เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้(28 ก.ค. 49) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวยามเช้า ทาง คลื่นวิทยุ FM.101.0 ถึงการเตรียมการเลือกตั้งว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นพรรคจะได้ นำเสนอวาระประชาชนเป็นเรื่องๆ และในวันที่ 6 สิงหาคม 49 จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่าด้วยเรื่องวาระประชาชน และจะสามารถประกาศได้เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม เป็นต้นไป
ซึ่งนโยบายของพรรค มีเป้าหมายเบื้องต้นว่า 1. บ้านเมืองต้องกลับมามีความปรองดองกัน และสิ่งสำคัญที่สุด คือการมีรัฐบาล และผู้นำที่มีความซื่อสัตย์และรับฟังทุกฝ่าย 2. ต้องช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจเฉพาะหน้าโดยเฉพาะการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ และมีรายได้ที่เพียงพอที่จะฟันฝ่าปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าและ 3. ซึ่งพรรคเน้นย้ำมาโดยตลอดคือต้องวางรากฐานที่สำคัญสำหรับประเทศในระยะยาว ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องคน และการลงทุนเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนเรื่องการบริหารการจัดการธรรมาภิบาล
ส่วนกรณีการสรรหา กกต.ชุดใหม่นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้พูดมาโดยตลอดว่าถ้าจะแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ต้องมีกกต.ที่ประชาชนมั่นใจ ซึ่งจะทำให้มีการเลือกตั้ง รัฐสภ รัฐบาลที่มั่นใจ ดังนั้นการสรรหากกต.ชุดใหม่ จึงต้องถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องช่วยทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ
“แน่นอนเดิมทีเราก็อยากจะเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการลาออก แต่ว่ามันเดินมาถึงจุดนี้ มันก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในแง่ที่ว่าหลายคนก็ถาม ทำไมต้องถึงคุกถึงตาราง มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะถามผมใจผม ก็อยากให้มีเพียงการลาออกแต่ว่าเมื่อท่านทำผิด และศาลก็ใช้ดุลยพินิจแล้วจะลงโทษอะไรต่างๆเราก็ต้องเคารพดุลยพินิจของศาล” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อกรณีข่าวบอกว่านายสุเทพ เลขาธิการพรรค จะไปถอนฟ้องคดี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าเมื่อวาน(27ก.ค.)ได้พูดคุยกับนายสุเทพแล้ว ซึ่งนายสุเทพ ได้ยืนยันว่าไม่มีการถอนฟ้อง เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย และก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับมูลเอกสารฟ้องร้องต่อไป. “ อันนี้ก็เป็นแนวทางยุติของเรา การสรรหานั้นเราหวังว่าจะเป็นไปตามกรอบเวลา คือสามารถทำได้โดยไม่กระทบกระเทือนกับวันเลือกตั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เดินหน้าในเรื่องการนำเสนอวาระประชาชน
ต่อข้อถามที่ว่า คาดหวังกับกกต.ชุดใหม่อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนหวังว่าจะได้กกต.ชุดใหม่ที่มาปฎิบัติงานตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นั่นคือการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม และก็เป็นไปตามพระราชประสงค์พระเจ้าอยู่หัวที่ให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์
ต่อข้อถามที่ว่า ตอนนี้มีผู้เสนอชื่อมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิดูเหมาะสมทุกอย่าง แต่ออกตัวไว้ว่ามีตำแหน่งใกล้ชิดกับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นนี้ตนเห็นว่าให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาลกับของวุฒิสภาจะดีกว่า ตนเป็นเสมือนผู้เล่นเข้าไปวิพากวิจารณ์จะไม่สมควร แต่ตนยังยืนยันจุดยืนว่าไม่ต้องการให้มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกระบวนการสรรหา
ต่อข้อถามที่ว่า มีขอเสนอว่ากกต.ที่จะได้จากศาลฎีกาน่าจะเป็นกกต.ชุดเฉพาะกิจเฉพาะการเท่านั้น คือหลังเลือกตั้งเสร็จก็ควรจะลาออก และก็สรรหาตาม (1)(2) ให้เต็มรูปแบบกันใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบว่า ตนไม่ได้ติดใจอะไร
เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิสภา และศาลฎีกา ซึ่งเวลาประมาณ 15 วัน เพราะฉะนั้นถือได้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่ต้องเร่งเป็นพิเศษ คือ กรณีของวุฒิฯ เพราะฉะนั้นหากทางวุฒิฯคิดว่าสรรหาได้อย่างรอบคอบ รัดกุม ก็ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเฉพาะกิจ แต่เรื่องที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องเร่งปฏิรูปการเมือง เพราะฉะนั้นการปฏิรูปการเมืองน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกากกต. ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นหลังปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ก.ค. 2549--จบ--
