แท็ก
อุตสาหกรรมอาหาร
1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 6.8 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2547 และเปลี่ยนแปลงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 0.6 (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้ง แต่หากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประมาณร้อยละ 85 เนื่องจากเป็นช่วงเปิดหีบการผลิต สำหรับภาวะการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 พบว่า อัตราการผลิตหดตัวลง ร้อยละ 22.2 ตามการลดลงของผลผลิตอ้อยจากสภาวะแห้งแล้ง
การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตพืชผลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักลดลง ได้แก่ กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ ลดลงร้อยละ 1.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช ลดลงร้อยละ 6.8 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 7.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับการผลิตสินค้าแปรรูปปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 19.9 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 21.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งตลาดภายในและตลาดต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จากปัญหาโรคไข้หวัดนกระบาดรอบสองประกอบกับมาตรการที่เข้มงวดของประเทศผู้นำเข้าในการตรวจรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทย ส่งผลให้การผลิตอาหารสัตว์ลดลงเช่นกัน ร้อยละ 10.2 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 2.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนสินค้าอาหารกลุ่มแปรรูปประมง พบว่า มีการผลิตลดลงร้อยละ 17.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากการสูญเสียผลผลิตวัตถุดิบบางส่วนจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติบริเวณฝั่งทะเลอันดามัน และการชะลอการนำเข้าสินค้ากุ้งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักสำคัญของไทย ส่งผลให้ราคาส่งออกปรับตัวลดลง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและการขนส่งเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการผลิตสินค้าแปรรูปประมงขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.4 เนื่องจากการได้รับคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) จากสหภาพยุโรป และการประกาศผลการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ ไม่สูงเท่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอาหารเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบและบริโภคในประเทศ กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 อัตราการผลิตของสินค้าอาหารทั้งสองกลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.4 และ 23.2 ตามลำดับ
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2548 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศ (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 7.8 จากไตรมาสก่อน และขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 2) เป็นผลมาจากปัจจัยด้านปริมาณการผลิตที่หดตัว และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากความวิตกกังวลในเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหารยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวลง
สินค้าอาหารสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ สินค้าแปรรูปปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากราคาภายในประเทศที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคลดลง แม้จะอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก จะพบว่าสินค้าแปรรูปปศุสัตว์มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศที่ดีขึ้น
ตลาดสินค้าแปรรูปประมงอยู่ในภาวะหดตัวเช่นกัน โดยมีปริมาณการจำหน่าย ลดลงร้อยละ 29.8 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 24.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นในการบริโภคอาหารทะเลภายหลังการเกิดภัยพิบัติสึนามิ ประกอบกับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่มีการจำหน่ายลดลง ตามปริมาณการผลิตที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ได้แก่ อาหารสัตว์ ลดลงร้อยละ 9.7 ผลิตภัณฑ์ขนมอบ ลดลงร้อยละ 1.8 และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 34.3
สำหรับสินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ สินค้าแปรรูปผักและผลไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ตามอุปสงค์ภายในประเทศ
2.2 ตลาดต่างประเทศ
1) การส่งออก
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 การส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่ารวม 78,904.8 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.9 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 3) ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 จะพบว่าภาวะการส่งออกในรูปของมูลค่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมอาหาร เป็นผลจากปัจจัยด้านปริมาณเป็นสำคัญ โดยการส่งออกในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
- กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 35,168.5 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอาหารทะเลกระป๋อง ร้อยละ 31.5 และอาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 17.7 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกหดตัวร้อยละ 3.7 จากการขาดแคลนวัตถุดิบ ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 12,845.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสูงเทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำให้สามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ประกอบกับราคาส่งออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผักผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตในตลาดโลกลดลง ในขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 5,954.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไก่แปรรูปที่มีการขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง โดยตลาดส่งออกหลักสินค้าไก่แปรรูป คือ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้
- กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช มีมูลค่าการส่งออก 12,675.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการปรับราคาส่งออกสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งมีตลาดรองรับอื่นที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย โดยมีอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญ แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้หดตัวร้อยละ 4.5 จากภาวะแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีมูลค่าการส่งออก 8,603.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 185.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปัจจัยด้านปริมาณและราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการ ในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.3 จากอุปทานที่ลดลงเพราะประสบปัญหาภาวะภัยแล้ง
กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 3,656.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเครื่องเทศและสมุนไพรในอัตราร้อยละ 37.5 นมและผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 99.8 และสิ่งปรุงรส ร้อยละ 45.6 และหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
จะพบว่าการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4
2) การนำเข้า
การนำเข้าสินค้าอาหารของไทย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่ารวม 32,005.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 จากไตรมาสก่อน (ตารางที่ 4) โดยเป็นการขยายตัวของทั้งกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.8 และ 17 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณนำเข้าเพื่อทดแทนผลผลิตวัตถุดิบในประเทศที่ลดลงจากภาวะภัยแล้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ดี แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น แต่จากราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการลดลง เช่น ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ และสัตว์น้ำสำหรับการบริโภค เป็นต้น
เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในอัตราร้อยละ 11.8 ในขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 2.3 โดยเฉพาะสัตว์น้ำสดแช่เย็นแช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์จากพืช เนื่องจากราคานำเข้าที่ถูกลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้การนำเข้าในรูปของมูลค่าลดลง แม้ว่าจะมีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสแรก ของปี 2548 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่
- มาตรการแก้ไขปัญหาจากระเบียบการนำเข้าสินค้าไก่ของประเทศคู่ค้าที่กำหนดให้โรงงานส่งออกสินค้าไก่แปรรูปของไทยต้องผ่านการตรวจรับรองโดยหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศ
ผู้นำเข้าก่อน ซึ่งรัฐบาลไทยได้เร่งดำเนินการให้ประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ รวมทั้งรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ เข้ามาตรวจโรงงานไก่แปรรูปของไทยเพิ่มขึ้น โดยผลการตรวจรับรองโรงงานและการพิจารณาเปิดตลาดของประเทศผู้นำเข้าดังกล่าว อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ทำให้สินค้าไก่ของไทย โดยเฉพาะไก่แปรรูป สามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น
- กรณีสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการทุ่มตลาดกับสินค้ากุ้งของไทย และได้ประกาศอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้าย เมื่อเดือนธันวาคม 2547 ประกอบกับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิต่ออุตสาหกรรมกุ้งของไทย รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกุ้งไทย โดยประมวลข้อมูลความเสียหายทั้งหมด เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเจรจาผลักดันให้คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (ITC) ของสหรัฐฯ พิจารณาทบทวนการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของไทยกรณีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง (Changed Circumstance Review) อีกครั้งหนึ่ง
- คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 เห็นชอบในการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก โดยให้จังหวัดตราดเป็นตลาดกลางรับรองผลิตผลการเกษตรและการค้าชายแดนภาคตะวันออก เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้า (Hub) ในภูมิภาคอินโดจีน และให้จังหวัดจันทบุรีเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนการค้าภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสการผลิตและการค้าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ของไทย ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
4. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมอาหาร ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากธรณีภัยพิบัติและภาวะภัยแล้ง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับลดลงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ได้รับการชดเชยจากราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของสินค้าบางรายการ เช่น ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยแล้งเช่นกัน นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเป็นไก่แปรรูป ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของตลาดอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการลดความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตของประเทศคู่ค้า การคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่สินค้ากุ้งไทยของสหภาพยุโรป (EU) และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยสึนามิ รวมถึงการให้การตรวจรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทยเพิ่มขึ้น จากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐฯ รัสเซีย และจีน ทั้งนี้ รัฐบาลควรมีความชัดเจนในการดำเนินนโยบายการใช้วัคซีนไข้หวัดนกในสัตว์ปีก ยกเว้นไก่เนื้อส่งออก โดยจะต้องควบคุมไม่ให้มีการลักลอบนำมาใช้กับไก่ส่งออกอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงรายย่อย การแข็งค่าของเงินบาท สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก และภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 6.8 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2547 และเปลี่ยนแปลงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 0.6 (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยแล้ง แต่หากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประมาณร้อยละ 85 เนื่องจากเป็นช่วงเปิดหีบการผลิต สำหรับภาวะการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 พบว่า อัตราการผลิตหดตัวลง ร้อยละ 22.2 ตามการลดลงของผลผลิตอ้อยจากสภาวะแห้งแล้ง
การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตพืชผลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักลดลง ได้แก่ กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ ลดลงร้อยละ 1.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช ลดลงร้อยละ 6.8 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 7.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับการผลิตสินค้าแปรรูปปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 19.9 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 21.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งตลาดภายในและตลาดต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จากปัญหาโรคไข้หวัดนกระบาดรอบสองประกอบกับมาตรการที่เข้มงวดของประเทศผู้นำเข้าในการตรวจรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทย ส่งผลให้การผลิตอาหารสัตว์ลดลงเช่นกัน ร้อยละ 10.2 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 2.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนสินค้าอาหารกลุ่มแปรรูปประมง พบว่า มีการผลิตลดลงร้อยละ 17.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากการสูญเสียผลผลิตวัตถุดิบบางส่วนจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติบริเวณฝั่งทะเลอันดามัน และการชะลอการนำเข้าสินค้ากุ้งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักสำคัญของไทย ส่งผลให้ราคาส่งออกปรับตัวลดลง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและการขนส่งเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการผลิตสินค้าแปรรูปประมงขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.4 เนื่องจากการได้รับคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) จากสหภาพยุโรป และการประกาศผลการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ ไม่สูงเท่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอาหารเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบและบริโภคในประเทศ กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 อัตราการผลิตของสินค้าอาหารทั้งสองกลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.4 และ 23.2 ตามลำดับ
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2548 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศ (ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 7.8 จากไตรมาสก่อน และขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 2) เป็นผลมาจากปัจจัยด้านปริมาณการผลิตที่หดตัว และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากความวิตกกังวลในเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหารยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวลง
สินค้าอาหารสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ สินค้าแปรรูปปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากราคาภายในประเทศที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคลดลง แม้จะอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก จะพบว่าสินค้าแปรรูปปศุสัตว์มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศที่ดีขึ้น
ตลาดสินค้าแปรรูปประมงอยู่ในภาวะหดตัวเช่นกัน โดยมีปริมาณการจำหน่าย ลดลงร้อยละ 29.8 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 24.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นในการบริโภคอาหารทะเลภายหลังการเกิดภัยพิบัติสึนามิ ประกอบกับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่มีการจำหน่ายลดลง ตามปริมาณการผลิตที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ได้แก่ อาหารสัตว์ ลดลงร้อยละ 9.7 ผลิตภัณฑ์ขนมอบ ลดลงร้อยละ 1.8 และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 34.3
สำหรับสินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ได้แก่ สินค้าแปรรูปผักและผลไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 น้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และผลิตภัณฑ์จากแป้ง มันสำปะหลัง และธัญพืช เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ตามอุปสงค์ภายในประเทศ
2.2 ตลาดต่างประเทศ
1) การส่งออก
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 การส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่ารวม 78,904.8 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.9 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 3) ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 จะพบว่าภาวะการส่งออกในรูปของมูลค่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมอาหาร เป็นผลจากปัจจัยด้านปริมาณเป็นสำคัญ โดยการส่งออกในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
- กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 35,168.5 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอาหารทะเลกระป๋อง ร้อยละ 31.5 และอาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 17.7 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกหดตัวร้อยละ 3.7 จากการขาดแคลนวัตถุดิบ ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 12,845.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสูงเทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำให้สามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ประกอบกับราคาส่งออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผักผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตในตลาดโลกลดลง ในขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 5,954.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไก่แปรรูปที่มีการขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง โดยตลาดส่งออกหลักสินค้าไก่แปรรูป คือ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้
- กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช มีมูลค่าการส่งออก 12,675.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการปรับราคาส่งออกสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งมีตลาดรองรับอื่นที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย โดยมีอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญ แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้หดตัวร้อยละ 4.5 จากภาวะแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีมูลค่าการส่งออก 8,603.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 185.9 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปัจจัยด้านปริมาณและราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการ ในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.3 จากอุปทานที่ลดลงเพราะประสบปัญหาภาวะภัยแล้ง
กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 3,656.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเครื่องเทศและสมุนไพรในอัตราร้อยละ 37.5 นมและผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 99.8 และสิ่งปรุงรส ร้อยละ 45.6 และหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
จะพบว่าการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4
2) การนำเข้า
การนำเข้าสินค้าอาหารของไทย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่ารวม 32,005.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 จากไตรมาสก่อน (ตารางที่ 4) โดยเป็นการขยายตัวของทั้งกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.8 และ 17 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณนำเข้าเพื่อทดแทนผลผลิตวัตถุดิบในประเทศที่ลดลงจากภาวะภัยแล้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ดี แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น แต่จากราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการลดลง เช่น ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ และสัตว์น้ำสำหรับการบริโภค เป็นต้น
เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในอัตราร้อยละ 11.8 ในขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 2.3 โดยเฉพาะสัตว์น้ำสดแช่เย็นแช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์จากพืช เนื่องจากราคานำเข้าที่ถูกลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้การนำเข้าในรูปของมูลค่าลดลง แม้ว่าจะมีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสแรก ของปี 2548 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่
- มาตรการแก้ไขปัญหาจากระเบียบการนำเข้าสินค้าไก่ของประเทศคู่ค้าที่กำหนดให้โรงงานส่งออกสินค้าไก่แปรรูปของไทยต้องผ่านการตรวจรับรองโดยหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศ
ผู้นำเข้าก่อน ซึ่งรัฐบาลไทยได้เร่งดำเนินการให้ประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ รวมทั้งรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ เข้ามาตรวจโรงงานไก่แปรรูปของไทยเพิ่มขึ้น โดยผลการตรวจรับรองโรงงานและการพิจารณาเปิดตลาดของประเทศผู้นำเข้าดังกล่าว อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ทำให้สินค้าไก่ของไทย โดยเฉพาะไก่แปรรูป สามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น
- กรณีสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการทุ่มตลาดกับสินค้ากุ้งของไทย และได้ประกาศอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้าย เมื่อเดือนธันวาคม 2547 ประกอบกับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิต่ออุตสาหกรรมกุ้งของไทย รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกุ้งไทย โดยประมวลข้อมูลความเสียหายทั้งหมด เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเจรจาผลักดันให้คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (ITC) ของสหรัฐฯ พิจารณาทบทวนการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของไทยกรณีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง (Changed Circumstance Review) อีกครั้งหนึ่ง
- คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 เห็นชอบในการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก โดยให้จังหวัดตราดเป็นตลาดกลางรับรองผลิตผลการเกษตรและการค้าชายแดนภาคตะวันออก เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้า (Hub) ในภูมิภาคอินโดจีน และให้จังหวัดจันทบุรีเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนการค้าภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสการผลิตและการค้าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ของไทย ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
4. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมอาหาร ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากธรณีภัยพิบัติและภาวะภัยแล้ง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับลดลงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ได้รับการชดเชยจากราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของสินค้าบางรายการ เช่น ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยแล้งเช่นกัน นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเป็นไก่แปรรูป ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของตลาดอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการลดความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตของประเทศคู่ค้า การคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่สินค้ากุ้งไทยของสหภาพยุโรป (EU) และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยสึนามิ รวมถึงการให้การตรวจรับรองโรงงานแปรรูปไก่ของไทยเพิ่มขึ้น จากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐฯ รัสเซีย และจีน ทั้งนี้ รัฐบาลควรมีความชัดเจนในการดำเนินนโยบายการใช้วัคซีนไข้หวัดนกในสัตว์ปีก ยกเว้นไก่เนื้อส่งออก โดยจะต้องควบคุมไม่ให้มีการลักลอบนำมาใช้กับไก่ส่งออกอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงรายย่อย การแข็งค่าของเงินบาท สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก และภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-