เดือนกุมภาพันธ์ 2548 ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ภาคเกษตร ราคามันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นตามความต้องการของตลาด ขณะที่ราคาข้าวปรับลดลง การผลิตนอกภาคเกษตร การใช้จ่ายภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ยอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นการลงทุนภาคเอกชน มีทิศทางชะลอตัว ดูจากการขอประกอบกิจการใหม่ลดลง การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง โดยเฉพาะน้ำตาลและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ความต้องการแรงงานลดลง ภาคการคลัง การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณลดลง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 2.9 การค้าชายแดนไทย-ลาวทรงตัว ส่วนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงขยายตัว
1. ภาคการเกษตร
ข้าว เดือนกุมภาพันธ์ผลผลิตข้าวเปลือกส่วนใหญ่อยู่ในมือพ่อค้า ราคารับซื้อข้าวเปลือกต่ำกว่าเดือนเดียวกัน ของปีก่อน แต่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน ราคาขายส่งข้าวเปลือกเจ้า 5% เฉลี่ยเกวียนละ 7,861 บาท เทียบกับเดือนก่อนราคาเกวียนละ 7,766 บาท สูงขึ้นร้อยละ 1.2 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนซึ่งราคาเกวียนละ 8,998 บาท ลดลงร้อยละ 12.6 ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 5,765 บาท เทียบกับเดือนก่อนราคาเกวียนละ 5,799 บาท ลดลงร้อยละ 0.6 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งราคาเกวียนละ 6,216 บาท ลดลงร้อยละ 7.2
มันสำปะหลัง เกษตรกรเริ่มปลูกมันสำปะหลังฤดูกาลใหม่ ผลผลิตออกสู่ตลาดค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่พอกับความต้องการของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยเดือนนี้ กิโลกรัมละ 1.40 บาท เทียบกับ เดือนก่อนราคากิโลกรัมละ 1.34 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนกิโลกรัมละ 0.77 บาท สูงขึ้นถึง ร้อยละ 81.8 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.93 บาท เทียบกับเดือนก่อนกิโลกรัมละ 2.82 บาท และเดือนเดียวกันของปีก่อน กิโลกรัมละ 1.96 บาท สูงขึ้นร้อยละ 3.9 และร้อยละ 49.5 ตามลำดับ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากความแห้งแล้งโดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิและศรีสะเกษซึ่งเป็นแหล่งผลิต สำคัญทำให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีนี้ค่อนข้างน้อย ประกอบกับการผลิตอยู่ในช่วงปลายของการเก็บเกี่ยว ผลผลิตออกสู่ตลาดไม่พอกับความต้องการของโรงงานอาหารสัตว์ ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปีก่อนมาก แต่ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนราคาลดลงเนื่องจากโรงงานต้องการลดต้นทุนการซื้อวัตถุดิบที่สูงมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ ราคาขายส่งข้าวโพด เลี้ยงสัตว์เฉลี่ยเดือนนี้กิโลกรัมละ 4.72 บาท เทียบกับเดือนก่อนซึ่งกิโลกรัมละ 5.14 บาท ลดลงร้อยละ 8.2 แต่เมื่อเทียบกับในเดือนเดียวกันของปีก่อนซึ่งกิโลกรัมละ 4.08 บาท สูงขึ้นร้อยละ 15.6
2. การใช้จ่ายภาคเอกชนเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยพิจารณาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 ผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.4 และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 ตามการแข่งขันกันอย่างรุนแรงของตลาดรถยนต์ และ รถจักรยานยนต์
3. การลงทุนภาคเอกชน ภาวะการลงทุนในเดือนนี้มีทิศทางที่ชะลอตัว ดูจากการขอประกอบกิจการใหม่ทั้งในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมลดลง และพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างยังลดลงต่อเนื่องเดือนนี้มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนโครงการใกล้เคียงกัน แต่เงินลงทุนลดลงร้อยละ 51.3 โครงการส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่โครงการผลิตก๊าซชีวภาพ 3 โครงการโครงการฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ และโรงสีข้าวคุณภาพดี หมวดอุตสาหกรรมผลิตโลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งได้แก่ กิจการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และกิจการผลิตแกนกระดาษ
ในส่วนธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ในภาคฯ มีเงินทุนจดทะเบียนลดลง ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของทุน จดทะเบียนของบริษัทจำกัดเป็นสำคัญ โดยทุนจดทะเบียนบริษัทจำกัด ลดลงร้อยละ 87.7 แต่ทุนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.0 ประเภทของธุรกิจที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก
การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 12.0
