12 ธันวาคม 2549
คดีหนีภาษีของ พี่ชายภรรยา อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จบลงที่ รองอธิบดี (ปัจจุบันเป็น อธิบดี) และเจ้าหน้าที่ระดับสูง ของกรมสรรพากร โดนข้อหา ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แถมโดนคดีอาญา พ่วงท้าย
มีคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า แล้วอธิบดีกรมสรรพากร ในขณะนั้น รวมทั้งฝ่ายการเมือง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำไมถึงลอยนวลอยู่ได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่า ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องรับผิดเท่านั้น รับแต่ความชอบอย่างเดียว แล้วเวลาได้โบนัส ผลงานดีเด่น ทำไมตำแหน่งอธิบดี รับเละ พอถึงเวลาต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น กับล่องหนหายตัว แต่ลูกน้องโดนกันทั่วหน้า เป็นธรรมแล้วหรือ
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ประเทศไทยของเรายังด้อยพัฒนาเหลือเกิน โดยเฉพาะด้านจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ความสำนึกในหน้าที่ ของผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเล่าเรียนมามากเพียงใด จบการศึกษาจากเมืองนอกเมืองนากันทั้งนั้น แต่สอบตกในเรื่องนี้ เกือบทั้งสิ้น
พิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กันดีกว่า จะได้มองเห็นภาพชัดขึ้น
เกือบทุกครั้งที่มีการจับทุจริตจากการบริหารราชการแผ่นดินของนักการเมือง ข้าราชการประจำจะถูกลงโทษเป็นส่วนใหญ่ นักการเมืองที่เป็นผู้บงการตัวจริง เอาตัวรอดได้ตลอด มีคนสมน้ำหน้า บอกว่า ที่นักการเมืองโกงได้ เพราะข้าราชการประจำร่วมมือ ควรแล้วที่ข้าราชการจะต้องรับโทษ จะได้เข็ดกันเสียบ้าง
คณะกรรมการ ปปช. วินิจฉัยว่า อธิบดีกรมสรรพากร และ ข้าราชการกรม ระดับสูง 4 ท่านมีความผิด ทั้งทางวินัยและทางอาญา ที่ละเลยไม่ปฎิบัติหน้าที่ ไม่เรียกเก็บภาษี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ คลิกที่ ใครว่าคนรวยไม่โกง ฉบับ ผมผิดด้วยหรือ ได้ครับ
การที่กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษี ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ น่าจะเป็นคำถาม ในเบื้องต้น เพราะมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องมีแรงจูงใจทั้งสิ้น กรณีหนีภาษี ไม่ต้องถามก็รู้ว่า ผู้เสียประโยชน์คือ ประชาชน ประเทศชาติ เงินไม่เข้ารัฐ ขาดรายได้ที่พึงจะได้ ตอบได้ง่ายอีกเหมือนกันว่า ผู้ได้ประโยชน์ คือ นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชายภรรยาคุณทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี รวยขึ้นอีก มีรายได้แล้วไม่ต้องเสียภาษี
หาคำตอบยากหน่อย คือ ข้าราชการที่โดนลงโทษ เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจ ที่ทำให้ท่านเหล่านั้น กล้าทำความผิดในหน้าที่ หรือจะเดาเล่นๆว่า อธิบดีกรมสรรพากร ตอนที่เกิดเรื่อง มีตำแหน่งเป็นรองอธิบดี เผลอแป๊บเดียว ได้ เลื่อนชั้นเป็นอธิบดีกรมสรรพากร กรมที่มีความสำคัญมากที่สุดของกระทรวง ได้ตำแหน่ง เพราะช่วยญาติอดีตนายกหนีภาษี จริงหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งอธิบดีกรมสรรพากรที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของรองอธิบดีในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวง เป็นเบอร์หนึ่งของกระทรวง ไต่เต้าทำนองเดียวกันหรือไม่ พิสูจน์ยากมาก เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ความจริง
