แท็ก
ดัชนีความเชื่อมั่น
1. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกันอัตราการขยายตัวในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการเร่งตัวของการอุปโภคบริโภคทั้งในหมวดสินค้าคงทนและสินค้าไม่คงทน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวขึ้นเป็นเดือนแรกในปี 2547
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 พบว่าดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มชะลอลง อัตราเงินเฟ้อที่โน้มสูงขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าคงทน (ยานพาหนะ) ปรับตัวดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนตามการเร่งตัวของปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง ขระที่ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเพราะมาตรการส่งเสริมการขายและการปรับลดราคารถยนต์นั่งขนาดเล็กในช่วงที่ผ่านมา
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าไม่คงทน (ไม่ใช่ยานพาหนะ) โดยรวมปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนโดยเป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ที่ขยายตัวในอัตราสูงและมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องชี้ในหมวดดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นในเดือนนี้ แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 พบว่าเครื่องชี้ส่วนใหญ่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี
2. การลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อยู่ที่ระดับ 66.9 ขยายตัวร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งตัวจากเดือนตุลาคม ตามการเร่งตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน) จากต้นปี 2547 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัว อนึ่ง แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ แต่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 แสดงถึงปัจจัยลบที่ทำให้นักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจนัก จึงอาจมีการเลื่อนการลงทุนบางส่วนออกไปภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ในเดือนนี้เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนเป็นไปตามปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่เร่งตัวสูง เนื่องจากการออกสินค้ารุ่นใหม่และมาตรการกระตุ้นการขายของผู้ผลิตตลอดจนการปรับลดราคารถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ขยายตัวค่อนข้างสูงเทียบกับที่หดตัวในเดือนก่อน
ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ตามพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลและความเสี่ยงด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่เร่งตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศก็ชะลอตัวลงในเดือนนี้
3. ภาคการคลัง
รายได้รัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 80.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 และรายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
รายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญได้แก่ ภาษีจากฐานรายได้ในอัตราร้อยละ 30.1 ตามภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ขยายตัวร้อยละ 66.7 และภาษีบนฐายการบริโภคในอัตราร้อยละ 7.0 ตามภาษีสรรพสามิตที่เม่ขึ้นร้อยละ 15.5 นอกจากนี้ ภาษีบนฐานการค้าระหว่างประเทศที่เก็บจากสินค้านำเข้าได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.1 หลังจากลดลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ เนื่องจากมูลค่าสินค้านำเข้าเพิ่มสูงมากในเดือนนี้
รายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 ตามรายได้ของรัฐวิสาหกิจและรายได้อื่นๆ ซึ่งลดลงร้อยละ 61.0 และ 2.6 ตามลำดับ การนำส่งรายได้ที่สำคัญได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 0.7 พันล้านบาท
รายจ่ายของรัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน เท่ากับ 95.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.7 โดยอัตราการเบิกจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 7.3 (เทียบกับร้อยละ 6.3 ในช่วงเดียวกันปีก่อน) ทั้งนี้ รายจ่ายในงบประมาณที่สำคัญ คือ (1) รายจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยพันธบัตรการทางพิเศษ 1.0 พันล้านบาท และ (2) เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ 0.5 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายเงินนอกงบประมาณที่สำคัญ คือ (1) การโอนเงินภาษีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 13.3 พันล้านบาท (2) รายจ่ายเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2.0 พันล้านบาท และ (3) รายจ่ายโครงการหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค 8.9 พันล้านบาท
ดุลเงินสด ในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลขาดดุลเงินสด 21.9 พันล้านบาท โดยเป็นผลจากการขาดดุลเงินในงบประมาณ 15.0 พันล้านบาท และดุลเงินนอกงบประมาณอีก 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใช้เงินคงคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลและชำระคืนเงินกู้ โดยชำระคืนเงินกู้ในประเทศสุทธิ 5.4 พันล้านบาท(เป็นการออกตั๋วเงินคลัง 59.7 พันล้านบาท ไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 42.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ 10.0 พันล้านบาทและถอนคืนเงินฝากของ ธปท. ที่คลังจังหวัด 12.5 พันล้านบาท) และชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 0.9 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนลดลงจากเดือนก่อน 28.2 พันล้านบาทเป็น 60.7 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกันอัตราการขยายตัวในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการเร่งตัวของการอุปโภคบริโภคทั้งในหมวดสินค้าคงทนและสินค้าไม่คงทน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวขึ้นเป็นเดือนแรกในปี 2547
