‘ม.ล. อภิมงคล โสณกุล’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนโยบายการปรับโครงสร้างและแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล โดยแสดงความเป็นห่วงว่ารัฐจะสามารถปรับปรุงโครงสร้างกิจการต่างๆให้มีประสิทธิภาพ และให้ผลประโยชน์ตกเป็นของประชาชนทุกคนตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในนโยบายของรัฐหรือไม่
ม.ล. อภิมงคล ได้หยิบยกกรณีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นกรณีตัวอย่าง โดยได้กล่าวว่าโครงสร้างกิจการไฟฟ้า Enhanced Single Buyer หรือ ESB ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ซึ่งกำหนดให้มีการจดทะเบียน กฟผ. ทั้งองค์กร และกระจายหุ้นบริษัทดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับให้มีการเพิ่มการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าโดยให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนประมูลราคาแข่งกับ กฟผ. ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้านั้น เป็นระบบที่มุ่งเน้นการแปรรูป กฟผ. แต่อย่างเดียว ซึ่งหมายถึงการอาศัยกลไกของ พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจ ในการแปลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นทุนเรือนหุ้น และกระจายหุ้นเหล่านั้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของ กฟผ. แต่ไม่ใช่การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนให้มีการแข่งขันบนพื้นฐานของความเป็นธรรม เนื่องจากยังมีการควบรวมธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้คือการผลิตไฟฟ้าไว้กับธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติคือธุรกิจระบบส่ง ซึ่งภายใต้รูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าลักษณะนี้ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต เนื่องจาก
o กฟผ. สามารถเอื้อแนวสายส่งให้กับโรงไฟฟ้าของตัวเอง ทำให้มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่น เพราะในการยื่นข้อเสนอผลิตไฟฟ้าจะรวมค่าส่งไฟฟ้าไว้ด้วย
o กฟผ. สามารถกีดกันผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นโดยเหตุผลทางเทคนิคได้
o กฟผ. มีศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าในครอบครองส่งผลให้ขาดความโปร่งใสในการสั่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า ไม่ส่งเสริมให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจะไม่ตกถึงประชาชน แต่จะอยู่กับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของหุ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ม.ล. อภิมงคล ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีที่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเป็นการชั่วคราวโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมและตรวจสอบการแข่งขัน การให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ และการให้ความคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้า แต่คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีพระราชบัญญัติรองรับการปฏิบัติงานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก
o ขาดอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการ จึงไม่สามารถควบคุมผู้ผลิตที่เป็นบริษัทเอกชน รวมทั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต
o ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องยืมอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการกำกับดูแลด้านราคา และ การดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค
o ไม่สามารถจัดตั้งกองทุนซึ่งสนับสนุนนโยบายด้านสังคมในกิจการไฟฟ้า เช่น นโยบายอัตราค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศ
ซึ่งหากรัฐบาลยังยืนยันจะจดทะเบียน กฟผ. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 1 พ.ค. 2548 ตามเป้าหมายเดิม ก่อนมีพระราชบัญญัติรองรับการทำงานของคณะกรรมการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง ทั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และต่อผู้ลงทุน
ทั้งนี้ ม.ล. อภิมงคลได้มีข้อเสนอ 2 ข้อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปรับปรุงนโยบายการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการไฟฟ้า ดังนี้
o ปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของไทย โดยเน้นให้สามารถมีการแข่งขันได้อย่างเสรี และเป็นธรรม โดยการแยกธุรกิจการผลิตไฟฟ้าออกจากธุรกิจระบบส่งไฟฟ้า ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการธุรกิจระบบส่งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเข้ามาแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
o ยกร่างกฎหมายการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เพื่อรองรับหน้าที่การทำงานของคณะกรรมการดังกล่าว ก่อนจะมีการพิจารณาจดทะเบียน กฟผ. เป็นบริษัท
ม.ล. อภิมงคล ได้กล่าวสรุปว่ากรณีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการแปรรูป กฟผ. ถือเป็นกรณีศึกษาที่มีความสำคัญเพราะนอกจากจะเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูง มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ากว่า 14 ล้านรายแล้ว ยังถือเป็นบรรทัดฐานในการปรับโครงสร้างและแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาโทรคมนาคม สาขาขนส่ง และสาขาประปา ซึ่งรัฐจะต้องตัดสินใจให้รอบคอบว่าต้องการเห็นรัฐวิสาหกิจในสาขาเหล่านี้มีการปรับปรุงโครงสร้าง มีการเพิ่มการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ราคาสาธารณูปโภคที่ลดลง และคุณภาพการบริการที่ดีขึ้น หรือรัฐต้องการมุ่งเน้นที่การแปรรูป กระจายหุ้นทรัพย์สินของรัฐเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-