บางครั้งผมก็อดที่จะสงสารข้าราชการประจำไม่ได้ เห็นใจ แต่ก็แบบที่รู้รู้กันอยู่ว่า ท่านตัดสินใจเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการประจำ ตำแหน่งมี เกียรติ พอเกิดปัญหา จะมาอ้างว่าทำตามนายสั่ง ตัวท่านไม่มีทางเลือก กลัวไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่ คงจะไม่ได้ครับ เพราะมี ข้าราชการอีกเป็นจำนวนมาก ที่เขายืนหยัด ไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ไม่ถูกต้องของนักการเมือง ท่านเหล่านี้ ไม่ต้องการลาภยศ เงินทอง โดยทางลัด บ้านเมืองของเราอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะท่านเหล่านี้ ที่เงินหรือตำแหน่ง มาล่อเท่าไหร่ ก็ซื้อไม่ได้
แล้วซีกของนักการเมือง ของรัฐมนตรี ละครับ
ตรงนี้ก็มีขบวนการการตรวจสอบที่ใช้กันในสภา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ช่วงนั้น ผมเป็น สส. พรรค ประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลคุณทักษิณ พรรคปชป. อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลคุณทักษิณ หลายประเด็น ในส่วนของผม ผมได้กล่าวหา คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าท่านละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้กรมสรรพากร ไม่เรียกเก็บภาษีนายบรรณพจน์ เพราะ เป็นญาติของ นายก ซึ่งเป็นนายของคุณสมคิดโดยตรง
นอกจากการอภิปรายในสภา และการลงมติตามขบวนการแล้ว ฝ่ายตรวจสอบคือพวกผม ยังต้องส่งข้อมูลและเหตุผลประกอบข้อกล่าวหา ไปให้ ปปช. ได้พิจารณา ควบคู่กันไป ฝ่ายตรวจสอบจะมากล่าวหารัฐมนตรี ลอยๆโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้ ครับ รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ถูกฉีกไปเมื่อไม่นานมานี่ มีข้อดีอยู่หลายอย่างเหมือนกัน
คณะกรรมการปปช. สมัยระบอบทักษิณ เขาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาของผมไม่มีมูล คุณสมคิด ไม่ผิด ไม่ต้องรับผิดชอบ โดยใช้เหตุผลประกอบ 4 ข้อ อ่านดูครับ
1. การเรียกเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมิน ( ผู้รับผิดชอบในแต่ละเขตท้องที่) ของกรมสรรพากร
2. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลด้านนโยบายเท่านั้น ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการเรียกเก็บภาษีหรือสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
3. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้มอบหมายให้ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้สั่งและปฏิบัติราชการแทนในส่วนงานของกรมสรรพากรแล้ว
4. นายศุภรัตน์ ควัฒกุล อธิบดีกรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การยืนยันว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ได้สั่งการใดๆ ให้กรมสรรพากรดำเนินการเรื่องนี้ให้มีผลไปทางใดทางหนึ่ง
