ดร. นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจา กลุ่มบริการด้านการเงิน เปิดเผยว่าในวันที่สองของการเจรจาระหว่างไทย — สหรัฐฯ ในเรื่องการเปิดเสรี บริการด้านการเงินฝ่ายไทย และสหรัฐฯยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องกรอบ การจัดทำความตกลง การเปิดเสรีบริการด้านการเงิน เนื่องจากฝ่ายสหรัฐฯ ยังคงยืนยันว่าไม่สามารถตกลง ตามรูปแบบที่ไทยเสนอ แม้ว่าจะเข้าใจความกังวลของฝ่ายไทยต่อการเปิดเสรีในรูปแบบของสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯได้ใช้รูปแบบนี้เป็นรูป
แบบมาตรฐานในการเจรจากับประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมาโดยตลอด
การเจรจาในวันที่สองนี้จึงเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็น และทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ได้แก่ กฎระเบียบด้านการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนของประเทศไทย กลไกระงับข้อพิพาทของบทบริการด้านการเงิน กฎระเบียบด้านธุรกิจ ประกันภัย
ทางสหรัฐฯ ได้แสดงความสนใจเป็นพิเศษในการเปิดตลาดธุรกิจ 2 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจ
ประกันภัยโดยผลักดันให้ไทยปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่สหรัฐฯในการเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น รวมทั้งขอให้ระบุในกฎหมายไทยให้บริษัทประกันภัยของสหรัฐฯ มีสิทธิดีกว่าบริษัทต่างชาติรายอื่นๆในการทำธุรกิจใน
ไทย 2) ธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนรวมในประเทศซึ่งฝ่ายสหรัฐฯต้องการให้ไทยอนุญาตให้กองทุนรวม
ในประเทศสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้โดยไม่มีขอบเขต และต้องการให้ไทยเปิดให้บริษัทจัดการกองทุนรวมของสหรัฐฯ สามารถระดมทุนในประเทศไทย และบริหารจัดการการลงทุนได้อย่างเสรี ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งว่า ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับเคลื่อนย้ายเงินทุน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สุดท้าย สหรัฐฯ ขอให้ฝ่ายไทยเริ่มพิจารณาร่าง Text ของสหรัฐฯ เป็นหลักเพื่อให้เกิด ความคืบหน้าในการเจรจา เนื่องจากเห็นว่าความคืบหน้าของสาขาการเงินล่าช้ากว่าการเจรจา ในสาขาอื่น ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าต้องการให้มีความตกลงกันในหลักการดังกล่าวก่อนจะดำเนินการเจรจาในรายละเอียดและยกร่างข้อตกลงต่อไป นอกจากนี้ ดร. นริศ ได้แสดงความกังวลของการเปิดเสรี 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ขณะนี้ไทยต้องการเวลาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินในประเทศโดยการควบรวมกิจการ 2) บทเรียนจากอดีตที่มีการถอนตัวของธนาคารต่างชาติในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 3) ความเสี่ยงและผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี เปิดช่องให้กองทุนประเภท Hedge Fund เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น 4) ผลกระทบจากการเปิดเสรีต่อดุลบัญชีเดินสะพัด 5) ระบบการกำกับดูแลในประเทศไทยยังไม่เอื้ออำนวยต่อการเปิดเสรี 6) ความจำเป็นของไทยในการมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อเป็นเครื่องมือของรัฐในการดำเนินนโยบายต่างๆ
การประชุมครั้งต่อไปสำหรับกลุ่มบริการด้านการเงินจะมีขึ้นประมาณปลายเดือน กันยายน 2548 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งจะประชุมต่อเนื่องกับการประชุมประจำปีของ World Bank และ IMF ทั้งนี้ในระหว่างก่อน กำหนดการ เจรจาครั้งต่อไป ทั้งสองฝ่ายอาจจะหารือระหว่างกันโดยฝ่ายสหรัฐฯจะนัดหมายให้ฝ่ายไทยพบกับ FED และ SEC เพื่อหารือกฎระเบียบในการเข้าสู่ตลาด ของสหรัฐฯในรายละเอียด
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 54/2548 12 กรกฎาคม 48--
แบบมาตรฐานในการเจรจากับประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมาโดยตลอด
การเจรจาในวันที่สองนี้จึงเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็น และทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ได้แก่ กฎระเบียบด้านการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนของประเทศไทย กลไกระงับข้อพิพาทของบทบริการด้านการเงิน กฎระเบียบด้านธุรกิจ ประกันภัย
ทางสหรัฐฯ ได้แสดงความสนใจเป็นพิเศษในการเปิดตลาดธุรกิจ 2 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจ
ประกันภัยโดยผลักดันให้ไทยปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่สหรัฐฯในการเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น รวมทั้งขอให้ระบุในกฎหมายไทยให้บริษัทประกันภัยของสหรัฐฯ มีสิทธิดีกว่าบริษัทต่างชาติรายอื่นๆในการทำธุรกิจใน
ไทย 2) ธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนรวมในประเทศซึ่งฝ่ายสหรัฐฯต้องการให้ไทยอนุญาตให้กองทุนรวม
ในประเทศสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้โดยไม่มีขอบเขต และต้องการให้ไทยเปิดให้บริษัทจัดการกองทุนรวมของสหรัฐฯ สามารถระดมทุนในประเทศไทย และบริหารจัดการการลงทุนได้อย่างเสรี ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งว่า ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับเคลื่อนย้ายเงินทุน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สุดท้าย สหรัฐฯ ขอให้ฝ่ายไทยเริ่มพิจารณาร่าง Text ของสหรัฐฯ เป็นหลักเพื่อให้เกิด ความคืบหน้าในการเจรจา เนื่องจากเห็นว่าความคืบหน้าของสาขาการเงินล่าช้ากว่าการเจรจา ในสาขาอื่น ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าต้องการให้มีความตกลงกันในหลักการดังกล่าวก่อนจะดำเนินการเจรจาในรายละเอียดและยกร่างข้อตกลงต่อไป นอกจากนี้ ดร. นริศ ได้แสดงความกังวลของการเปิดเสรี 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ขณะนี้ไทยต้องการเวลาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินในประเทศโดยการควบรวมกิจการ 2) บทเรียนจากอดีตที่มีการถอนตัวของธนาคารต่างชาติในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 3) ความเสี่ยงและผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี เปิดช่องให้กองทุนประเภท Hedge Fund เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น 4) ผลกระทบจากการเปิดเสรีต่อดุลบัญชีเดินสะพัด 5) ระบบการกำกับดูแลในประเทศไทยยังไม่เอื้ออำนวยต่อการเปิดเสรี 6) ความจำเป็นของไทยในการมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อเป็นเครื่องมือของรัฐในการดำเนินนโยบายต่างๆ
การประชุมครั้งต่อไปสำหรับกลุ่มบริการด้านการเงินจะมีขึ้นประมาณปลายเดือน กันยายน 2548 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งจะประชุมต่อเนื่องกับการประชุมประจำปีของ World Bank และ IMF ทั้งนี้ในระหว่างก่อน กำหนดการ เจรจาครั้งต่อไป ทั้งสองฝ่ายอาจจะหารือระหว่างกันโดยฝ่ายสหรัฐฯจะนัดหมายให้ฝ่ายไทยพบกับ FED และ SEC เพื่อหารือกฎระเบียบในการเข้าสู่ตลาด ของสหรัฐฯในรายละเอียด
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 54/2548 12 กรกฎาคม 48--