วันนี้ ( 2 ธ.ค. 49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าคดียุบพรรค ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาประธานกกต. ได้ส่งคำขอเพิ่มเติมต่อประธานรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ประกาศ กกต.ฉบับที่ 27 มีมติกำหนดให้พรรคการเมืองที่ถูกยุบ และคณะกรรมการบริหารจะถูกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี นอกจากนี้พรรคไม่หวั่นไหวต่อการดำเนินการ ซึ่งเป็นไปตามช่องทาง และภาระหน้าที่ของกกต.ที่จะดำเนินการไป เพราะกกต.มีภาระหน้าที่ที่ต้องดำเนินการไปในลักษณะนั้น และพรรคยังมีความมั่นใจโดยพร้อมที่จะชี้แจงให้ความกระจ่างได้ในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ 4 ข้อกล่าวหา ตามที่กกต.แจ้งมายังอัยการ ส่วนข้อกล่าวหาของ พรรคประชาธิปัตย์นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ พรรคไทยรักไทย ถูกร้องให้ยุบพรรค จึงมีการนำ พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเป็นตัวประกัน
นอกจากเรื่องคดียุบพรรคแล้วนายองอาจยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตในรัฐบาลทักษิณผ่านการสืบสวนสอบสวนของคตส. แล้วอยากร้องไห้ และหากปล่อยไว้ประเทศจะเหลือแต่กระดูกนั้น นายองอาจเห็นว่า ไม่เพียงแต่พล.อ.สนธิและคณะเพียงเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่จะมีสิทธิรับรู้และมีความรู้สึกในลักษณะที่อยากจะร้องไห้เท่านั้น นายองอาจยังเห็นว่าประชาชนคนไทยทั่วไปซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ควรจะมีสิทธิที่จะได้รับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในชุดที่ผ่านมาด้วย เพราะการรับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ และประชาชนจะมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้การทุจริตเกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
“หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พล.อ.สนธิและคนไทยโดยทั่วไปไม่ต้องร้องไห้จากผลของการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นก็คือจะต้องเร่งทำให้ประชาชนคนไทยทั่วไปได้รับรู้เช่นเดียวกับที่พล.อ.สนธิได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ถึงขนาดที่ท่านทิ้งคำพูดไว้ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ประเทศก็จะเหลือแต่กระดูกและก็ฝากให้คมช.และรัฐบาล เร่งดำเนินการให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในชุดที่ผ่านมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายองอาจกล่าว
ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการนัดชุมนุมโดยหลายกลุ่มองค์กรที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 10 ธันวาคม และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้ความเห็นว่าจะใช้แนวทางในการเจรจาทำความเข้าใจกันนั้น นายองอาจเห็นด้วยกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่จะใช้การเจรจาการทำความเข้าใจมากกว่าที่จะใช้อำนาจเข้าไปบีบบังคับเพื่อให้เป็นไปตามอำนาจตัวบทกฎหมายที่มีอยู่แต่เพียงอย่างเดียว เพราะการใช้อำนาจเข้าไปจัดการแต่เพียงอย่างเดียวนั้นจะยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงไปได้
นอกเหนือจากนั้นนายองอาจยังเห็นว่าการทำความเข้าใจกัน หรือการเจรจาก็ดีก็จะต้องดำเนินการไปอย่างจำแนกแยกแยะ เพราะต้องยอมรับความจริงว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านคมช.หรือรัฐบาลในขณะนี้มีทั้งที่เคลื่อนไหวตามความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ตัวอย่างเช่นกลุ่มของอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น หรือกลุ่มที่เคลื่อนไหวหลาย ๆ กลุ่มที่มีวาระซ่อนเร้นอยู่ ตามที่มีกระแสว่ามีการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจเก่าในบ้านเมือง ให้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านคมช.และรัฐบาลเพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองให้เกิดความปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องอย่างในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถที่จะดูออกและแยกแยะได้ก็จะทำให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนไหวของการชุมนุมทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ นั้นได้อย่างไม่ผิดประเด็นไม่ผิดเป้าและสามารถจัดการแก้ไขได้ตรงจุด
ส่วนการที่มีส่วนหนึ่งขององค์กรที่ชุมนุมออกมาแฉว่าสมาชิกกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรับเงินจากอดีตรัฐมนตรี 10 ล้านบาท ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้านรัฐบาล รวมทั้งการออกมาเปิดเผยของนายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานเครือข่ายประชาชนภาคอีสานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ว่าเคยรับจ้างชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการก่อม็อบหนุนกกต. ที่หน้าศาล และก่อม็อบหนุนรัฐบาลตามที่ต่าง ๆ นั้นนายองอาจเห็นว่าการออกมาเปิดโปงกันเองของแกนนำกลุ่มองค์กรต่าง ๆ เป็นการชี้ให้เห็นความจริงด้านมืดอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง และการดำเนินการใด ๆ ในอดีตที่เป็นการดำเนินการที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อบ้านเมือง ซึ่งสามารถที่จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายได้ มีพยานหลักฐาน มีข้อมูลเพียงพอที่จะดำเนินการได้ก็จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
