1. ด้านการผลิต
* ภาคเกษตรกรรม *
ผลผลิตสาขากสิกรรมโดยรวมฤดูการผลิตปี 2547/2548 ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยเนื่องจากสภาพฝนไม่เอื้ออำนวย การทำนาประสบกับภาวะน้ำท่วมและฝนทิ้งช่วง เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกอ้อยลงจากปัญหาด้านราคาในฤดูการผลิตปีก่อนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และต้นทุนการผลิตสูงขึ้นผลผลิตลดลงร้อยละ 8.2 ส่วนผลผลิตมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ
ราคาพืชผลส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยสูงกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก
ข้าวนาปี
ในฤดูการผลิตปี 2547/2548 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกข้าว 32,790,232 ไร่ ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยร้อยละ 0.3 ระหว่างการทำนาพื้นที่นาประสบปัญหา น้ำท่วมในช่วงต้นฤดูและฝนทิ้งช่วงเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่นมหาสารคาม ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ มีพื้นที่ประสบภัย 15,668,372 ไร่ ทำให้คาดว่าจะได้ ผลผลิตข้าวเปลือก 7,914,439 ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 17.2
ภาวะการค้าข้าวเปลือกในรอบปี 2547 ค่อนข้างคึกคักตั้งแต่ต้นปี ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ราคาข้าวเปลือกอยู่ในเกณฑ์สูง การค้าข้าวเปลือกซบเซาลงบ้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี เนื่องจากมีการนำข้าวหอมปทุมธานีมาผสมในข้าวหอมมะลิส่งขายตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวจากประเทศไทยลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวเปลือกโดยเฉลี่ยปีนี้ ยังสูงกว่าปีก่อน ราคาขายส่งข้าวเปลือกเจ้า 5% เฉลี่ยเกวียนละ 8,191 บาท เทียบกับราคาเฉลี่ยในปีก่อนซึ่งราคาเกวียนละ 7,781 บาท สูงขึ้นร้อยละ 5.3 ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 6,045 บาท เทียบกับปีก่อน 5,917 บาท สูงขึ้นร้อยละ 2.2
* ข้อมูลพื้นที่ปลูก ผลผลิต ผลผลิตเฉลี่ย จากการพยากรณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
มันสำปะหลัง
การเพาะปลูกมันสำปะหลังปีนี้ ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งทดแทนพื้นที่ปลูกอ้อยซึ่งราคาในปีก่อนไม่จูงใจ แต่ผลผลิตที่ได้คุณภาพไม่ดีนัก เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกระหว่างเก็บเกี่ยว
ในปีนี้มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 3,738,512 ไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ได้ผลผลิต 2,221,154 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ผลผลิตเฉลี่ย 3,269 กิโลกรัมต่อไร่ เทียบกับปีก่อนได้ผลผลิตเฉลี่ย 3,153 กิโลกรัมต่อไร่
ในปีนี้ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดค่อนข้างมากตามปริมาณการผลิตสอดคล้องกับความต้องการของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 0.97 บาท เทียบกับปีก่อนที่ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 0.92 บาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.4 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.29 บาท เทียบกับปีก่อนกิโลกรัมละ 2.20 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือปีนี้ (รวม 2 รุ่น)1,722,460 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1.7 เนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้ในปีที่ผ่านมา อยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรมีการปรับปรุงพันธุ์ การดูแลรักษาอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับมีปริมาณฝนเพียงพอตลอดฤดูการเพาะปลูก คาดว่าได้ผลผลิตรวม 959,925 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.74 บาท เทียบกับปีก่อน ซึ่งกิโลกรัมละ 4.42 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2
อ้อยโรงงาน
พื้นที่เพาะปลูก 2,953,894 ไร่ ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 6.4 เนื่องจากปีก่อนราคาไม่ดี ประกอบกับต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นทั้งที่เป็นค่าจ้างแรงงานและปัจจัยการผลิตประกอบกับมันสำปะหลังและยางพาราในฤดูการผลิตปีก่อนราคาสูง จูงใจให้เกษตรกรบางส่วนเปลี่ยนไปปลูกมันสำปะหลังและยางพาราเพิ่มขึ้น ผลผลิตที่ได้ในปีนี้ 23,296,603 ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 8.2
คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลมีมติกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2547/2548 ที่ระดับความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. ตันละ 620 บาท เทียบกับราคาขั้นต่ำ
ในปีก่อนซึ่งกำหนดไว้ตันละ 465 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 และเมื่อเทียบกับราคาขั้นสุดท้าย