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 พบว่าดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มชะลอลง อัตราเงินเฟ้อที่โน้มสูงขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าคงทน (ยานพาหนะ) ปรับตัวดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนตามการเร่งตัวของปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง ขระที่ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเพราะมาตรการส่งเสริมการขายและการปรับลดราคารถยนต์นั่งขนาดเล็กในช่วงที่ผ่านมา
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าไม่คงทน (ไม่ใช่ยานพาหนะ) โดยรวมปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนโดยเป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ที่ขยายตัวในอัตราสูงและมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องชี้ในหมวดดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นในเดือนนี้ แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 พบว่าเครื่องชี้ส่วนใหญ่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี
2. การลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อยู่ที่ระดับ 66.9 ขยายตัวร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งตัวจากเดือนตุลาคม ตามการเร่งตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน) จากต้นปี 2547 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัว อนึ่ง แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ แต่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 แสดงถึงปัจจัยลบที่ทำให้นักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจนัก จึงอาจมีการเลื่อนการลงทุนบางส่วนออกไปภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ในเดือนนี้เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนเป็นไปตามปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่เร่งตัวสูง เนื่องจากการออกสินค้ารุ่นใหม่และมาตรการกระตุ้นการขายของผู้ผลิตตลอดจนการปรับลดราคารถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ขยายตัวค่อนข้างสูงเทียบกับที่หดตัวในเดือนก่อน
ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ตามพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลและความเสี่ยงด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่เร่งตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศก็ชะลอตัวลงในเดือนนี้
3. ภาคการคลัง
รายได้รัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 80.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 และรายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
รายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญได้แก่ ภาษีจากฐานรายได้ในอัตราร้อยละ 30.1 ตามภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ขยายตัวร้อยละ 66.7 และภาษีบนฐายการบริโภคในอัตราร้อยละ 7.0 ตามภาษีสรรพสามิตที่เม่ขึ้นร้อยละ 15.5 นอกจากนี้ ภาษีบนฐานการค้าระหว่างประเทศที่เก็บจากสินค้านำเข้าได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.1 หลังจากลดลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ เนื่องจากมูลค่าสินค้านำเข้าเพิ่มสูงมากในเดือนนี้
รายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 ตามรายได้ของรัฐวิสาหกิจและรายได้อื่นๆ ซึ่งลดลงร้อยละ 61.0 และ 2.6 ตามลำดับ การนำส่งรายได้ที่สำคัญได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 0.7 พันล้านบาท
รายจ่ายของรัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน เท่ากับ 95.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.7 โดยอัตราการเบิกจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 7.3 (เทียบกับร้อยละ 6.3 ในช่วงเดียวกันปีก่อน) ทั้งนี้ รายจ่ายในงบประมาณที่สำคัญ คือ (1) รายจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยพันธบัตรการทางพิเศษ 1.0 พันล้านบาท และ (2) เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ 0.5 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายเงินนอกงบประมาณที่สำคัญ คือ (1) การโอนเงินภาษีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 13.3 พันล้านบาท (2) รายจ่ายเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2.0 พันล้านบาท และ (3) รายจ่ายโครงการหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค 8.9 พันล้านบาท
ดุลเงินสด ในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลขาดดุลเงินสด 21.9 พันล้านบาท โดยเป็นผลจากการขาดดุลเงินในงบประมาณ 15.0 พันล้านบาท และดุลเงินนอกงบประมาณอีก 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใช้เงินคงคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลและชำระคืนเงินกู้ โดยชำระคืนเงินกู้ในประเทศสุทธิ 5.4 พันล้านบาท(เป็นการออกตั๋วเงินคลัง 59.7 พันล้านบาท ไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 42.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ 10.0 พันล้านบาทและถอนคืนเงินฝากของ ธปท. ที่คลังจังหวัด 12.5 พันล้านบาท) และชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 0.9 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนลดลงจากเดือนก่อน 28.2 พันล้านบาทเป็น 60.7 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--