4. ภาคการก่อสร้าง พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในภาคฯเดือนนี้153,718 ตารางเมตร ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 5.1และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.4 ซึ่งการขออนุญาตเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นแต่เพื่อที่อยู่อาศัยและด้านบริการมีปริมาณลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการขออนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยสัดส่วนร้อยละ 67.2 (ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 10.5) อาคารพาณิชย์สัดส่วนร้อยละ 27.6 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.2 ) บริการสัดส่วนร้อยละ 4.6 (ลดลงร้อยละ 51.9) และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ สัดส่วนร้อยละ 0.6 ส่วนใหญ่ยังเป็นการขออนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยตามสวัสดิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้การสนับสนุนสินเชื่อ ส่วนใหญ่การรับอนุญาตก่อสร้างอยู่ในจังหวัดขอนแก่น รองลงมาคือ นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย อุบลราชธานี และสกลนคร ตามลำดับ
ปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งแข่งขันกันให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบ โดยมีการผ่อนปรนเงื่อนไข ต่าง ๆ จูงใจ เช่น ระยะเวลา อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย การส่งเสริมเพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อตัดสินใจในการซื้อบ้าน ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ยังคงต่ำเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการยังคงให้ความสนใจในการทำธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งให้ผลตอบแทนแก่ ผู้ประกอบการที่สูงกว่าการฝากเงินกับสถาบันการเงิน ประกอบกับแนวโน้มด้านอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับสูงขึ้นและราคาน้ำมันทั้ง เบนซินและดีเซลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงเป็นเหตุเร่งให้ผู้ซื้อบ้านในปี 2548 ที่จะตัดสินใจในการซื้อบ้านได้เร็วขึ้นกว่าปีก่อน
สำหรับโครงการในปี 2548 ของ ธอส. ได้แก่ โครงการสินเชื่อเช่าซื้อ โครงการบ้าน สปส.-ธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยของ ผู้ประกันตน โครงการบ้าน ธอส.-กบข.รุ่น 3 โครงการความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยที่อยู่ภายใต้โครงการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และโครงการบ้านเอื้ออาทร และ ธอส.ยังคงเน้นที่กลุ่มลูกค้าระดับล่างและระดับกลางเป็นหลัก
5. ภาคอุตสาหกรรม ปัญหาภัยแล้ง ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมที่สำคัญของภาคฯ ไม่ว่าจะเป็น โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล โรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวในปีนี้จะมีปริมาณการผลิตลดลง
การผลิตน้ำตาลของภาคฯ ในเดือนนี้มีน้ำตาล 536,356.4 ตัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.1 เนื่องจากผลผลิตอ้อยส่วนใหญ่เข้าหีบไปมากแล้ว จึงเหลืออยู่ในมือเกษตรกรไม่มากนัก โรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่จึงใกล้ทำการปิดหีบแล้ว โดยปิดหีบเร็วขึ้นกว่าปีก่อน โรงงานแปรรูปมันสำปะหลังทั้งโรงงานแป้งมัน โรงงานผลิตมันเส้นและมันอัดเม็ด ต่างประสบปัญหา การขาดแคลน หัวมันสด เนื่องจากภาวะอากาศที่แห้งแล้งเกษตรกรไม่สามารถขุดหัวมันสดออกมาขาย ในขณะที่การสำรวจผลผลิตมันสำปะหลังในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่าผลผลิตหัวมันฯของภาคฯ ลดลงร้อยละ 24.0
6. ภาคการจ้างงาน
6.1 การจ้างงาน
ตำแหน่งงานว่าง การจัดหางานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดในภาคฯ เดือนนี้มีตำแหน่งงานว่าง 11,755 อัตรา ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 11.4 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.7 ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งงานว่างของจังหวัด ศรีสะเกษในงานด้านการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รองลงมามุกดาหารและขอนแก่นในงานด้านการผลิตอาหารและเครื่องดื่มผู้สมัครงาน 4,803 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ12.5 แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 73.7 ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยเป็นงานช่างเทคนิค รองลงมาอุบลราชธานีเป็นงานพนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด และศรีสะเกษ เป็นงานพื้นฐาน (ด้านการเกษตร การประมง การขนส่ง)
การบรรจุเข้าทำงาน 1,355 คน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.7 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.7 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานบรรจุงานในจังหวัดนครราชสีมา เป็นงานควบคุมเครื่องจักร และงานด้านการประกอบ รองลงมาอุบลราชธานีเป็นงานควบคุมเครื่องจักร และงานด้านการประกอบ และหนองบัวลำภูเป็นงานพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งงานว่างในงานการผลิตอาหารและเครื่องดื่มสัดส่วนร้อยละ 52.8 การขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ สัดส่วนร้อยละ 27.6 และอื่น ๆ ร้อยละ 19.6
ทั้งนี้ ตำแหน่งงานว่าง ผู้สมัครงาน และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงานส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา (ตอนต้น และตอนปลาย) และอายุระหว่าง 18 —24 ปี อัตราส่วนการบรรจุเข้าทำงานของแรงงานเป็นร้อยละ 11.5 ของตำแหน่งงานว่าง และคิดเป็นร้อยละ 28.2 ต่อผู้สมัครงาน
6.2 แรงงานที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
แรงงานในประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศเดือนนี้ 11,946 คน ซึ่งเป็นการขออนุญาตไปทำงานใน 6 กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและโอเชียเนีย โดยแรงงานให้ความสนใจไปทำงานมากที่สุด คือ กลุ่มประเทศในเอเชีย 9,887 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.8 ของแรงงานทั้งประเทศและประเทศที่แรงงาน ขออนุญาตเดินทางไปทำงานมากที่สุดคือ ไต้หวัน จำนวน 5,011 คน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 1,446 คน เกาหลีใต้ 989 คน บูรไน 588 คน ญี่ปุ่น 564 และมาเลเซีย 480 คน
แรงงานในภาคฯ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เดือนนี้มี 7,426 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 18.0 แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.2
แรงงานจากจังหวัดอุดรธานีได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานมากที่สุดในภาคฯ 1,416 คน รองลงมา คือ นครราชสีมา 1,109 คน ขอนแก่น 701 คน บุรีรัมย์ 581 คน หนองคาย 549 คน และชัยภูมิ 533 คน โดยแรงงานส่วนใหญ่ในภาคฯ จบการศึกษาวุฒิประถมศึกษา (ต้นและปลาย) 4,685 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.1 ของแรงงานทั้งภาคฯที่เดินทางไปทำงาน ในเดือนนี้
7. การค้าชายแดน
7.1 การค้าชายแดนไทย-ลาว
มูลค่าการค้าชายแดนไทย-ลาวมีทั้งสิ้น 1,774.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.5 จากเดือนเดียวกันของปีก่อนแยกเป็นการส่งออก 1,461.3 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า 313.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.7
สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค (ผงชูรส ขนม สบู่ ผงซักฟอก ฯลฯ) 221.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 53.5 ยานพาหนะและอุปกรณ์ 225.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5 ผ้าผืน 43.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3
สินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 205.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.6
การค้าผ่านแดนไทย-ลาว มูลค่าการค้าผ่านแดน 1390.5 ล้านบาท เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนมูลค่า 1335.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1
สินค้าผ่านแดนไทยไปลาว 764.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 สินค้าสำคัญ ได้แก่ สุรา 229.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เครื่องจักรและอุปกรณ์ 113.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 64.1 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 68.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 53.5 บุหรี่ 55.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 58.4
สินค้าผ่านแดนจากลาว 626.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 สินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย 512.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เครื่องจักรและอุปกรณ์ 38.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าแปดเท่า เมล็ดกาแฟดิบ 38.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 68.7
7.2 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา
การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เดือนกุมภาพันธ์ 2548 มีมูลค่าการค้า 1,972.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.1 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออก 1,870.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 และการนำเข้า 102.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.5
การส่งออก สินค้าในหมวดอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าส่งออก ที่สำคัญ ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 217.7 ล้านบาท และวัสดุก่อสร้าง 154.6 ล้านบาท โดยลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.7 และร้อยละ 7.5 ตามลำดับ ส่วนน้ำมันปิโตรเลียมและเชื้อเพลิงอื่นๆ มูลค่า 153.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
การนำเข้า สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (รวมหวาย) มูลค่า 27.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 36.1 และเสื้อผ้าเก่า (ผ้าห่มเก่า) 24.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 34 เท่าตัว
8. ภาคการเงิน
เดือนนี้ธนาคารพาณิชย์ในภาคฯมีสาขาทั้งสิ้น 498 สำนักงาน (รวมสาขาย่อย 63 สำนักงาน) เท่ากับเดือนก่อนข้อมูลเบื้องต้น ธนาคารพาณิชย์ในภาคฯ มีเงินฝากคงค้าง 289,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 8.2 และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.4 ทั้งนี้ เงินฝากคงค้างของธนาคารพาณิชย์ในภาคเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ลูกค้าบางส่วนถอนเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายมากขึ้นกว่าปกติ ในด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 237,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.6 และใกล้เคียงกับเดือนก่อน เดือนนี้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มขึ้นจาก สิ้นกุมภาพันธ์ปีก่อนที่ร้อยละ 81.0 เป็นร้อยละ 82.0 ในเดือนนี้สำหรับสินเชื่อสำคัญที่เพิ่มขึ้นในเดือนนี้ได้แก่ สินเชื่ออุตสาหกรรม (ธัญพืช ) รองลงมา ได้แก่ สินเชื่อการบริการ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่อก่อสร้างตามลำดับ สำหรับสินเชื่อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปของปีนี้ ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจฟาร์มไก่ ธุรกิจโรงสีขนาดเล็ก และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลงอัตราดอกเบี้ยโดยทั่วไปของธนาคารพาณิชย์ในภาคฯ เดือนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ด้านเงินฝากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 12 เดือนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.00-1.50 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่างร้อยละ 0.50-1.00 ต่อปี ด้านสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.50 -6.70 ต่อปี MRR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.00 ต่อปีและ MOR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.00 ต่อปีปริมาณการใช้เช็ค
เดือนนี้ปริมาณการใช้เช็คผ่านสำนักหักบัญชีในภาคฯ 270,275 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน และจำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คทั้งสิ้น 37,840.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2
สำหรับปริมาณเช็คคืนทั้งสิ้น 5,304 ฉบับ ลดลงร้อยละ 1.7 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่จำนวนเงินที่สั่งจ่าย 751.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.9 ทำให้สัดส่วนจำนวนเงินตามเช็คคืนทั้งสิ้นต่อเช็คเรียกเก็บเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนเป็นร้อยละ 2.0 ในเดือนนี้ในขณะที่เช็คคืนเพราะไม่มีเงินมีทั้งสิ้น 3,193 ฉบับ ลดลงร้อยละ 0.9 แต่จำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คดังกล่าว มีทั้งสิ้น 262.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนร้อยละ 12.4 สัดส่วนจำนวนเงินเช็คคืนเพราะไม่มีเงินต่อเช็คเรียกเก็บเดือนนี้เท่ากับเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 0.7
9. ภาคการคลังรัฐบาล เดือนนี้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในภาคฯ 1,650.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 12.1 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 ตามผลประกอบการที่ดีขึ้นของภาคธุรกิจภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีสุราเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 จากการจัดเก็บภาษีจากเบียร์เพิ่มขึ้นด้านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 12,334.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.0 เนื่องจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 6,929.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.4 ส่วนใหญ่เป็นการเบิกจ่ายหมวดเงินเดือนลดลง ผลจากการเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการใหม่ โดยส่วนกลางจะโอนเงินเดือนเข้าบัญชีของข้าราชการโดยตรง ส่วนรายจ่ายลงทุน 5,405.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 เป็นผลจากการเบิกจ่ายเงินหมวดเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
สำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2548 ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 นั้น มีผลการเบิกจ่ายคิดเป็น ร้อยละ 78.1 ของวงเงินประจำงวดที่ได้รับอนุมัติซึ่งมีอัตราส่วนการเบิกจ่ายสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน (อัตราการเบิกจ่ายคิด เป็นร้อยละ 74.7) เป็นการเบิกจ่ายงบประจำร้อยละ 90.5 ของวงเงินประจำงวดฯ (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 91.2)และงบลงทุนเบิกจ่ายร้อยละ 61.6 (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 43.6)
10. ระดับราคา
อัตราเงินเฟ้อวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในภาคฯเดือนนี้สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.5 และสูงขึ้น จากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9
ราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และสูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 5.5 สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ ผักสด แปรรูป เป็ด ไก่ เนื่องจากผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมีไม่มาก ขณะที่ ความต้องการบริโภคยังสูง ผู้บริโภคมีความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการบริโภคจากการรณรงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐอีกทั้งช่วงต้นเดือนเป็นเทศกาลตรุษจีนความต้องการบริโภคผักสดจึงมีความต้องการมากกว่าปกติ
ราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.3 และสูงขึ้นจากเดือน เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าในหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ราคาน้ำมัน ที่ปรับราคาสูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมันเบนซินที่ได้ปรับราคาขายปลีกสูงขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร ถึง 2 ครั้งในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2548 อีกทั้งราคาน้ำมันดีเซลก็ได้ปรับราคาขายปลีกสูงขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตรในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 เช่นกัน จึงเป็นผลให้โดยรวมแล้วราคาน้ำมันเบนซินในเดือนนี้ก็ยังสูงกว่าปีก่อนมาก
