นายสุวโรช พะลัง ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ในส่วนของงบบูรณาการ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าฯซีอีโอว่า ตนได้ติดตามเรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวดมาโดยตลอด เพราะรัฐบาลชุดนี้คิดแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้าน ตามกฎหมายแผนขั้นตอนกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น ปี พ.ศ.2535 บัญญัติว่า ปี 2549 รัฐบาลต้องกระจายเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่น ร้อยละ 35 ของรายได้ทั้งหมด แต่วันนี้ได้เพียงร้อยละ 24.1 เพราะท่านคิดแบบใหม่ เอางบไปเติมให้ข้าราชการประจำในระดับจังหวัด ใหญ่กว่านักการเมือง ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกทำกัน ตนพูดเรื่องนี้มาตลอดในทุกปีงบประมาณว่าตรงนี้เป็นจุดแห่งความล้มเหลว จะนำระบอบประชาธิปไตยไปสู่ความเสื่อมถอยในวันข้างหน้า
และตนเชื่อว่าในสภาแห่งนี้ ถ้านายกฯไม่ปิดปาก คงมีนักการเมืองไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกับตนอีกมาก เพราะเรามีศักดิ์ศรีของฝ่ายการเมือง ดังนั้นขอถือโอกาสหยิบยกพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระราชทานแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2546 “การปราบทุจริตยิ่งเศรษฐกิจดีขึ้น การทุจริตจะเพิ่มขึ้น การปราบทุจริตมิใช่ภารกิจของตำรวจ ศาล หรือหลักธรรมมะเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอ ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จะต้องไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในระบบราชการ รวมถึงประชาชนด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอต้องเป็นคนสุจริต และเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ได้อย่างเด็ดขาด” แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในเรื่องดังกล่าว
นายสุวโรช กล่าวต่อว่า รัฐบาลตั้งงบประมาณผู้ว่าฯซีอีโอไว้พิกลพิการ ไม่เหมือนงบอื่น โดยตั้งไว้ในงบกลาง โดยปีพ.ศ.2547 ตั้งงบไว้ 3,750 ล้านบาท ปี 2548 ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท มีงบกลางปีอีก 15,000 ล้านบาท และในปีนี้ที่กำลังพิจารณาอีก 40,000 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็นจำนวน 63,750 ล้านบาท ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับงบผู้ว่าฯซีอีโอ โดยมีหลักการข้อสังเกต ดังนี้ 1. ตั้งงบเพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งวันนี้พูดได้เลยว่าผู้ว่าฯซีอีโอคือร่างทรงของนายกฯทักษิณในการไหลงบกลางจากส่วนกลางไปสู่จังหวัด 2. มีการกักเงินไว้ที่ส่วนกลางคือกระทรวงมหาดไทยอย่างน้อย 20% ของงบประมาณทั้งหมด คิดเป็นเงิน 12,750 ล้านบาท ทำไมต้องเอามาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ทำไมไม่ส่งไปยังจังหวัดทั้งหมดตามเกณฑ์ที่ได้รับ ซึ่งตนได้รับการชี้แจงว่าส่วนกลางกลัวว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะไม่มีเงินไปแก้ปัญหา ดังนั้นตนพูดได้เลยว่าเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ไหลเอามาใช้ทางด้านการเมือง เพื่อเข่นฆ่าคู่แข่งขันทางการเมืองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามพรรคไทยรักไทยของนายกฯทักษิณ 3. งบประมาณนี้เป็นงบที่รั่วไหลส่อไปในทางทุจริต มีการเล่นแร่แปลธาตุ โดยการเดินสายทัวร์นกขมิ้นของนายกฯ ซึ่งสุดท้ายก็ไปกดดันผ่านทางผู้ว่าฯ 4. การจัดงบประมาณลักษณะนี้เป็นการจัดที่ขัดต่อรัฐประชาธิปไตย และผิดกฎหมาย เพราะเอางบกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไปให้ผู้ว่าฯผลาญ