ในปีก่อนซึ่งกำหนดไว้ตันละ 504 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0
ยางพารา
พื้นที่ปลูกยางพาราเปิดกรีดได้ 362,704 ไร่ เทียบกับปีก่อน 333,734 ไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 ผลผลิตน้ำยางดิบ 87,349 ตัน เทียบกับปีก่อน 78,793 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 พื้นที่ปลูกที่สำคัญอยู่ในจังหวัดหนองคาย อุดรธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
ราคายางพาราปีนี้ค่อนข้างสูง ราคารับซื้อยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.3 บาท เทียบกับราคาเฉลี่ยในปีก่อนซึ่งกิโลกรัมละ 36.7 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3
* ภาคอุตสาหกรรม
ในปีนี้การผลิตของอุตสาหกรรมที่สำคัญของภาค ฯยังขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร โรงสีข้าวหลายแห่งมีการขยายโรงงานผลิตข้าวสารคุณภาพดีเพื่อการส่งออก โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปีนี้คำสั่งซื้อจาก ต่างประเทศเพิ่มขึ้น มันเส้นและมันอัดเม็ดมีปริมาณการส่งออกเพิ่มสูงมากโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีนและเกาหลีใต้ เพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์ ส่วนตลาดประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ สเปน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม นำไปผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพื่อการส่งออก ยังมีการผลิตเพิ่มขึ้นตามคำสั่งซื้อเนื่องจากคุณภาพของสินค้า ตลอดจนฝีมือ
การตัดเย็บของแรงงานที่ยังดีกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนของค่าจ้างแรงงาน ที่สูงกว่าก็ตาม ความต้องการแหอวนจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเมียนมาร์กัมพูชา และอินเดีย เพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในประเทศดังกล่าว ทำให้การทำประมงขยายตัวดี โดยเฉพาะการทำประมงน้ำจืด อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ยังมีการผลิตที่ขยายตัวตามอุตสาหกรรมยานยนต์
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างประสบปัญหาต้นทุน การผลิตที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ปรับตัวโดยการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดการปรับปรุงกระบวนการผลิต การประหยัดพลังงาน ฯลฯ ด้านแรงงานประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานระดับปฏิบัติการ ทำให้หลายแห่งพัฒนาคุณภาพแรงงาน ในระบบการผลิต และจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น
* ภาคอสังหาริมทรัพย์
การก่อสร้าง
ภาวะการก่อสร้างปีนี้ขยายตัวค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของการ ก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน เช่น นโยบายภาครัฐ สถาบันการเงินให้บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ความสามารถในการหารายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น การลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนฝากเงินกับสถาบันการเงิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส. ) ได้ร่วมกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.)อำนวยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่สมาชิก
นอกจากนี้ ในปี 2548 ธอส. ยังมีโครงการบ้าน ธอส. - กบข. 3 ให้สิทธิแก่สมาชิก กบข. ที่ยังไม่เคยใช้สิทธิในโครงการ กบข. รุ่นที่ 1 และ 2 เปิดให้ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2547 - 30 ธันวาคม 2548
พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลนครและเทศบาลเมืองของภาคฯปีนี้ 2,028,221 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 จากปีก่อน 1,752,774 ตารางเมตร การก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดขอนแก่น รองลงมาเป็นจังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา และอุบลราชธานี ตามลำดับ
พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นการก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย 1,357,464 ตารางเมตร (สัดส่วนร้อยละ 66.9) เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.5 เพื่อการพาณิ ชย์ 458,986 ตารางเมตร (สัดส่วนร้อยละ 22.6) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และการก่อสร้างอาคาร เพื่อบริการ (หอพัก โรงแรม โรงภาพยนตร์ โรงเรียน ห้องอาหาร ปั๊มน้ำมัน และอู่ซ่อมรถ) 155,450 ตารางเมตร (สัดส่วนร้อยละ 7.7) ลดลงร้อยละ 34.9
การซื้อขายที่ดิน
ภาวะการซื้อขายที่ดินในภาคฯปีนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าในปีนี้ไม่มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐเช่นปีก่อน แต่เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัย และความสามารถในการหารายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีสถาบันการเงิน ให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