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ระดับราคาวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป โดยหักราคาสินค้าในหมวด อาหารสดและพลังงาน) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนแต่สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.5
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--
1. ภาคการเกษตร
ข้าว เดือนกุมภาพันธ์ผลผลิตข้าวเปลือกส่วนใหญ่อยู่ในมือพ่อค้า ราคารับซื้อข้าวเปลือกต่ำกว่าเดือนเดียวกัน ของปีก่อน แต่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน ราคาขายส่งข้าวเปลือกเจ้า 5% เฉลี่ยเกวียนละ 7,861 บาท เทียบกับเดือนก่อนราคาเกวียนละ 7,766 บาท สูงขึ้นร้อยละ 1.2 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนซึ่งราคาเกวียนละ 8,998 บาท ลดลงร้อยละ 12.6 ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 5,765 บาท เทียบกับเดือนก่อนราคาเกวียนละ 5,799 บาท ลดลงร้อยละ 0.6 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งราคาเกวียนละ 6,216 บาท ลดลงร้อยละ 7.2
มันสำปะหลัง เกษตรกรเริ่มปลูกมันสำปะหลังฤดูกาลใหม่ ผลผลิตออกสู่ตลาดค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่พอกับความต้องการของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยเดือนนี้ กิโลกรัมละ 1.40 บาท เทียบกับ เดือนก่อนราคากิโลกรัมละ 1.34 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนกิโลกรัมละ 0.77 บาท สูงขึ้นถึง ร้อยละ 81.8 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.93 บาท เทียบกับเดือนก่อนกิโลกรัมละ 2.82 บาท และเดือนเดียวกันของปีก่อน กิโลกรัมละ 1.96 บาท สูงขึ้นร้อยละ 3.9 และร้อยละ 49.5 ตามลำดับ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากความแห้งแล้งโดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิและศรีสะเกษซึ่งเป็นแหล่งผลิต สำคัญทำให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีนี้ค่อนข้างน้อย ประกอบกับการผลิตอยู่ในช่วงปลายของการเก็บเกี่ยว ผลผลิตออกสู่ตลาดไม่พอกับความต้องการของโรงงานอาหารสัตว์ ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปีก่อนมาก แต่ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนราคาลดลงเนื่องจากโรงงานต้องการลดต้นทุนการซื้อวัตถุดิบที่สูงมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ ราคาขายส่งข้าวโพด เลี้ยงสัตว์เฉลี่ยเดือนนี้กิโลกรัมละ 4.72 บาท เทียบกับเดือนก่อนซึ่งกิโลกรัมละ 5.14 บาท ลดลงร้อยละ 8.2 แต่เมื่อเทียบกับในเดือนเดียวกันของปีก่อนซึ่งกิโลกรัมละ 4.08 บาท สูงขึ้นร้อยละ 15.6
2. การใช้จ่ายภาคเอกชนเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยพิจารณาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 ผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.4 และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 ตามการแข่งขันกันอย่างรุนแรงของตลาดรถยนต์ และ รถจักรยานยนต์
3. การลงทุนภาคเอกชน ภาวะการลงทุนในเดือนนี้มีทิศทางที่ชะลอตัว ดูจากการขอประกอบกิจการใหม่ทั้งในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมลดลง และพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างยังลดลงต่อเนื่องเดือนนี้มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนโครงการใกล้เคียงกัน แต่เงินลงทุนลดลงร้อยละ 51.3 โครงการส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่โครงการผลิตก๊าซชีวภาพ 3 โครงการโครงการฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ และโรงสีข้าวคุณภาพดี หมวดอุตสาหกรรมผลิตโลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งได้แก่ กิจการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และกิจการผลิตแกนกระดาษ
ในส่วนธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ในภาคฯ มีเงินทุนจดทะเบียนลดลง ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของทุน จดทะเบียนของบริษัทจำกัดเป็นสำคัญ โดยทุนจดทะเบียนบริษัทจำกัด ลดลงร้อยละ 87.7 แต่ทุนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.0 ประเภทของธุรกิจที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก
การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 12.0
4. ภาคการก่อสร้าง พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในภาคฯเดือนนี้153,718 ตารางเมตร ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 5.1และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.4 ซึ่งการขออนุญาตเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นแต่เพื่อที่อยู่อาศัยและด้านบริการมีปริมาณลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการขออนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยสัดส่วนร้อยละ 67.2 (ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 10.5) อาคารพาณิชย์สัดส่วนร้อยละ 27.6 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.2 ) บริการสัดส่วนร้อยละ 4.6 (ลดลงร้อยละ 51.9) และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ สัดส่วนร้อยละ 0.6 ส่วนใหญ่ยังเป็นการขออนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยตามสวัสดิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้การสนับสนุนสินเชื่อ ส่วนใหญ่การรับอนุญาตก่อสร้างอยู่ในจังหวัดขอนแก่น รองลงมาคือ นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย อุบลราชธานี และสกลนคร ตามลำดับ
ปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งแข่งขันกันให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบ โดยมีการผ่อนปรนเงื่อนไข ต่าง ๆ จูงใจ เช่น ระยะเวลา อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย การส่งเสริมเพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อตัดสินใจในการซื้อบ้าน ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ยังคงต่ำเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการยังคงให้ความสนใจในการทำธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งให้ผลตอบแทนแก่ ผู้ประกอบการที่สูงกว่าการฝากเงินกับสถาบันการเงิน ประกอบกับแนวโน้มด้านอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับสูงขึ้นและราคาน้ำมันทั้ง เบนซินและดีเซลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงเป็นเหตุเร่งให้ผู้ซื้อบ้านในปี 2548 ที่จะตัดสินใจในการซื้อบ้านได้เร็วขึ้นกว่าปีก่อน
สำหรับโครงการในปี 2548 ของ ธอส. ได้แก่ โครงการสินเชื่อเช่าซื้อ โครงการบ้าน สปส.-ธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยของ ผู้ประกันตน โครงการบ้าน ธอส.-กบข.รุ่น 3 โครงการความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยที่อยู่ภายใต้โครงการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และโครงการบ้านเอื้ออาทร และ ธอส.ยังคงเน้นที่กลุ่มลูกค้าระดับล่างและระดับกลางเป็นหลัก
5. ภาคอุตสาหกรรม ปัญหาภัยแล้ง ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมที่สำคัญของภาคฯ ไม่ว่าจะเป็น โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล โรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวในปีนี้จะมีปริมาณการผลิตลดลง
การผลิตน้ำตาลของภาคฯ ในเดือนนี้มีน้ำตาล 536,356.4 ตัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.1 เนื่องจากผลผลิตอ้อยส่วนใหญ่เข้าหีบไปมากแล้ว จึงเหลืออยู่ในมือเกษตรกรไม่มากนัก โรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่จึงใกล้ทำการปิดหีบแล้ว โดยปิดหีบเร็วขึ้นกว่าปีก่อน โรงงานแปรรูปมันสำปะหลังทั้งโรงงานแป้งมัน โรงงานผลิตมันเส้นและมันอัดเม็ด ต่างประสบปัญหา การขาดแคลน หัวมันสด เนื่องจากภาวะอากาศที่แห้งแล้งเกษตรกรไม่สามารถขุดหัวมันสดออกมาขาย ในขณะที่การสำรวจผลผลิตมันสำปะหลังในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่าผลผลิตหัวมันฯของภาคฯ ลดลงร้อยละ 24.0
6. ภาคการจ้างงาน
6.1 การจ้างงาน
ตำแหน่งงานว่าง การจัดหางานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดในภาคฯ เดือนนี้มีตำแหน่งงานว่าง 11,755 อัตรา ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 11.4 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.7 ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งงานว่างของจังหวัด ศรีสะเกษในงานด้านการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รองลงมามุกดาหารและขอนแก่นในงานด้านการผลิตอาหารและเครื่องดื่มผู้สมัครงาน 4,803 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ12.5 แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 73.7 ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยเป็นงานช่างเทคนิค รองลงมาอุบลราชธานีเป็นงานพนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด และศรีสะเกษ เป็นงานพื้นฐาน (ด้านการเกษตร การประมง การขนส่ง)
การบรรจุเข้าทำงาน 1,355 คน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.7 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.7 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานบรรจุงานในจังหวัดนครราชสีมา เป็นงานควบคุมเครื่องจักร และงานด้านการประกอบ รองลงมาอุบลราชธานีเป็นงานควบคุมเครื่องจักร และงานด้านการประกอบ และหนองบัวลำภูเป็นงานพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งงานว่างในงานการผลิตอาหารและเครื่องดื่มสัดส่วนร้อยละ 52.8 การขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ สัดส่วนร้อยละ 27.6 และอื่น ๆ ร้อยละ 19.6
ทั้งนี้ ตำแหน่งงานว่าง ผู้สมัครงาน และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงานส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา (ตอนต้น และตอนปลาย) และอายุระหว่าง 18 —24 ปี อัตราส่วนการบรรจุเข้าทำงานของแรงงานเป็นร้อยละ 11.5 ของตำแหน่งงานว่าง และคิดเป็นร้อยละ 28.2 ต่อผู้สมัครงาน
6.2 แรงงานที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
แรงงานในประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศเดือนนี้ 11,946 คน ซึ่งเป็นการขออนุญาตไปทำงานใน 6 กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและโอเชียเนีย โดยแรงงานให้ความสนใจไปทำงานมากที่สุด คือ กลุ่มประเทศในเอเชีย 9,887 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.8 ของแรงงานทั้งประเทศและประเทศที่แรงงาน ขออนุญาตเดินทางไปทำงานมากที่สุดคือ ไต้หวัน จำนวน 5,011 คน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 1,446 คน เกาหลีใต้ 989 คน บูรไน 588 คน ญี่ปุ่น 564 และมาเลเซีย 480 คน