อ่านแล้วเห็นชัดใช่ไหมครับว่า ชาตินี้ทั้งชาติ รวมชาติหน้าเข้าไปด้วย เราไม่มีวันเอาผิดกับนักการเมืองได้เลย ถ้าใช้มาตราฐานการพิจารณาความผิดทางการเมืองในแนวนี้ รัฐมนตรีหน้าไหน จะไปลงนามในหนังสือ เรียกเก็บภาษี หรือสั่งการให้ข้าราชการโกง เป็นลายลักษณ์อักษร ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อข้าราชการประจำ พิจารณายกเว้น ไม่เก็บภาษีกับครอบครัวนายก รัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแล จะนั่งเฉยๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
คณะกรรมการ ปปช. ยุคระบอบทักษิณ ไม่เอาผิด รัฐมนตรีสมคิด แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับ การที่กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษีนายบรรณพจน์ เพราะมีการแยกเรื่องเสนอเพื่อพิจารณาต่างหาก แปลกประหลาดดีครับ เชื่อว่าเมื่อ คณะกรรมการปปช. ชุดปัจจุบัน รับหน้าที่ จึงได้เดินเรื่องนี้ต่อ และ สามารถสร้างผลงานในการตรวจสอบและเอาผิดกับข้าราชการกรมสรรพากรได้อย่างรวดเร็ว
พอจะเห็นช่องโหว่ของกฎหมายแล้วใช่ไหมครับ ทำให้การเอาผิดนักการเมืองเป็นเรื่องยากแสนเข็น วิธีการพิจารณา จะเอาผิดเฉพาะผู้ปฏิบัติตัวจริงเท่านั้น ความจริงต่างประเทศ ก็ไม่ได้มีกฎหมายที่รัดกุมมากไปกว่าของเรา เพียงแต่ว่านักการเมืองของเขา หน้าบาง และมีจริยธรรม เมื่องานที่ตนเองรับผิดชอบมีปัญหา ถึงแม้ตนเองไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แต่ก็โดดเข้ารับผิดชอบ แค่รถไฟชนกันคนตาย ก็ลาออกจากหน้าที่แล้ว ถ้าเป็นรัฐมนตรีแบบไทยไทย ก็คงอ้างว่า ผมไม่ได้เป็นคนขับนะ ไม่ใช่ความผิดของผม ธรรมเนียมที่นักการเมือง (บาง คน ) ของพี่ไทยเรา ถ้ารัฐมนตรีชิงลาออก แสดงว่ามีความผิดจริง ถ้าต้องการแสดงถึงความถูกต้อง ไม่ผิด ต้องสู้กันในชั้นศาล ศาลเดียวไม่พอ ต้องถึงศาลสูงสุดกันเลย น่ากลุ้มไหมครับ
วันก่อนได้ยิน คุณสมคิดให้สัมภาษณ์ว่า จะกลับไปสอนหนังสือ ก็เลยชักจะเป็นห่วงน้องๆนักศึกษา ไม่แน่ใจว่าจะสอนวิชาอะไร เลือกที่เหมาะสมหน่อยก็แล้วกัน แต่พอได้ยินคุณสมคิดกล่าวว่า ถ้าประเทศชาติต้องการ ก็จะกลับมาเป็นนักการเมืองอีกครั้ง ขนาดถึงกับคิดตั้งพรรคการเมืองเองทีเดียว เลยอดไม่ได้ที่จะเสนอคุณสมคิดว่า ก่อนตัดสินใจกระโดดลงมาเป็นนักการเมือง เพราะมั่นใจในเสียงเรียกหาของประเทศชาติ อย่าลืมวัดใจประชาชน โดยวัดจากผลงานของกรมสรรพากร ช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการคลังด้วยก็แล้วกัน
นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพื่อท่านผู้อ่านจะได้รู้ความจริง จะได้เข้าใจในความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ปปช. ยุคนั้น ใช้แนวทางการพิจารณาความผิดทางการเมืองไม่ถูกต้อง ท่านผู้อ่านที่สงสัยว่าทำไมนักการเมืองถึงลอยตัวได้โดยตลอด ตอนนี้คงจะมองออกแล้วนะครับ
ผมมีข้อเสนอฝากไปยังผู้มีอำนาจ ที่ดูแลบ้านเมืองในขณะนี้ว่า ไอ้โม่งประเภท จ้างวานฆ่า ไม่ต้องลงมือเอง เคยถูกจับติดคุกติดตารางกันมาหลายคนแล้ว เพราะ ฆาตกร คนลงมือ ร่วมมือ กับทางการ ให้การซัดทอดไปถึงไอ้โม่ง ถึงเวลาแล้วครับ เลิกทำเล่นๆกันเสียที ขอความร่วมมือท่านอธิบดี ท่านข้าราชการเหล่านี้ กันไว้เป็นพยาน เปิดเผยความจริงทั้งหมดออกมา จับไอ้โม่งดำเนินคดี นำความจริงให้ปรากฏ จะได้เลิกพูดเรื่องเหตุผลการปฎิวัติ การปฏิรูป กันเสียที
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
www.korbsak.com
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ธ.ค. 2549--จบ--