มูลค่าการซื้อขายที่ดินปีนี้จำนวนเงิน 42,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 แต่จำนวนธุรกรรม 177,196 ราย ลดลงร้อยละ 1.6 จากปีก่อน จังหวัดนครราชสีมามีการ ซื้อขายที่ดินจำนวนเงินสูงสุดในภาคฯ รองลงมาคือจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี หนองคาย และร้อยเอ็ด ตามลำดับ
2. ด้านการใช้จ่าย
* การใช้จ่ายภาคเอกชน
ในปีนี้การใช้จ่ายภาคเอกชนในภาคฯขยายตัวสูงขึ้น พิจารณาจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัย 3,871.3 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.9 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณที่อยู่อาศัย ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ 4,630.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากโรงงานสุรา โรงงานเบียร์ โรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้น
การจดทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ใหม่เพิ่มขึ้นมาก เห็นได้จากรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 28,600 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.1 รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล 52,660 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 รถจักรยานยนต์ 464,250 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 เนื่องจากการแข่งขันกันของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายได้แก่ อัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินดาวน์ต่ำ ระยะเวลาการผ่อนชำระนาน และการแจกของแถม จำนวนมาก ฯลฯ ประกอบกับมีการนำรถรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเป็นระยะ ๆ รวมทั้งในปีนี้มีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์
* การลงทุนภาคเอกชน
ในปีนี้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน นักลงทุนส่วนใหญ่ เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีการเติบโตดี นโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐมีออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุปสรรคการขอรับสินเชื่อสถาบันการเงินต่าง ๆ ลดลง ทำให้นักลงทุนตัดสินใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น บางอุตสาหกรรมได้ลงทุนขยายการผลิต เนื่องจากภาวะการส่งออกค่อนข้างสดใส เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปแหอวน ฯลฯ
ขณะที่สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2547 มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนรายและเงินลงทุน โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 82 รายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 64.0 ใช้เงินลงทุน 27,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว กิจการที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนมากที่สุดในปีนี้เป็นการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร เนื่องจากมีวัตถุดิบที่สำคัญหลายอย่างที่ผลิตได้ในภาคฯ รวมถึงตลาดการส่งออกที่ค่อนข้างสดใส กิจการที่สำคัญได้แก่ โรงสีข้าวที่ปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตที่ทันสมัยมากขึ้น โรงงานแป้งมันสำปะหลังที่เปลี่ยนกระบวนการผลิตเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ระบบปิด รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรมาผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงและพลังงานทดแทนในอนาคต เช่น โรงงานผลิตเอทานอล โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า รองลงมาได้แก่ หมวดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะเครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง ส่วนใหญ่ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากเป็นนโยบายยุทธศาสตร์ของจังหวัดที่เชื่อมต่อกับยุทธศาสตร์ของประเทศให้เป็นเมืองผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประกอบกับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกสูงขึ้นมาโดยตลอด หมวดอุตสาหกรรมเบาส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่เป็นการย้ายฐานมาจากกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมีการกระจายในหลายพื้นที่ เพื่ออาศัยความ ได้เปรียบทางด้านต้นทุนแรงงาน
สำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก ฯลฯ
การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.2 เนื่องจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ยังคงเป็นภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในจังหวัดหลักของภาคฯ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี
ภาคการค้ามีจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนประกอบกิจการใหม่ในภาคฯปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ธุรกิจส่วนใหญ่มีขนาดเงินทุนสูงกว่า โดยทุนจดทะเบียนบริษัทจำกัดตั้งใหม่4,770.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 81.6 ทุนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดตั้งใหม่ 3,180.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13.0 ตามลำดับ
ประเภทธุรกิจที่ประกอบกิจการใหม่ส่วนใหญ่ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ธุรกิจค้าสินค้าทางการเกษตร ธุรกิจหอพักอพาร์ตเมนต์ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค และธุรกิจนำเข้า-ส่งออกไม้ซุงไม้ท่อน(โดยเฉพาะในจังหวัดหนองคาย)
* การคลังรัฐบาล
ปีนี้การจัดเก็บรายได้ในภาคฯรวมทั้งสิ้น 20,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17.7 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการรับชำระภาษี และการขยายฐานภาษี ทำให้มีผู้เสียภาษีรายใหม่เข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวส่งผลให้ประชาชนบริโภคมากขึ้นด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ 169,335.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 เป็นผลจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบการปรับฐานเงินเดือนของข้าราชการทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนืองบประมาณขาดดุล 148,435.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3
เมื่อเทียบกับปีก่อนขาดดุล 137,026.4 ล้านบาท
สำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2547 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 นั้น มีผลการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 93.7 ของวงเงินประจำงวดที่ได้รับอนุมัติซึ่งมีอัตราส่วนการเบิกจ่ายต่ำกว่าระยะเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย (อัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 94.1) เป็นการเบิกจ่ายงบประจำร้อยละ 96.8 ของวงเงินประจำงวดฯ (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 99.3) และงบลงทุนเบิกจ่ายร้อยละ 86.0 (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 80.8)
3. ภาวะการเงิน
ธนาคารพาณิชย์
จากข้อมูลเบื้องต้นธนาคารพาณิชย์ในภาคฯมีเงินฝากคงค้าง 285,465 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 จากระยะเดียวกันของปีก่อน ผู้ฝากส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจในการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์มากกว่านำเงินไปลงทุนในด้านอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยที่ผู้ฝากคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต
ในด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 231,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 จากระยะเดียวกัน
ของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล สินเชื่ออุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร ในขณะที่สินเชื่อที่สถาบันการเงินให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจฟาร์มขนาดเล็กที่เป็นระบบเปิด ธุรกิจโรงแรม โรงเรียนเอกชน โรงสีข้าวขนาดเล็ก ฯลฯ อัตราส่วนสินเชื่อ ต่อเงินฝากปีนี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากร้อยละ 80.4 เป็นร้อยละ 81.1
อัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม จากไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปีนี้ เริ่มมีสัญญาณจากทางการเรื่องการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P 14 วัน รวม 3 ครั้ง) คาดว่าจะส่งผลถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วไปของตลาดในอนาคต ในด้านเงินฝาก อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ12 เดือน ปีนี้อยู่ระหว่างร้อยละ 1.00-1.50 ต่อปี ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.00-2.25 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่างร้อยละ 0.50-1.00 ต่อปีลดลงจากปีก่อนอยู่ระหว่างที่ร้อยละ 0.50-1.50 ต่อปี ด้านสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLRอยู่ระหว่างร้อยละ 5.50-6.70 ต่อปี ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระหว่างร้อยละ 5.50-7.50 ต่อปี MRR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.75 ต่อปี ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-8.25 ต่อปี และ MOR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.00 ต่อปี ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.75 ต่อปี
ปริมาณการใช้เช็ค
จากข้อมูลเบื้องต้นปีนี้ปริมาณการใช้เช็คผ่านสำนักหักบัญชีในภาคฯ 3,386,019 ฉบับ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.0 แต่จำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คทั้งสิ้น 419,531.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ส่วนหนึ่งเนื่องจากความไม่มั่นใจของพ่อค้าและ นักธุรกิจ