นอกจากนั้น ส.ส.ชุมพร ยังกล่าวถึงโครงการปลูกปาล์มในที่นาร้าง ใน จ .ชุมพรว่า ตนหวั่นว่าจะซ้ำรอยโครงการยางล้านต้น แต่ในเบื้องต้นดูน่าจะสวย ผู้ว่าฯซีอีโอรีบรับนโยบายนายกฯ และมอบให้เกษตรจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเมื่อส่วนกลางเห็นชอบอนุมัติให้มีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยใช้งบประมาณ 3- 4 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงขณะนี้ยังดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างไม่เสร็จ เพราะเป็นนโยบายหลอกลวงประชาชน แทนที่จะกระจายพื้นที่นำร่องให้ทั่วทั้ง 8 อำเภอใน จ.ชุมพร กลับเลือกเจาะในบางพื้นที่ โดยเลือกพื้นที่ที่มีหัวคะแนนของพรรคไทยรักไทยอยู่ เนื่องจากมีความพยายามที่จะเอาชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อีกทั้งเมื่ออนุมัติโครงการแทนที่จะให้เกษตรจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบกลับโอนไปให้องค์การบริหารส่วนตำบลรับผิดชอบแทน เพราะเป็นคนของพรรคตัวเอง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เพราะเกิดการประท้วงกันอยู่ โครงการเก่ายังไม่เสร็จ งบกลางปีก็ลงมาอีก 161 ล้านบาท แล้วก็มาโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่าต่อต้านในเรื่องดังกล่าว
“ถ้าจะเอาของดีมีคุณภาพไปให้ชาวบ้าน ผมไม่ต่อต้าน ไม่ว่าอะไรเลย แต่ถ้าไปยัดเยียดความจนให้กับเขา เอาของไม่ดี ซื้อในราคาแพงให้พี่น้องประชาชน ผมขอแลกด้วยชีวิตผม ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้บริสุทธิ์จริง นายกฯต้องสั่งไปยังผู้ว่าฯชุมพร ให้เอาเงินที่จะใช้ในการจัดซื้อปาล์มทั้งหมด ไปแจกให้กับประชาชนในกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิจะได้รับ และให้เขาไปจัดหาพันธุ์กล้าเอง อย่าไปยัดเยียดความจน อย่าไปรู้ความเป็นความตายในอนาคตของชาวชุมพร ชาวชุมพรมีเกียรติยศศักดิ์ศรี เราไม่ตกเป็นเหยื่อ ไม่ตกเป็นทาสทางการเมืองของนักการเมืองคนใด” นายสุวโรชกล่าว
พร้อมทั้งระบุว่าไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ของรัฐบาลชุดนี้โดยสิ้นเชิง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2548--จบ--
และตนเชื่อว่าในสภาแห่งนี้ ถ้านายกฯไม่ปิดปาก คงมีนักการเมืองไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกับตนอีกมาก เพราะเรามีศักดิ์ศรีของฝ่ายการเมือง ดังนั้นขอถือโอกาสหยิบยกพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระราชทานแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2546 “การปราบทุจริตยิ่งเศรษฐกิจดีขึ้น การทุจริตจะเพิ่มขึ้น การปราบทุจริตมิใช่ภารกิจของตำรวจ ศาล หรือหลักธรรมมะเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอ ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จะต้องไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในระบบราชการ รวมถึงประชาชนด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอต้องเป็นคนสุจริต และเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ได้อย่างเด็ดขาด” แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในเรื่องดังกล่าว
