นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการทำ Roadshow เพื่อเป็นการชี้แจงให้นักลงทุนต่างประเทศทราบถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ต้องการขยายฐานการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการวางนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงได้มีการทำ Roadshow เพื่อพบปะและเผยแพร่ทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทจัดการกองทุนและธนาคารพาณิชย์ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยซึ่งยังมีศักยภาพในการลงทุน นอกจากนั้น สำนักนโยบายบริหารหนี้สาธารณะจะ เข้าร่วมชี้แจงในรายละเอียดของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (Mega Project) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจะชี้แจงนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization)
สาระสำคัญที่ สศค. ได้มีการชี้แจงนักลงทุนถึงประเด็นภาพรวมเศรษฐกิจ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปี 2548 จะขยายตัวได้ดีกว่าในครึ่งปีแรกซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกชั่วคราว เช่น เหตุการณ์ภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์ซึนามิ และภัยแล้ง ค่อนข้างมาก โดยในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี และการลงทุนภาครัฐ ที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านลงทุนทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนั้น การขยายตัวในช่วงที่เหลือของปีจะเป็นการขยายตัวที่อยู่บนพื้นฐานของเสถียรภาพภายในและภายนอกที่มั่นคง โดยคาดว่ามีอัตราเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4.0 การว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 โดยมีการสร้างงานใหม่ในปี 2548 จำนวน 700,000 ตำแหน่ง ในขณะที่เ งินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูงที่ 48.6 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว นายนริศฯ เชื่อว่าหลังสิ้นปี 2548 เศรษฐกิจไทยจะกลับมามีการขยายตัวที่สูงขึ้น ด้วยเหตุผลที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มขยายตัว นอกจากนั้น การปรับระบบค่าเงินของจีน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีการขาดดุลแฝดที่ลดลง ดังนั้น ในฐานะที่ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก คงจะได้รับผลพวงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในด้านปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ นายนริศฯ ชี้ให้เห็นว่าตัวเลขผลประกอบการของภาคธุรกิจไทยยังคงอยู่ในระดับที่ดีประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐจะทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางน่าจะขับเคลื่อนได้ดีกว่าปีนี้ อย่างไรก็ตาม นายนริศฯ ได้ชี้ให้เห็นว่ายังมีตัวแปรที่สำคัญที่จะต้องจับตาดูในระยะต่อไป คือ ราคาน้ำมัน และแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งในวันที่ 9 สิงหาคม นี้ว่าจะมีการปรับเพิ่มในอัตราเท่าใด และธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีนโยบายในการรองรับอย่างไร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าด้วย
ทั้งนี้คาดว่าการทำ Roadshow จะสามารถสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งในรูปหลักทรัพย์ ตราสารทางการเงินอื่นๆ และการลงทุนรูปแบบอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2548 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมีแผนงานในการจัด Roadshow ทั้งสิ้นประมาณ 6 ประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดที่ เยอรมนี โปแลนด์ และครั้งต่อไปจะไปจัดที่ ฮ่องกง สาธารณรัฐเกาหลี สหราชอาณาจักร และแคนาดา
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 59/2548 8 สิงหาคม 48--
สาระสำคัญที่ สศค. ได้มีการชี้แจงนักลงทุนถึงประเด็นภาพรวมเศรษฐกิจ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปี 2548 จะขยายตัวได้ดีกว่าในครึ่งปีแรกซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกชั่วคราว เช่น เหตุการณ์ภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์ซึนามิ และภัยแล้ง ค่อนข้างมาก โดยในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี และการลงทุนภาครัฐ ที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านลงทุนทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนั้น การขยายตัวในช่วงที่เหลือของปีจะเป็นการขยายตัวที่อยู่บนพื้นฐานของเสถียรภาพภายในและภายนอกที่มั่นคง โดยคาดว่ามีอัตราเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4.0 การว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 โดยมีการสร้างงานใหม่ในปี 2548 จำนวน 700,000 ตำแหน่ง ในขณะที่เ งินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูงที่ 48.6 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว นายนริศฯ เชื่อว่าหลังสิ้นปี 2548 เศรษฐกิจไทยจะกลับมามีการขยายตัวที่สูงขึ้น ด้วยเหตุผลที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มขยายตัว นอกจากนั้น การปรับระบบค่าเงินของจีน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีการขาดดุลแฝดที่ลดลง ดังนั้น ในฐานะที่ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก คงจะได้รับผลพวงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในด้านปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ นายนริศฯ ชี้ให้เห็นว่าตัวเลขผลประกอบการของภาคธุรกิจไทยยังคงอยู่ในระดับที่ดีประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐจะทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางน่าจะขับเคลื่อนได้ดีกว่าปีนี้ อย่างไรก็ตาม นายนริศฯ ได้ชี้ให้เห็นว่ายังมีตัวแปรที่สำคัญที่จะต้องจับตาดูในระยะต่อไป คือ ราคาน้ำมัน และแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งในวันที่ 9 สิงหาคม นี้ว่าจะมีการปรับเพิ่มในอัตราเท่าใด และธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีนโยบายในการรองรับอย่างไร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าด้วย
ทั้งนี้คาดว่าการทำ Roadshow จะสามารถสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งในรูปหลักทรัพย์ ตราสารทางการเงินอื่นๆ และการลงทุนรูปแบบอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2548 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมีแผนงานในการจัด Roadshow ทั้งสิ้นประมาณ 6 ประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดที่ เยอรมนี โปแลนด์ และครั้งต่อไปจะไปจัดที่ ฮ่องกง สาธารณรัฐเกาหลี สหราชอาณาจักร และแคนาดา
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 59/2548 8 สิงหาคม 48--