แรงงานในภาคฯ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เดือนนี้มี 7,426 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 18.0 แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.2
แรงงานจากจังหวัดอุดรธานีได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานมากที่สุดในภาคฯ 1,416 คน รองลงมา คือ นครราชสีมา 1,109 คน ขอนแก่น 701 คน บุรีรัมย์ 581 คน หนองคาย 549 คน และชัยภูมิ 533 คน โดยแรงงานส่วนใหญ่ในภาคฯ จบการศึกษาวุฒิประถมศึกษา (ต้นและปลาย) 4,685 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.1 ของแรงงานทั้งภาคฯที่เดินทางไปทำงาน ในเดือนนี้
7. การค้าชายแดน
7.1 การค้าชายแดนไทย-ลาว
มูลค่าการค้าชายแดนไทย-ลาวมีทั้งสิ้น 1,774.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.5 จากเดือนเดียวกันของปีก่อนแยกเป็นการส่งออก 1,461.3 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า 313.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.7
สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค (ผงชูรส ขนม สบู่ ผงซักฟอก ฯลฯ) 221.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 53.5 ยานพาหนะและอุปกรณ์ 225.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5 ผ้าผืน 43.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3
สินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 205.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.6
การค้าผ่านแดนไทย-ลาว มูลค่าการค้าผ่านแดน 1390.5 ล้านบาท เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนมูลค่า 1335.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1
สินค้าผ่านแดนไทยไปลาว 764.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 สินค้าสำคัญ ได้แก่ สุรา 229.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เครื่องจักรและอุปกรณ์ 113.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 64.1 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 68.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 53.5 บุหรี่ 55.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 58.4
สินค้าผ่านแดนจากลาว 626.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 สินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย 512.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เครื่องจักรและอุปกรณ์ 38.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าแปดเท่า เมล็ดกาแฟดิบ 38.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 68.7
7.2 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา
การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เดือนกุมภาพันธ์ 2548 มีมูลค่าการค้า 1,972.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.1 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออก 1,870.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 และการนำเข้า 102.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.5
การส่งออก สินค้าในหมวดอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าส่งออก ที่สำคัญ ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 217.7 ล้านบาท และวัสดุก่อสร้าง 154.6 ล้านบาท โดยลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.7 และร้อยละ 7.5 ตามลำดับ ส่วนน้ำมันปิโตรเลียมและเชื้อเพลิงอื่นๆ มูลค่า 153.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
การนำเข้า สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (รวมหวาย) มูลค่า 27.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 36.1 และเสื้อผ้าเก่า (ผ้าห่มเก่า) 24.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 34 เท่าตัว
8. ภาคการเงิน
เดือนนี้ธนาคารพาณิชย์ในภาคฯมีสาขาทั้งสิ้น 498 สำนักงาน (รวมสาขาย่อย 63 สำนักงาน) เท่ากับเดือนก่อนข้อมูลเบื้องต้น ธนาคารพาณิชย์ในภาคฯ มีเงินฝากคงค้าง 289,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 8.2 และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.4 ทั้งนี้ เงินฝากคงค้างของธนาคารพาณิชย์ในภาคเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ลูกค้าบางส่วนถอนเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายมากขึ้นกว่าปกติ ในด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 237,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.6 และใกล้เคียงกับเดือนก่อน เดือนนี้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มขึ้นจาก สิ้นกุมภาพันธ์ปีก่อนที่ร้อยละ 81.0 เป็นร้อยละ 82.0 ในเดือนนี้สำหรับสินเชื่อสำคัญที่เพิ่มขึ้นในเดือนนี้ได้แก่ สินเชื่ออุตสาหกรรม (ธัญพืช ) รองลงมา ได้แก่ สินเชื่อการบริการ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่อก่อสร้างตามลำดับ สำหรับสินเชื่อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปของปีนี้ ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจฟาร์มไก่ ธุรกิจโรงสีขนาดเล็ก และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลงอัตราดอกเบี้ยโดยทั่วไปของธนาคารพาณิชย์ในภาคฯ เดือนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ด้านเงินฝากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 12 เดือนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.00-1.50 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่างร้อยละ 0.50-1.00 ต่อปี ด้านสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.50 -6.70 ต่อปี MRR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.00 ต่อปีและ MOR อยู่ระหว่างร้อยละ 5.75-7.00 ต่อปีปริมาณการใช้เช็ค
