1 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
ในเดือนมิถุนายน 2548 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย และมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงจาก 87.9 ในเดือนพฤษภาคมมาอยู่ที่ 85.7 ในเดือนมิถุนายน
สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะสูงขึ้น ตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง โดยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.0 เนื่องจากผู้บริโภค มีการเร่งซื้อก่อนที่จะมีการปรับขึ้นของราคาตาม ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับวิธีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 1/ ส่วนปริมาณจำหน่าย รถจักรยานยนต์ขยายตัวถึงร้อยละ 10.2 โดยส่วนหนึ่งการขยายตัวของปริมาณจำหน่ายน้ำมันเบนซินยังคง ลดลงต่อเนื่องตามราคาที่ปรับสูงขึ้น
ขณะเดียวกันเครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ ยานพาหนะโดยรวมเร่งตัวขึ้นตามมูลค่าสินค้าอุปโภค บริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ และปริมาณจำหน่ายไฟฟ้า สำหรับที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (จาก ค่าปรับฤดูกาลและเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน)พบว่าเครื่องชี้ส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสก่อนเล็กน้อย เพิ่มขึ้นตามการบริโภคในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ยานพาหนะ ขณะที่การบริโภคในกลุ่มยานพาหนะลดลงตามราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับสูงขึ้น
2.การลงทุนภาคเอกชน
ในเดือนมิถุนยน 2548 ดัชนี การลงทุนภาคเอกชน* (เบื้องต้น) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากร้อยละ 10.7 ในเดือนก่อนเป็นร้อยละ 9.4 โดยเป็นการชะลอตัวจากทั้งการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และในหมวดก่อสร้าง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนด้านพลังงาน และยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มลดลง
การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวตามมูลค่านำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างชะลอตัวตามแนวโน้มที่ลดลงของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล เป็นสำคัญ
ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจาก 50.6 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ 47.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรกนับแต่ตั้งเดือนพฤศจิกายน 2544 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่อภาวะธุรกิจในอนาคตที่ปรับตัวลดลง
สำหรับในไตรมาสที่ 2 การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย อยู่ที่ร้อยละ 9.4 ตามการชะลอตัวของการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรยังคง ขยายตัวดี
* หมายเหตุ: ธปท. ได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณดัชนี การลงทุนภาคเอกชนใหม่ เมื่อเดือนมิถุนายน 2548 โดยมี สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) ดัชนีฯ คำนวณมาจากเครื่องชี้ 5 รายการ ได้แก่ มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์ เชิงพาณิชย์ในประเทศ มูลค่าการจำหน่ายเครื่องมือเครื่องจักร ในประเทศ ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ และพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล
2) เปลี่ยนวิธีการคำนวณดัชนีฯ เป็นวิธีการของ Foundation for International Business and Economic Research (FIBER) โดยกำหนดให้น้ำหนักองค์ประกอบคงที่ (ดูวิธีการจัดทำไ ด้ ที่ http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/ econind/Construction-Method/PII.pdf)
3 ภาคการคลัง1/
รายได้รัฐบาลเดือนมิถุนายน รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 107.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.0 โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และรายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2
รายได้ภาษีขยายตัวในทุกฐานภาษี ยกเว้นภาษี ที่จัดเก็บจากฐานการค้าระหว่างประเทศที่ลดลงร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามอากรขาเข้าที่ลดลง อย่างไรก็ดีภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 21.5 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ร้อยละ 28.7 เนื่องจากผลประกอบการของภาคธุรกิจ ในปี 2547 อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขยายตัวร้อยละ 13.9 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่อยู่ในระดับที่สูง สำหรับภาษีที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคขยายตัว ร้อยละ 11.0 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 18.5 ส่วนภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
รายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ15.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการนำส่งรายได้ของ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยรายได้นำส่งที่สำคัญในเดือนนี้ คือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย 4.6 พันล้านบาทโรงงานยาสูบ 2.3 พันล้านบาท สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2.2 พันล้านบาท การสื่อสารแห่งประเทศไทย 1.4 พันล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง 0.9 พันล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 0.8 พันล้านบาท
ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ (เมษายน - มิถุนายน 2548) รายได้จัดเก็บขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15.5 จาก การเพิ่มขึ้นของภาษีฐานรายได้ร้อยละ 20.4 ฐานการบริโภค ร้อยละ 12.0 ฐานการค้าระหว่างประเทศร้อยละ 3.4 รายได้ ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 16.9 โดยรายได้นำส่งของ รัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวสูงร้อยละ 39.0 แต่รายได้อื่นๆ ลดลงร้อยละ 16.6
ทั้งนี้ในรอบ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บรวม 1,065.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.1 ซึ่งเมื่อหักการถอนคืนภาษี จะทำให้รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 925.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.0 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (1,200 พันล้านบาท) ทั้งสิ้น 56.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 6.5
ดุลเงินสดในเดือนมิถุนายน รัฐบาลเกินดุลเงินสด 81.1 พันล้านบาท เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บ ได้สูงในเดือนพฤษภาคมถูกนำส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ในเดือนนี้ จึงทำให้รัฐบาลเกินดุลสูง (สำหรับรายได้จัดเก็บ เดือนมิถุนายนจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นไป ตามฤดูกาลตามปกติ)อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ ในประเทศ 25.3 พันล้านบาทและเงินกู้ต่างประเทศ 0.6 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 85.6 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 55.2 พันล้านบาท
ในไตรมาสที่ 3 รัฐบาลเกินดุลเงินสด 81.8 พันล้านบาทสูงกว่าการเกินดุล 39.9 พันล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน ปีก่อน ในไตรมาสนี้รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ในประเทศ 25.8 พันล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ 7.2 พันล้านบาทส่งผลให้ เงินคงคลัง ณ สิ้นไตรมาส (มิถุนายน) อยู่ที่ 85.6 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 48.8 พันล้านบาท และในรอบ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณรัฐบาลเกินดุลเงินสด 17.7 พันล้านบาท สูงกว่าการเกินดุล 11.8 พันล้านบาทในปีก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในเดือนมิถุนายน 2548 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย และมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงจาก 87.9 ในเดือนพฤษภาคมมาอยู่ที่ 85.7 ในเดือนมิถุนายน
สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะสูงขึ้น ตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง โดยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.0 เนื่องจากผู้บริโภค มีการเร่งซื้อก่อนที่จะมีการปรับขึ้นของราคาตาม ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับวิธีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 1/ ส่วนปริมาณจำหน่าย รถจักรยานยนต์ขยายตัวถึงร้อยละ 10.2 โดยส่วนหนึ่งการขยายตัวของปริมาณจำหน่ายน้ำมันเบนซินยังคง ลดลงต่อเนื่องตามราคาที่ปรับสูงขึ้น
ขณะเดียวกันเครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ ยานพาหนะโดยรวมเร่งตัวขึ้นตามมูลค่าสินค้าอุปโภค บริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ และปริมาณจำหน่ายไฟฟ้า สำหรับที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (จาก ค่าปรับฤดูกาลและเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน)พบว่าเครื่องชี้ส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสก่อนเล็กน้อย เพิ่มขึ้นตามการบริโภคในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ยานพาหนะ ขณะที่การบริโภคในกลุ่มยานพาหนะลดลงตามราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับสูงขึ้น
2.การลงทุนภาคเอกชน
ในเดือนมิถุนยน 2548 ดัชนี การลงทุนภาคเอกชน* (เบื้องต้น) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากร้อยละ 10.7 ในเดือนก่อนเป็นร้อยละ 9.4 โดยเป็นการชะลอตัวจากทั้งการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และในหมวดก่อสร้าง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนด้านพลังงาน และยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มลดลง
การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวตามมูลค่านำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างชะลอตัวตามแนวโน้มที่ลดลงของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล เป็นสำคัญ
ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจาก 50.6 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ 47.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรกนับแต่ตั้งเดือนพฤศจิกายน 2544 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่อภาวะธุรกิจในอนาคตที่ปรับตัวลดลง