สำหรับปริมาณเช็คคืนมีทั้งสิ้น 74,890 ฉบับ ลดลงร้อยละ 38.0 จากระยะเดียวกันของปีก่อน จำนวนเงินที่สั่งจ่าย 9,630.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.1 ทำให้อัตราส่วนของมูลค่าเช็คคืนทั้งสิ้นต่อเช็คเรียกเก็บปีนี้ลดลงจากที่ร้อยละ 2.5 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3
เช็คคืนเพราะไม่มีเงินในปีนี้มีทั้งสิ้น 45,199 ฉบับ ลดลงร้อยละ 37.5 ในขณะที่จำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คดังกล่าวมีทั้งสิ้น 3,585.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.4 จากปีก่อนทำให้อัตราส่วนมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บปีนี้ลดลงจากปีก่อนที่ร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.9
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ
* ธนาคารออมสิน
จากข้อมูลเบื้องต้น ณ สิ้นปี้นี้มีสาขาธนาคารออมสินในภาคฯ 136 สำนักงานและมียอดรับฝากทั้งสิ้น 129,198.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.8 จากระยะเดียวกันของปีก่อนและมีเงินถอนทั้งสิ้น129,945.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.7 ยอดเงินฝากคงค้าง 48,294.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.5 เนื่องจากมีการตัดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวเกิน 5 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายนประกอบกับลูกค้าบางส่วนถอนเงินไปลงทุนด้านอื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล และสลากออมสินที่ออกใหม่ในปีนี้
ในปี 2547 ธนาคารออมสินมีโครงการใหม่ที่สำคัญคือ สินเชื่อธนาคารประชาชน
เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน
* ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ณ สิ้นปีนี้สาขาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในภาคฯ 179 สำนักงาน
เงินฝากคงค้าง 71,719.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 จากระยะเดียวกันของปีก่อนที่มียอดเงินฝากคงค้าง 58,979.8 ล้านบาท โดยแยกเป็นเงินฝากออมทรัพย์ 61,568.6 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 เงินฝากออมทรัพย์ทวีสิน 4,322.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 และ
เงินฝากกระแสรายวัน 231.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ส่วนเงินฝากประจำ 5,597.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.6
จากข้อมูลเบื้องต้นในด้านสินเชื่อปีนี้มีการจ่ายเงินกู้ 61,655.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 จากปีก่อน และรับชำระเงินคืน 50,015.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ทำให้สินเชื่อคงค้าง 100,794.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีก่อน
ในปี 2547 ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญคือ โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ โดยใช้ทุนดำเนินการปกติของ ธ.ก.ส. ปล่อยกู้ให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน ถึงปัจจุบัน และโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ฯลฯ
* ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
ในด้านเงินฝาก มีเงินฝากคงค้าง 3,470.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 จากปีก่อน และสินเชื่อคงค้าง 49,897.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.9 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากโครงการต่าง ๆ ของ ธอส. เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสมาชิก กบข. รุ่นที่ 2 โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคนไทย และโครงการบ้าน ธอส. - สำนักงานประกันสังคม ฯลฯ
* ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
ณ สิ้นปีนี้ ธพว. ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 236 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.8 เป็นเงินทั้งสิ้น 1,459.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.5 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ให้กับห้างสรรพสินค้า ผลิตและจำหน่ายบ้านไม้ ค้าวัสดุก่อสร้างสถานบริการน้ำมัน ฟาร์มไก่ โดยจังหวัดนครราชสีมาได้รับการอนุมัติสินเชื่อสูงสุด รองลงมาได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และขอนแก่น ตามลำดับ
ในปีนี้ ธพว. มีโครงการที่สำคัญได้แก่ โครงการสนับสนุนให้สินเชื่อด้านยานยนต์
และแฟชั่น ตลอดจนการให้สินเชื่อกรณีพิเศษกับผู้ประกอบการที่จะสร้างแหล่งพลังงานใหม่
การซื้อ-ขายหลักทรัพย์