“นี่ก็คืออีกตัวอย่างหนึ่งของความชั่วร้ายในระบอบทักษิณ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดถึงการใช้อำนาจเงินที่สกปรกไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและก็ทำลายล้างบุคคลอื่นเพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเองไว้ให้ต่อเนื่องตลอดไป” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2549--จบ--
นอกจากเรื่องคดียุบพรรคแล้วนายองอาจยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตในรัฐบาลทักษิณผ่านการสืบสวนสอบสวนของคตส. แล้วอยากร้องไห้ และหากปล่อยไว้ประเทศจะเหลือแต่กระดูกนั้น นายองอาจเห็นว่า ไม่เพียงแต่พล.อ.สนธิและคณะเพียงเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่จะมีสิทธิรับรู้และมีความรู้สึกในลักษณะที่อยากจะร้องไห้เท่านั้น นายองอาจยังเห็นว่าประชาชนคนไทยทั่วไปซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ควรจะมีสิทธิที่จะได้รับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในชุดที่ผ่านมาด้วย เพราะการรับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ และประชาชนจะมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้การทุจริตเกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
“หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พล.อ.สนธิและคนไทยโดยทั่วไปไม่ต้องร้องไห้จากผลของการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นก็คือจะต้องเร่งทำให้ประชาชนคนไทยทั่วไปได้รับรู้เช่นเดียวกับที่พล.อ.สนธิได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ถึงขนาดที่ท่านทิ้งคำพูดไว้ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ประเทศก็จะเหลือแต่กระดูกและก็ฝากให้คมช.และรัฐบาล เร่งดำเนินการให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลในชุดที่ผ่านมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายองอาจกล่าว
ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการนัดชุมนุมโดยหลายกลุ่มองค์กรที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 10 ธันวาคม และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้ความเห็นว่าจะใช้แนวทางในการเจรจาทำความเข้าใจกันนั้น นายองอาจเห็นด้วยกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่จะใช้การเจรจาการทำความเข้าใจมากกว่าที่จะใช้อำนาจเข้าไปบีบบังคับเพื่อให้เป็นไปตามอำนาจตัวบทกฎหมายที่มีอยู่แต่เพียงอย่างเดียว เพราะการใช้อำนาจเข้าไปจัดการแต่เพียงอย่างเดียวนั้นจะยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงไปได้
นอกเหนือจากนั้นนายองอาจยังเห็นว่าการทำความเข้าใจกัน หรือการเจรจาก็ดีก็จะต้องดำเนินการไปอย่างจำแนกแยกแยะ เพราะต้องยอมรับความจริงว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านคมช.หรือรัฐบาลในขณะนี้มีทั้งที่เคลื่อนไหวตามความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ตัวอย่างเช่นกลุ่มของอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น หรือกลุ่มที่เคลื่อนไหวหลาย ๆ กลุ่มที่มีวาระซ่อนเร้นอยู่ ตามที่มีกระแสว่ามีการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจเก่าในบ้านเมือง ให้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านคมช.และรัฐบาลเพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองให้เกิดความปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องอย่างในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถที่จะดูออกและแยกแยะได้ก็จะทำให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนไหวของการชุมนุมทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ นั้นได้อย่างไม่ผิดประเด็นไม่ผิดเป้าและสามารถจัดการแก้ไขได้ตรงจุด
ส่วนการที่มีส่วนหนึ่งขององค์กรที่ชุมนุมออกมาแฉว่าสมาชิกกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรับเงินจากอดีตรัฐมนตรี 10 ล้านบาท ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้านรัฐบาล รวมทั้งการออกมาเปิดเผยของนายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานเครือข่ายประชาชนภาคอีสานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ว่าเคยรับจ้างชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการก่อม็อบหนุนกกต. ที่หน้าศาล และก่อม็อบหนุนรัฐบาลตามที่ต่าง ๆ นั้นนายองอาจเห็นว่าการออกมาเปิดโปงกันเองของแกนนำกลุ่มองค์กรต่าง ๆ เป็นการชี้ให้เห็นความจริงด้านมืดอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง และการดำเนินการใด ๆ ในอดีตที่เป็นการดำเนินการที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อบ้านเมือง ซึ่งสามารถที่จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายได้ มีพยานหลักฐาน มีข้อมูลเพียงพอที่จะดำเนินการได้ก็จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
“นี่ก็คืออีกตัวอย่างหนึ่งของความชั่วร้ายในระบอบทักษิณ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดถึงการใช้อำนาจเงินที่สกปรกไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและก็ทำลายล้างบุคคลอื่นเพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเองไว้ให้ต่อเนื่องตลอดไป” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2549--จบ--