สำหรับในไตรมาสที่ 2 การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย อยู่ที่ร้อยละ 9.4 ตามการชะลอตัวของการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรยังคง ขยายตัวดี
* หมายเหตุ: ธปท. ได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณดัชนี การลงทุนภาคเอกชนใหม่ เมื่อเดือนมิถุนายน 2548 โดยมี สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) ดัชนีฯ คำนวณมาจากเครื่องชี้ 5 รายการ ได้แก่ มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์ เชิงพาณิชย์ในประเทศ มูลค่าการจำหน่ายเครื่องมือเครื่องจักร ในประเทศ ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ และพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล
2) เปลี่ยนวิธีการคำนวณดัชนีฯ เป็นวิธีการของ Foundation for International Business and Economic Research (FIBER) โดยกำหนดให้น้ำหนักองค์ประกอบคงที่ (ดูวิธีการจัดทำไ ด้ ที่ http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/ econind/Construction-Method/PII.pdf)
3 ภาคการคลัง1/
รายได้รัฐบาลเดือนมิถุนายน รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 107.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.0 โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และรายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2
รายได้ภาษีขยายตัวในทุกฐานภาษี ยกเว้นภาษี ที่จัดเก็บจากฐานการค้าระหว่างประเทศที่ลดลงร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามอากรขาเข้าที่ลดลง อย่างไรก็ดีภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 21.5 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ร้อยละ 28.7 เนื่องจากผลประกอบการของภาคธุรกิจ ในปี 2547 อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขยายตัวร้อยละ 13.9 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่อยู่ในระดับที่สูง สำหรับภาษีที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคขยายตัว ร้อยละ 11.0 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 18.5 ส่วนภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
รายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ15.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการนำส่งรายได้ของ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยรายได้นำส่งที่สำคัญในเดือนนี้ คือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย 4.6 พันล้านบาทโรงงานยาสูบ 2.3 พันล้านบาท สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2.2 พันล้านบาท การสื่อสารแห่งประเทศไทย 1.4 พันล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง 0.9 พันล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 0.8 พันล้านบาท
ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ (เมษายน - มิถุนายน 2548) รายได้จัดเก็บขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15.5 จาก การเพิ่มขึ้นของภาษีฐานรายได้ร้อยละ 20.4 ฐานการบริโภค ร้อยละ 12.0 ฐานการค้าระหว่างประเทศร้อยละ 3.4 รายได้ ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 16.9 โดยรายได้นำส่งของ รัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวสูงร้อยละ 39.0 แต่รายได้อื่นๆ ลดลงร้อยละ 16.6
ทั้งนี้ในรอบ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บรวม 1,065.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.1 ซึ่งเมื่อหักการถอนคืนภาษี จะทำให้รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 925.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.0 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (1,200 พันล้านบาท) ทั้งสิ้น 56.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 6.5
ดุลเงินสดในเดือนมิถุนายน รัฐบาลเกินดุลเงินสด 81.1 พันล้านบาท เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บ ได้สูงในเดือนพฤษภาคมถูกนำส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ในเดือนนี้ จึงทำให้รัฐบาลเกินดุลสูง (สำหรับรายได้จัดเก็บ เดือนมิถุนายนจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นไป ตามฤดูกาลตามปกติ)อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ ในประเทศ 25.3 พันล้านบาทและเงินกู้ต่างประเทศ 0.6 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 85.6 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 55.2 พันล้านบาท
ในไตรมาสที่ 3 รัฐบาลเกินดุลเงินสด 81.8 พันล้านบาทสูงกว่าการเกินดุล 39.9 พันล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน ปีก่อน ในไตรมาสนี้รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ในประเทศ 25.8 พันล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ 7.2 พันล้านบาทส่งผลให้ เงินคงคลัง ณ สิ้นไตรมาส (มิถุนายน) อยู่ที่ 85.6 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 48.8 พันล้านบาท และในรอบ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณรัฐบาลเกินดุลเงินสด 17.7 พันล้านบาท สูงกว่าการเกินดุล 11.8 พันล้านบาทในปีก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--