ณ สิ้นปีนี้ มีสำนักงานบริการด้านหลักทรัพย์ในภาคฯทั้งสิ้น 36 สำนักงาน เพิ่มขึ้น 10 สำนักงานจากปีก่อน จากข้อมูลเบื้องต้นมูลค่าการซื้อหลักทรัพย์ในปีนี้มีทั้งสิ้น 97,075.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 จากปีก่อนที่มีมูลค่าการซื้อหลักทรัพย์ 89,607.4 ล้านบาท และมูลค่าการขายหลักทรัพย์ทั้งสิ้น94,473.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากปีก่อนที่มีมูลค่าการขายหลักทรัพย์ 87,679.7 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนธันวาคมปีนี้ดัชนีตลาดมีการปรับตัวจากจุดสูงสุดที่ 794.0 เมื่อวันที่ 12 มกราคม และลดลง ต่ำที่สุดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมอยู่ที่ระดับ 581.6 แต่มีการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย มาปิดที่ระดับ 688.1 สำหรับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในภาคฯลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีตามทิศทางของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยในเดือนสิงหาคมมูลค่าการซื้อขายต่ำที่สุดในรอบปีหลังจากนั้นในสี่เดือนสุดท้ายของปีนี้เริ่มมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มในปีหน้าคาดว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในภาคฯจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้ โดย 8 เดือนแรกของปี การขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปี ข่าวไข้หวัดนกที่กลับมา ระบาดอีกครั้ง ข่าวความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และราคาน้ำมันขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคม นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยงวด 9 เดือนของปีนี้เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 41.0 ในขณะที่ดัชนีกลับลดลงประมาณร้อยละ 16.0 ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจต่อนักลงทุน กระแสข่าวแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจากสื่อต่าง ๆ และที่คาดว่า จะสูงขึ้นตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วันที่มีการปรับขึ้นไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ และ น้ำมันเริ่มปรับราคาลดลง
4. ภาวะการจ้างงาน
4.1 ภาวะการทำงาน
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าปีนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานร้อยละ 2.4 ลดลงจากปีก่อนซึ่งอัตราว่างงานร้อยละ 2.5
4.2 การจัดหางาน
จากข้อมูลของศูนย์ข่าวสารตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น ปรากฏว่า ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นแต่ผู้สมัครงานลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนตำแหน่งงานว่างมีจำนวน 129,007 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความต้องการแรงงานในจังหวัดหนองคาย ชัยภูมิ และศรีสะเกษ ผู้สมัครงานมีจำนวน 57,121 คน ลดลงร้อยละ 1.3 ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครงานในจังหวัดนครราชสีมา และผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน มีจำนวน 18,528 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 ส่วนใหญ่บรรจุเข้าทำงานในจังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด อัตราส่วนการบรรจุเข้าทำงานร้อยละ 14.4 ต่อตำแหน่งงานว่าง ตามความเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานซึ่งส่วนใหญ่ความต้องการของผู้สมัครงานไม่ตรงกับตำแหน่งงานว่างของผู้ประกอบการซึ่งต้องการแรงงานปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการผลิต
4.3 แรงงานที่ขออนุมัติเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
จากข้อมูลของสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมจัดหางานแรงงานในภาคฯที่ขออนุมัติเดินทางไปทำงานต่างประเทศปีนี้จำนวน 94,200 คน ลดลงร้อยละ 3.4 จากปีก่อนเนื่องจากการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน (SARS) มาตรการที่เข้มงวดด้านแรงงานต่างชาติของทางการไต้หวัน และการลดสวัสดิการที่ให้แก่แรงงานต่างชาติของไต้หวัน อีกทั้งแรงงานสามารถหางานทำภายในประเทศได้มากขึ้น ส่งผลในปีนี้มีแรงงาน ไปทำงานต่างประเทศลดลงจากปีก่อน อุดรธานียังคงเป็นจังหวัดที่มี แรงงานเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากที่สุดในภาคฯ รองลงมาคือจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และหนองคาย โดยประเทศที่แรงงานขออนุมัติเดินทางไปทำงานมากที่สุดคือ ไต้หวัน รองลงมาคืออิสราเอล สิงคโปร์ เกาหลีใต้ บรูไน และมาเลเซียตามลำดับ แรงงานส่วนใหญ่ไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
5. ระดับราคา
อัตราเงินเฟ้อวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในภาคฯปีนี้สูงขึ้นร้อยละ 3.3
ราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 5.8 โดยสินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้นได้แก่ ผักสดแปรรูป ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก
(ยังมีต่อ)