คดีหนีภาษีของ พี่ชายภรรยา อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จบลงที่ รองอธิบดี (ปัจจุบันเป็น อธิบดี) และเจ้าหน้าที่ระดับสูง ของกรมสรรพากร โดนข้อหา ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แถมโดนคดีอาญา พ่วงท้าย
มีคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า แล้วอธิบดีกรมสรรพากร ในขณะนั้น รวมทั้งฝ่ายการเมือง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำไมถึงลอยนวลอยู่ได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่า ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องรับผิดเท่านั้น รับแต่ความชอบอย่างเดียว แล้วเวลาได้โบนัส ผลงานดีเด่น ทำไมตำแหน่งอธิบดี รับเละ พอถึงเวลาต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น กับล่องหนหายตัว แต่ลูกน้องโดนกันทั่วหน้า เป็นธรรมแล้วหรือ
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ประเทศไทยของเรายังด้อยพัฒนาเหลือเกิน โดยเฉพาะด้านจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ความสำนึกในหน้าที่ ของผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเล่าเรียนมามากเพียงใด จบการศึกษาจากเมืองนอกเมืองนากันทั้งนั้น แต่สอบตกในเรื่องนี้ เกือบทั้งสิ้น
พิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กันดีกว่า จะได้มองเห็นภาพชัดขึ้น
เกือบทุกครั้งที่มีการจับทุจริตจากการบริหารราชการแผ่นดินของนักการเมือง ข้าราชการประจำจะถูกลงโทษเป็นส่วนใหญ่ นักการเมืองที่เป็นผู้บงการตัวจริง เอาตัวรอดได้ตลอด มีคนสมน้ำหน้า บอกว่า ที่นักการเมืองโกงได้ เพราะข้าราชการประจำร่วมมือ ควรแล้วที่ข้าราชการจะต้องรับโทษ จะได้เข็ดกันเสียบ้าง
คณะกรรมการ ปปช. วินิจฉัยว่า อธิบดีกรมสรรพากร และ ข้าราชการกรม ระดับสูง 4 ท่านมีความผิด ทั้งทางวินัยและทางอาญา ที่ละเลยไม่ปฎิบัติหน้าที่ ไม่เรียกเก็บภาษี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ คลิกที่ ใครว่าคนรวยไม่โกง ฉบับ ผมผิดด้วยหรือ ได้ครับ
การที่กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษี ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ น่าจะเป็นคำถาม ในเบื้องต้น เพราะมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องมีแรงจูงใจทั้งสิ้น กรณีหนีภาษี ไม่ต้องถามก็รู้ว่า ผู้เสียประโยชน์คือ ประชาชน ประเทศชาติ เงินไม่เข้ารัฐ ขาดรายได้ที่พึงจะได้ ตอบได้ง่ายอีกเหมือนกันว่า ผู้ได้ประโยชน์ คือ นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชายภรรยาคุณทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี รวยขึ้นอีก มีรายได้แล้วไม่ต้องเสียภาษี
หาคำตอบยากหน่อย คือ ข้าราชการที่โดนลงโทษ เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจ ที่ทำให้ท่านเหล่านั้น กล้าทำความผิดในหน้าที่ หรือจะเดาเล่นๆว่า อธิบดีกรมสรรพากร ตอนที่เกิดเรื่อง มีตำแหน่งเป็นรองอธิบดี เผลอแป๊บเดียว ได้ เลื่อนชั้นเป็นอธิบดีกรมสรรพากร กรมที่มีความสำคัญมากที่สุดของกระทรวง ได้ตำแหน่ง เพราะช่วยญาติอดีตนายกหนีภาษี จริงหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งอธิบดีกรมสรรพากรที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของรองอธิบดีในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวง เป็นเบอร์หนึ่งของกระทรวง ไต่เต้าทำนองเดียวกันหรือไม่ พิสูจน์ยากมาก เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ความจริง
