสารพัดม็อบ ไม่ว่าจะเป็นม็อบครู ม็อบครู ม็อบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เคยเห็นพรรคประชาธิปัตย์เคยเข้าไปยั่วยุไหม”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วรัฐบาลควรที่จะขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่เดินทางไปพูดคุยกับนายสนธิ และเรียกร้องให้ดำเนินการทุกอย่างตามกระบวนการทางกฎหมาย เพราะพรรคเองก็ไม่ต้องการให้บ้านเมืองเสียหาย และที่สำคัญพรรคต้องการให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยที่นายกฯเองไม่เข้าใจ ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนายสนธิเองก็ดำเนินไป แต่ประชาธิปัตย์เองก็มีแนวทางของพรรคเอง ถ้าระบบมีปัญหาก็ควรที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และภายใน 1 สัปดาห์ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่เสนอแก้ไขมาตรา 313 ก็จะเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คนในรัฐบาลกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์โหนกระแสของนายสนธิ แต่บางครั้งก็บอกว่าคนไปฟังนายสนธิไม่กี่คน ดังนั้นไม่มีกระแส จึงไม่รู้ว่าคนในรัฐบาลจะเลือกเชื่อตัวเองตอนไหน หรือการที่นายกฯบอกว่าประเมินคนที่มาฟังนายสนธิประมาณ 7 พันคน โดยอ้างว่าประเมินจากเว็บไซต์กูเกิ้ลเอิร์ธ ทำให้ประชาชนที่ฟังเกิดความสับสน คิดว่านายกฯเข้าเว็บไซต์ภาพถ่ายทางดาวเทียม ไปนับหัวของประชาชนที่มารวมตัวในสวนลุมฯ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงใช้พื้นที่คำนวนจำนวนคนเท่านั้น หากเป็นอย่างนั้นก็ใช้แผนที่ธรรมดาคำนวนก็ได้ ไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ แต่ไม่รู้ว่านายกฯทำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็สามารถมาขอให้คนประชาธิปัตย์สอนให้ก็ได้
“หากกูเกิ้ลเอิร์ธสามารถสืบหาคนได้จริง ผมจะไปยื่นเรื่องให้ประธานโภคิน เพื่อให้ใช้กูเกิ้ลเอิร์ธสืบหานายกรัฐมนตรีเพื่อให้มาประชุมสภาสักหน่อย เพราะท่านเองไม่ให้ความสำคัญกับการชี้แจงในสภา แม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีการอภิปรายเรื่องการถ่ายโอนอำนาจขององค์กรครูไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพ.ร.บ.กระจายอำนาจ แต่นายกฯเองที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจกลับไม่มาชี้แจงต่อสภา แล้วคนของรัฐบาลกลับมาเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านเล่นการเมืองในสภา ทั้งที่เราเองก็ทำหน้าที่ในภามาตลอด แต่นายกรัฐมนตรีที่เป็นนายกฯตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภากลับไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้นคนของรัฐบาลจะพูดอะไรก็ควรดูนายของตัวเองก่อน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้าความเป็นจริงจะพิสูจน์ว่าใครโหนกระแส หรือบริหารกระแสอย่างไร เพราะปัญหาเรื่องการถ่ายโอนองค์กรครูไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ก็ยังคงมีปัญหา เพราะมีบุคคลบางคนในรัฐบาลไปหาเสียงกับองค์กรครูว่าจะไม่มีการถ่ายโอนภารกิจแทนที่จะคิดถึงหลักการการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ที่น่าอายกว่านั้นคือนายกฯมีคำตอบให้กับอปท.หรือยัง ที่เป็นแบบนี้เพราะรัฐบาลใช้วิธีการทำงานโดยเน้นผลทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลกำลังอึดอัดกับองค์กรศาล เพราะไม่สามารถควบคุมได้ อย่างกรณีการสรรหากกต.แทนนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี ที่เสียชีวิตไป แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะระบุว่าหากกรรมการสรรหาฯไม่สามารถหาผู้สมควรดำรงตำแหน่งกกต.เสนอต่อวุฒิสภาได้ภายใน 30 วัน ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสรรหาแทน แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯกลับระบุว่า 30 วันนั้นนับตั้งแต่มีกรรมการสรรหาฯ ทั้งที่กรรมการสรรหาฯไม่สามารถมีได้เพราะขาดองค์กรประกอบที่ตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ก็ไม่ทราบว่านายวิษณุเป็นนักกฎหมายอย่างไรที่ตีความกฎหมายให้ไม่สามารถปฏิบัติได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังจับตาดูกกต.อยู่ เพราะทราบมาว่ามีส.ส.ของพรรคไทยรักไทยคนหนึ่ง มีปัญหาเรื่องการใช้วุฒิการศึกษาปลอมลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็เชื่อว่ากกต.จะต้องหาทางออกว่า กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยเรื่องวุฒิการศึกษา ดังนั้นใครเห็นค้านอย่างไรก็ให้ไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันเอง แต่ก็น่าสงสัยว่าการที่บุคคลที่รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่ได้จบการศึกษาตามวุฒิการศึกษาที่ตัวเองนำมาสมัครนั้น จะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนที่สมควรให้ใบแดงหรือไม่ หรือกกต.จะให้ใบแดงได้เฉพาะคนที่พูดความจริงเกี่ยวกับนายกฯอย่างนายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส. สตูล เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ธ.ค. 2548--จบ--