นายสุวโรช กล่าวต่อว่า รัฐบาลตั้งงบประมาณผู้ว่าฯซีอีโอไว้พิกลพิการ ไม่เหมือนงบอื่น โดยตั้งไว้ในงบกลาง โดยปีพ.ศ.2547 ตั้งงบไว้ 3,750 ล้านบาท ปี 2548 ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท มีงบกลางปีอีก 15,000 ล้านบาท และในปีนี้ที่กำลังพิจารณาอีก 40,000 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็นจำนวน 63,750 ล้านบาท ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับงบผู้ว่าฯซีอีโอ โดยมีหลักการข้อสังเกต ดังนี้ 1. ตั้งงบเพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งวันนี้พูดได้เลยว่าผู้ว่าฯซีอีโอคือร่างทรงของนายกฯทักษิณในการไหลงบกลางจากส่วนกลางไปสู่จังหวัด 2. มีการกักเงินไว้ที่ส่วนกลางคือกระทรวงมหาดไทยอย่างน้อย 20% ของงบประมาณทั้งหมด คิดเป็นเงิน 12,750 ล้านบาท ทำไมต้องเอามาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ทำไมไม่ส่งไปยังจังหวัดทั้งหมดตามเกณฑ์ที่ได้รับ ซึ่งตนได้รับการชี้แจงว่าส่วนกลางกลัวว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะไม่มีเงินไปแก้ปัญหา ดังนั้นตนพูดได้เลยว่าเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ไหลเอามาใช้ทางด้านการเมือง เพื่อเข่นฆ่าคู่แข่งขันทางการเมืองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามพรรคไทยรักไทยของนายกฯทักษิณ 3. งบประมาณนี้เป็นงบที่รั่วไหลส่อไปในทางทุจริต มีการเล่นแร่แปลธาตุ โดยการเดินสายทัวร์นกขมิ้นของนายกฯ ซึ่งสุดท้ายก็ไปกดดันผ่านทางผู้ว่าฯ 4. การจัดงบประมาณลักษณะนี้เป็นการจัดที่ขัดต่อรัฐประชาธิปไตย และผิดกฎหมาย เพราะเอางบกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไปให้ผู้ว่าฯผลาญ
นอกจากนั้น ส.ส.ชุมพร ยังกล่าวถึงโครงการปลูกปาล์มในที่นาร้าง ใน จ .ชุมพรว่า ตนหวั่นว่าจะซ้ำรอยโครงการยางล้านต้น แต่ในเบื้องต้นดูน่าจะสวย ผู้ว่าฯซีอีโอรีบรับนโยบายนายกฯ และมอบให้เกษตรจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเมื่อส่วนกลางเห็นชอบอนุมัติให้มีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยใช้งบประมาณ 3- 4 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงขณะนี้ยังดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างไม่เสร็จ เพราะเป็นนโยบายหลอกลวงประชาชน แทนที่จะกระจายพื้นที่นำร่องให้ทั่วทั้ง 8 อำเภอใน จ.ชุมพร กลับเลือกเจาะในบางพื้นที่ โดยเลือกพื้นที่ที่มีหัวคะแนนของพรรคไทยรักไทยอยู่ เนื่องจากมีความพยายามที่จะเอาชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อีกทั้งเมื่ออนุมัติโครงการแทนที่จะให้เกษตรจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบกลับโอนไปให้องค์การบริหารส่วนตำบลรับผิดชอบแทน เพราะเป็นคนของพรรคตัวเอง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เพราะเกิดการประท้วงกันอยู่ โครงการเก่ายังไม่เสร็จ งบกลางปีก็ลงมาอีก 161 ล้านบาท แล้วก็มาโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่าต่อต้านในเรื่องดังกล่าว
“ถ้าจะเอาของดีมีคุณภาพไปให้ชาวบ้าน ผมไม่ต่อต้าน ไม่ว่าอะไรเลย แต่ถ้าไปยัดเยียดความจนให้กับเขา เอาของไม่ดี ซื้อในราคาแพงให้พี่น้องประชาชน ผมขอแลกด้วยชีวิตผม ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้บริสุทธิ์จริง นายกฯต้องสั่งไปยังผู้ว่าฯชุมพร ให้เอาเงินที่จะใช้ในการจัดซื้อปาล์มทั้งหมด ไปแจกให้กับประชาชนในกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิจะได้รับ และให้เขาไปจัดหาพันธุ์กล้าเอง อย่าไปยัดเยียดความจน อย่าไปรู้ความเป็นความตายในอนาคตของชาวชุมพร ชาวชุมพรมีเกียรติยศศักดิ์ศรี เราไม่ตกเป็นเหยื่อ ไม่ตกเป็นทาสทางการเมืองของนักการเมืองคนใด” นายสุวโรชกล่าว
พร้อมทั้งระบุว่าไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ของรัฐบาลชุดนี้โดยสิ้นเชิง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2548--จบ--