บางครั้งผมก็อดที่จะสงสารข้าราชการประจำไม่ได้ เห็นใจ แต่ก็แบบที่รู้รู้กันอยู่ว่า ท่านตัดสินใจเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการประจำ ตำแหน่งมี เกียรติ พอเกิดปัญหา จะมาอ้างว่าทำตามนายสั่ง ตัวท่านไม่มีทางเลือก กลัวไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่ คงจะไม่ได้ครับ เพราะมี ข้าราชการอีกเป็นจำนวนมาก ที่เขายืนหยัด ไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ไม่ถูกต้องของนักการเมือง ท่านเหล่านี้ ไม่ต้องการลาภยศ เงินทอง โดยทางลัด บ้านเมืองของเราอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะท่านเหล่านี้ ที่เงินหรือตำแหน่ง มาล่อเท่าไหร่ ก็ซื้อไม่ได้
แล้วซีกของนักการเมือง ของรัฐมนตรี ละครับ
ตรงนี้ก็มีขบวนการการตรวจสอบที่ใช้กันในสภา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ช่วงนั้น ผมเป็น สส. พรรค ประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลคุณทักษิณ พรรคปชป. อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลคุณทักษิณ หลายประเด็น ในส่วนของผม ผมได้กล่าวหา คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าท่านละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้กรมสรรพากร ไม่เรียกเก็บภาษีนายบรรณพจน์ เพราะ เป็นญาติของ นายก ซึ่งเป็นนายของคุณสมคิดโดยตรง
นอกจากการอภิปรายในสภา และการลงมติตามขบวนการแล้ว ฝ่ายตรวจสอบคือพวกผม ยังต้องส่งข้อมูลและเหตุผลประกอบข้อกล่าวหา ไปให้ ปปช. ได้พิจารณา ควบคู่กันไป ฝ่ายตรวจสอบจะมากล่าวหารัฐมนตรี ลอยๆโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้ ครับ รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ถูกฉีกไปเมื่อไม่นานมานี่ มีข้อดีอยู่หลายอย่างเหมือนกัน
คณะกรรมการปปช. สมัยระบอบทักษิณ เขาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาของผมไม่มีมูล คุณสมคิด ไม่ผิด ไม่ต้องรับผิดชอบ โดยใช้เหตุผลประกอบ 4 ข้อ อ่านดูครับ
1. การเรียกเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมิน ( ผู้รับผิดชอบในแต่ละเขตท้องที่) ของกรมสรรพากร
2. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลด้านนโยบายเท่านั้น ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการเรียกเก็บภาษีหรือสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
3. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้มอบหมายให้ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้สั่งและปฏิบัติราชการแทนในส่วนงานของกรมสรรพากรแล้ว
4. นายศุภรัตน์ ควัฒกุล อธิบดีกรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การยืนยันว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ได้สั่งการใดๆ ให้กรมสรรพากรดำเนินการเรื่องนี้ให้มีผลไปทางใดทางหนึ่ง