ม.ล. อภิมงคล ได้หยิบยกกรณีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นกรณีตัวอย่าง โดยได้กล่าวว่าโครงสร้างกิจการไฟฟ้า Enhanced Single Buyer หรือ ESB ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ซึ่งกำหนดให้มีการจดทะเบียน กฟผ. ทั้งองค์กร และกระจายหุ้นบริษัทดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับให้มีการเพิ่มการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าโดยให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนประมูลราคาแข่งกับ กฟผ. ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้านั้น เป็นระบบที่มุ่งเน้นการแปรรูป กฟผ. แต่อย่างเดียว ซึ่งหมายถึงการอาศัยกลไกของ พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจ ในการแปลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นทุนเรือนหุ้น และกระจายหุ้นเหล่านั้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของ กฟผ. แต่ไม่ใช่การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนให้มีการแข่งขันบนพื้นฐานของความเป็นธรรม เนื่องจากยังมีการควบรวมธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้คือการผลิตไฟฟ้าไว้กับธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติคือธุรกิจระบบส่ง ซึ่งภายใต้รูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าลักษณะนี้ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต เนื่องจาก
o กฟผ. สามารถเอื้อแนวสายส่งให้กับโรงไฟฟ้าของตัวเอง ทำให้มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่น เพราะในการยื่นข้อเสนอผลิตไฟฟ้าจะรวมค่าส่งไฟฟ้าไว้ด้วย
o กฟผ. สามารถกีดกันผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นโดยเหตุผลทางเทคนิคได้
o กฟผ. มีศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าในครอบครองส่งผลให้ขาดความโปร่งใสในการสั่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า ไม่ส่งเสริมให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจะไม่ตกถึงประชาชน แต่จะอยู่กับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของหุ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ม.ล. อภิมงคล ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีที่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเป็นการชั่วคราวโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมและตรวจสอบการแข่งขัน การให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ และการให้ความคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้า แต่คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีพระราชบัญญัติรองรับการปฏิบัติงานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก
o ขาดอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการ จึงไม่สามารถควบคุมผู้ผลิตที่เป็นบริษัทเอกชน รวมทั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต
o ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องยืมอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการกำกับดูแลด้านราคา และ การดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค
o ไม่สามารถจัดตั้งกองทุนซึ่งสนับสนุนนโยบายด้านสังคมในกิจการไฟฟ้า เช่น นโยบายอัตราค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศ
ซึ่งหากรัฐบาลยังยืนยันจะจดทะเบียน กฟผ. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 1 พ.ค. 2548 ตามเป้าหมายเดิม ก่อนมีพระราชบัญญัติรองรับการทำงานของคณะกรรมการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง ทั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และต่อผู้ลงทุน
ทั้งนี้ ม.ล. อภิมงคลได้มีข้อเสนอ 2 ข้อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปรับปรุงนโยบายการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการไฟฟ้า ดังนี้
o ปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของไทย โดยเน้นให้สามารถมีการแข่งขันได้อย่างเสรี และเป็นธรรม โดยการแยกธุรกิจการผลิตไฟฟ้าออกจากธุรกิจระบบส่งไฟฟ้า ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการธุรกิจระบบส่งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเข้ามาแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
o ยกร่างกฎหมายการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เพื่อรองรับหน้าที่การทำงานของคณะกรรมการดังกล่าว ก่อนจะมีการพิจารณาจดทะเบียน กฟผ. เป็นบริษัท
ม.ล. อภิมงคล ได้กล่าวสรุปว่ากรณีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการแปรรูป กฟผ. ถือเป็นกรณีศึกษาที่มีความสำคัญเพราะนอกจากจะเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูง มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ากว่า 14 ล้านรายแล้ว ยังถือเป็นบรรทัดฐานในการปรับโครงสร้างและแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาโทรคมนาคม สาขาขนส่ง และสาขาประปา ซึ่งรัฐจะต้องตัดสินใจให้รอบคอบว่าต้องการเห็นรัฐวิสาหกิจในสาขาเหล่านี้มีการปรับปรุงโครงสร้าง มีการเพิ่มการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ราคาสาธารณูปโภคที่ลดลง และคุณภาพการบริการที่ดีขึ้น หรือรัฐต้องการมุ่งเน้นที่การแปรรูป กระจายหุ้นทรัพย์สินของรัฐเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-