ซึ่งนโยบายของพรรค มีเป้าหมายเบื้องต้นว่า 1. บ้านเมืองต้องกลับมามีความปรองดองกัน และสิ่งสำคัญที่สุด คือการมีรัฐบาล และผู้นำที่มีความซื่อสัตย์และรับฟังทุกฝ่าย 2. ต้องช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจเฉพาะหน้าโดยเฉพาะการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ และมีรายได้ที่เพียงพอที่จะฟันฝ่าปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าและ 3. ซึ่งพรรคเน้นย้ำมาโดยตลอดคือต้องวางรากฐานที่สำคัญสำหรับประเทศในระยะยาว ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องคน และการลงทุนเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนเรื่องการบริหารการจัดการธรรมาภิบาล
ส่วนกรณีการสรรหา กกต.ชุดใหม่นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้พูดมาโดยตลอดว่าถ้าจะแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ต้องมีกกต.ที่ประชาชนมั่นใจ ซึ่งจะทำให้มีการเลือกตั้ง รัฐสภ รัฐบาลที่มั่นใจ ดังนั้นการสรรหากกต.ชุดใหม่ จึงต้องถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องช่วยทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ
“แน่นอนเดิมทีเราก็อยากจะเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการลาออก แต่ว่ามันเดินมาถึงจุดนี้ มันก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในแง่ที่ว่าหลายคนก็ถาม ทำไมต้องถึงคุกถึงตาราง มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะถามผมใจผม ก็อยากให้มีเพียงการลาออกแต่ว่าเมื่อท่านทำผิด และศาลก็ใช้ดุลยพินิจแล้วจะลงโทษอะไรต่างๆเราก็ต้องเคารพดุลยพินิจของศาล” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อกรณีข่าวบอกว่านายสุเทพ เลขาธิการพรรค จะไปถอนฟ้องคดี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าเมื่อวาน(27ก.ค.)ได้พูดคุยกับนายสุเทพแล้ว ซึ่งนายสุเทพ ได้ยืนยันว่าไม่มีการถอนฟ้อง เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย และก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับมูลเอกสารฟ้องร้องต่อไป. “ อันนี้ก็เป็นแนวทางยุติของเรา การสรรหานั้นเราหวังว่าจะเป็นไปตามกรอบเวลา คือสามารถทำได้โดยไม่กระทบกระเทือนกับวันเลือกตั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เดินหน้าในเรื่องการนำเสนอวาระประชาชน
ต่อข้อถามที่ว่า คาดหวังกับกกต.ชุดใหม่อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนหวังว่าจะได้กกต.ชุดใหม่ที่มาปฎิบัติงานตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นั่นคือการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม และก็เป็นไปตามพระราชประสงค์พระเจ้าอยู่หัวที่ให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์
ต่อข้อถามที่ว่า ตอนนี้มีผู้เสนอชื่อมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิดูเหมาะสมทุกอย่าง แต่ออกตัวไว้ว่ามีตำแหน่งใกล้ชิดกับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นนี้ตนเห็นว่าให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาลกับของวุฒิสภาจะดีกว่า ตนเป็นเสมือนผู้เล่นเข้าไปวิพากวิจารณ์จะไม่สมควร แต่ตนยังยืนยันจุดยืนว่าไม่ต้องการให้มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกระบวนการสรรหา
ต่อข้อถามที่ว่า มีขอเสนอว่ากกต.ที่จะได้จากศาลฎีกาน่าจะเป็นกกต.ชุดเฉพาะกิจเฉพาะการเท่านั้น คือหลังเลือกตั้งเสร็จก็ควรจะลาออก และก็สรรหาตาม (1)(2) ให้เต็มรูปแบบกันใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบว่า ตนไม่ได้ติดใจอะไร
เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิสภา และศาลฎีกา ซึ่งเวลาประมาณ 15 วัน เพราะฉะนั้นถือได้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่ต้องเร่งเป็นพิเศษ คือ กรณีของวุฒิฯ เพราะฉะนั้นหากทางวุฒิฯคิดว่าสรรหาได้อย่างรอบคอบ รัดกุม ก็ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเฉพาะกิจ แต่เรื่องที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องเร่งปฏิรูปการเมือง เพราะฉะนั้นการปฏิรูปการเมืองน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกากกต. ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นหลังปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ก.ค. 2549--จบ--