อ่านแล้วเห็นชัดใช่ไหมครับว่า ชาตินี้ทั้งชาติ รวมชาติหน้าเข้าไปด้วย เราไม่มีวันเอาผิดกับนักการเมืองได้เลย ถ้าใช้มาตราฐานการพิจารณาความผิดทางการเมืองในแนวนี้ รัฐมนตรีหน้าไหน จะไปลงนามในหนังสือ เรียกเก็บภาษี หรือสั่งการให้ข้าราชการโกง เป็นลายลักษณ์อักษร ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อข้าราชการประจำ พิจารณายกเว้น ไม่เก็บภาษีกับครอบครัวนายก รัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแล จะนั่งเฉยๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
คณะกรรมการ ปปช. ยุคระบอบทักษิณ ไม่เอาผิด รัฐมนตรีสมคิด แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับ การที่กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษีนายบรรณพจน์ เพราะมีการแยกเรื่องเสนอเพื่อพิจารณาต่างหาก แปลกประหลาดดีครับ เชื่อว่าเมื่อ คณะกรรมการปปช. ชุดปัจจุบัน รับหน้าที่ จึงได้เดินเรื่องนี้ต่อ และ สามารถสร้างผลงานในการตรวจสอบและเอาผิดกับข้าราชการกรมสรรพากรได้อย่างรวดเร็ว
พอจะเห็นช่องโหว่ของกฎหมายแล้วใช่ไหมครับ ทำให้การเอาผิดนักการเมืองเป็นเรื่องยากแสนเข็น วิธีการพิจารณา จะเอาผิดเฉพาะผู้ปฏิบัติตัวจริงเท่านั้น ความจริงต่างประเทศ ก็ไม่ได้มีกฎหมายที่รัดกุมมากไปกว่าของเรา เพียงแต่ว่านักการเมืองของเขา หน้าบาง และมีจริยธรรม เมื่องานที่ตนเองรับผิดชอบมีปัญหา ถึงแม้ตนเองไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แต่ก็โดดเข้ารับผิดชอบ แค่รถไฟชนกันคนตาย ก็ลาออกจากหน้าที่แล้ว ถ้าเป็นรัฐมนตรีแบบไทยไทย ก็คงอ้างว่า ผมไม่ได้เป็นคนขับนะ ไม่ใช่ความผิดของผม ธรรมเนียมที่นักการเมือง (บาง คน ) ของพี่ไทยเรา ถ้ารัฐมนตรีชิงลาออก แสดงว่ามีความผิดจริง ถ้าต้องการแสดงถึงความถูกต้อง ไม่ผิด ต้องสู้กันในชั้นศาล ศาลเดียวไม่พอ ต้องถึงศาลสูงสุดกันเลย น่ากลุ้มไหมครับ
วันก่อนได้ยิน คุณสมคิดให้สัมภาษณ์ว่า จะกลับไปสอนหนังสือ ก็เลยชักจะเป็นห่วงน้องๆนักศึกษา ไม่แน่ใจว่าจะสอนวิชาอะไร เลือกที่เหมาะสมหน่อยก็แล้วกัน แต่พอได้ยินคุณสมคิดกล่าวว่า ถ้าประเทศชาติต้องการ ก็จะกลับมาเป็นนักการเมืองอีกครั้ง ขนาดถึงกับคิดตั้งพรรคการเมืองเองทีเดียว เลยอดไม่ได้ที่จะเสนอคุณสมคิดว่า ก่อนตัดสินใจกระโดดลงมาเป็นนักการเมือง เพราะมั่นใจในเสียงเรียกหาของประเทศชาติ อย่าลืมวัดใจประชาชน โดยวัดจากผลงานของกรมสรรพากร ช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการคลังด้วยก็แล้วกัน
นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพื่อท่านผู้อ่านจะได้รู้ความจริง จะได้เข้าใจในความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ปปช. ยุคนั้น ใช้แนวทางการพิจารณาความผิดทางการเมืองไม่ถูกต้อง ท่านผู้อ่านที่สงสัยว่าทำไมนักการเมืองถึงลอยตัวได้โดยตลอด ตอนนี้คงจะมองออกแล้วนะครับ
ผมมีข้อเสนอฝากไปยังผู้มีอำนาจ ที่ดูแลบ้านเมืองในขณะนี้ว่า ไอ้โม่งประเภท จ้างวานฆ่า ไม่ต้องลงมือเอง เคยถูกจับติดคุกติดตารางกันมาหลายคนแล้ว เพราะ ฆาตกร คนลงมือ ร่วมมือ กับทางการ ให้การซัดทอดไปถึงไอ้โม่ง ถึงเวลาแล้วครับ เลิกทำเล่นๆกันเสียที ขอความร่วมมือท่านอธิบดี ท่านข้าราชการเหล่านี้ กันไว้เป็นพยาน เปิดเผยความจริงทั้งหมดออกมา จับไอ้โม่งดำเนินคดี นำความจริงให้ปรากฏ จะได้เลิกพูดเรื่องเหตุผลการปฎิวัติ การปฏิรูป กันเสียที
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
www.korbsak.com
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ธ.ค. 2549--จบ--