เดือนนี้ปริมาณการใช้เช็คผ่านสำนักหักบัญชีในภาคฯ 270,275 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน และจำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คทั้งสิ้น 37,840.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2
สำหรับปริมาณเช็คคืนทั้งสิ้น 5,304 ฉบับ ลดลงร้อยละ 1.7 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่จำนวนเงินที่สั่งจ่าย 751.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.9 ทำให้สัดส่วนจำนวนเงินตามเช็คคืนทั้งสิ้นต่อเช็คเรียกเก็บเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนเป็นร้อยละ 2.0 ในเดือนนี้ในขณะที่เช็คคืนเพราะไม่มีเงินมีทั้งสิ้น 3,193 ฉบับ ลดลงร้อยละ 0.9 แต่จำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็คดังกล่าว มีทั้งสิ้น 262.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนร้อยละ 12.4 สัดส่วนจำนวนเงินเช็คคืนเพราะไม่มีเงินต่อเช็คเรียกเก็บเดือนนี้เท่ากับเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 0.7
9. ภาคการคลังรัฐบาล เดือนนี้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในภาคฯ 1,650.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 12.1 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 ตามผลประกอบการที่ดีขึ้นของภาคธุรกิจภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีสุราเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 จากการจัดเก็บภาษีจากเบียร์เพิ่มขึ้นด้านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 12,334.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.0 เนื่องจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 6,929.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.4 ส่วนใหญ่เป็นการเบิกจ่ายหมวดเงินเดือนลดลง ผลจากการเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการใหม่ โดยส่วนกลางจะโอนเงินเดือนเข้าบัญชีของข้าราชการโดยตรง ส่วนรายจ่ายลงทุน 5,405.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 เป็นผลจากการเบิกจ่ายเงินหมวดเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
สำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2548 ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 นั้น มีผลการเบิกจ่ายคิดเป็น ร้อยละ 78.1 ของวงเงินประจำงวดที่ได้รับอนุมัติซึ่งมีอัตราส่วนการเบิกจ่ายสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน (อัตราการเบิกจ่ายคิด เป็นร้อยละ 74.7) เป็นการเบิกจ่ายงบประจำร้อยละ 90.5 ของวงเงินประจำงวดฯ (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 91.2)และงบลงทุนเบิกจ่ายร้อยละ 61.6 (ปีก่อนอัตราการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 43.6)
10. ระดับราคา
อัตราเงินเฟ้อวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในภาคฯเดือนนี้สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.5 และสูงขึ้น จากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9
ราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และสูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 5.5 สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ ผักสด แปรรูป เป็ด ไก่ เนื่องจากผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมีไม่มาก ขณะที่ ความต้องการบริโภคยังสูง ผู้บริโภคมีความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการบริโภคจากการรณรงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐอีกทั้งช่วงต้นเดือนเป็นเทศกาลตรุษจีนความต้องการบริโภคผักสดจึงมีความต้องการมากกว่าปกติ
ราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.3 และสูงขึ้นจากเดือน เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าในหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ราคาน้ำมัน ที่ปรับราคาสูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมันเบนซินที่ได้ปรับราคาขายปลีกสูงขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร ถึง 2 ครั้งในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2548 อีกทั้งราคาน้ำมันดีเซลก็ได้ปรับราคาขายปลีกสูงขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตรในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 เช่นกัน จึงเป็นผลให้โดยรวมแล้วราคาน้ำมันเบนซินในเดือนนี้ก็ยังสูงกว่าปีก่อนมาก
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ระดับราคาวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป โดยหักราคาสินค้าในหมวด อาหารสดและพลังงาน) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนแต่สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.5
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--